ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทฤษฏีตาอยู่ กินพุงปลา

สมัยเด็กๆหลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของตาอิน ตานาและตาอยู่กันมาบ้าง ทั้งในแบบเรียนระดับประถม และจากเพลงฮิตติดหูสมัยก่อนอย่างเพลง"ตาอยู่"(ตาอยู่แว่นดำ) ของพี่ป้อม พี่โต๊ะ อัสนี-วสันต์ โชติกุล ก่อนอื่นสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันยุคนั้น ผมขอยกเรื่องราวแบบฉบับย่อของนิทานตาอินกับตานาและตาอยู่ นิทานคลาสสิก ที่มีในแบบเรียนหนังสือไทยของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รศ 108 เรื่องเล่าคติสอนใจแต่อดีตมาเล่าให้ฟังกันก่อน

เรื่องราวของตาอินกับตานา สองเพื่อนซี่ที่ออกหาปลาในหมู่บ้านมาด้วยกันตั้งแต่หนุ่ม จนวันหนึ่งปลาเหลือน้อย ตาอินกับตานาจึง ตัดสินใจแยกทางกันหาปลา โดยตาอินไปทางเหนือ ตานาไปทางใต้ ตกเย็นกลับมาตาอินไม่ได้ปลาเลยสักตัว ส่วนตานาได้ปลาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ด้วยความเป็นเพื่อนตานา แบ่งปลาให้ตาอยู่ครึ่งหนึ่ง ตานาจะเอาข้างหัว ให้ข้างหางกับตาอิน แต่ตาอินไม่ยอม อยากได้ส่วนหัว ส่วนตานาก็โกรธบอกว่าตนเป็นคนหามาได้ ต้องได้ส่วนหัว เกิดการถกเถียงกันใหญ่โต จนต้องหาคนกลาง ระหว่างนั้นตาอยู่กับจากในเมืองเดินผ่านมา หอบกระดาษปึกใหญ่จะเอาไปทำว่าวจุฬาขาย ตาอินเห็นว่าตาอยู่แต่ตัวดี ถือกระดาษปึกใหญ่เลยคิดว่าเป็น ตระลาการ(คนไกล่เกลี่ยของหลวง) จึงเชิญขึ้นเรือนมาช่วยตัดสิน ชำระความ ตาอยู่รับสมอ้างแกล้งทำเป็นฟังความ สุดท้ายเลยตัดสินให้ตานาได้หัว ส่วนตาอินได้หาง ขนาดพอๆกัน ส่วนตรงกลางตาอยู่ยึดเป็นค่าตัดสิน งานนี้ทำให้ทั้งตาอินกับตานา ได้ปลาไปคนละน้อยแทบไม่พอกิน เป็นบทเรียนสอนใจ เรื่องการเห็นแก่สิ่งเล็ก สิ่งน้อย เป็นสำคัญมากเกินไป จนทำให้ต้องเสียสิ่งที่มีค่า

เอาเรื่องนี้มาเล่า เพราะเป็นเรื่องสอนใจเกี่ยวกับการลงทุนเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการลงทุนเก็งกำไรหุ้น รายย่อยส่วนใหญ่มักเห็นกำไรส่วนน้อย 3-5% เข้าไปเล่น ไปรับหุ้น เพื่อหวังเด้ง หวังกำไร ในช่วงที่แนวโน้มไม่แน่นอน หรือผันผวน เพียงเพราะคิดว่าจะได้ของถูก จะได้เข้าก่อน หรือตายใจเพราะเห็นราคามันยกตัวจากจุดต่ำสุดได้บ้างแล้ว จนสุดท้ายก็เสียหายจากความผันผวน เสียจิตใจ เสียความมั่นใจ จนทำให้เมื่อแนวโน้มขาขึ้นที่แท้จริงมาก็ไม่สามารถเข้าซื้อหุ้น เพื่อทำกำไรได้เพราะความกลัว จากครั้งก่อนหน้า หรือถ้าซื้อได้ถือไม่นานก็รีบขายเพราะความหลอน 

ถ้ามองแนวโน้มให้ทะลุจะเข้าใจ ว่าราคาหุ้นที่ดีเวลาขึ้นมันควรจะขึ้นแบบชัดเจน นั่นจึงเรียกมีแนวโน้ม ส่วนการขึ้นสลับลง มาที่จุดเดิม หรือขึ้นแล้วข้างไม่สามารถผ่านจุดสูงสุดก่อนหน้า นั้นเรียกว่า sideway หรือออกข้าง เป็นช่วงสะสมกำลัง เป็นช่วงผันผวน รอดูความชัดเจนเป็นไปได้ทั้งการขึ้นและลง แมงเม่ามักจะเข้าไปเสียงเงิน หรือเข้าไปติดในช่วงนี้มาก เพราะขาดความอดทนและขาดความสามารถในการอ่านแนวโน้ม ด้วยความโลภและความรีบร้อน พอเห็นตลาดบวก เห็นหุ้นเริ่มมีกำไร เริ่มเขียวก็อยากรีบไปซื้อเพราะคิดว่า ยังไงก็น่าจะเด้งทำกำไรขึ้นไม่ยากทั้งที่ความผันผวนของแนวโน้มยังมีสูง

เอาภาพกราฟ SET มาให้ดูโดยอยากยกตัวอย่างทฤษฏีตาอยู่มาประกอบ ในนิทานที่กล่าวก่อนหน้า ตาอยู่ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ไม่ต้องออกแรง ได้รับท่อนกลางของปลามีเนื้อและชิ้นใหญ่ ท่อนกลางของปลา ก็เปรียบกับส่วนกลางของแนวโน้ม ซึ่งมีความชัดเจนของแนวโน้ม มีระยะการวิ่งของราคาเทียบกับเวลาที่ต่อเนื่อง ทำให้เกิดกำไรที่แน่นอนและชัดเจน ส่วนหัวและท้ายของปลา ก็เหมือนช่วง sideway ก่อนเปลี่ยนแนวโน้ม ทั้งจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือจากขาลงเป็นขาขึ้น ช่วง sideway เป็นช่วงที่ไม่แน่นอนและกินระยะเวลา ช่วงหนึ่งขึ้นกับระยะเวลารวมและความรุนแรงของการเกิดแนวโน้มก่อนหน้า ดังนั้นในช่วง sideway จึงเป็นช่วงที่ดูเหมือนจะมีค่า แต่กับมีค่าอัตราการสร้างผลกำไรที่น้อย เมื่อเทียบกับทั้งแนวโน้ม 

แต่ด้วยจิตวิทยาและตรรกะการเปรียบเทียบ เช่น คิดว่าในช่วง sideway ราคาถูกเพราะเทียบกับราคาเมื่อสัปดาห์ก่อน หรือเดือนก่อนหน้า, รีบซื้อรีบตะครุบเพราะราคาเริ่มขยับวิ่ง กลัวจะตกรถ ที่ไหนได้พอซื้อแล้วราคากับไปค้างชนแนวต้านไม่ผ่าน แถมไหลลงมาที่เดิมอีก sideway คือช่วงที่มีความไม่แน่นอนของแนวโน้มสูง ทำให้คนส่วนใหญ่โดนสับขาหลอกและตกเป็นเหยื่อทางอารมณ์ให้กับความผันผวนนั้น ดังนั้นเราควรจะใช้ทฤษฏีตาอยู่ มองและทำแบบตามอยู่ ควรรู้จักและคว้าเอาพุงปลา ไม่ใช่สนใจจะเอาหัวหรือท้ายของปลาเป็นหลัก ควรเลือกเล่นเลือกเทรดในแนวโน้มที่ชัดเจน เป็นช่วงที่ทำกำไรให้เราอย่างแท้จริง แน่นอนว่าเราอาจจะต้องรอคอยหรือสละช่วงหัว ช่วงหาง ไปบ้างเพื่อเป็นการลดความผันผวน และการันตรีแนวโน้มที่แท้จริง 


คุณอาจจะตั้งคำถามว่าแล้วถ้ามันผันผวน ราคาเข้า sideway นานๆละจะทำยังไง ไม่ต้องเทรดกันเลยหรือ คำตอบคือเทรดได้ครับ แต่ต้องรู้จักประณีประณอม เมื่อมันผันผวนก็อย่าใส่เงินในการซื้อมากเกินไป ควรจัดสัดส่วนให้เหมาะ และค่อยเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นแนวโน้มชัดเจนก็ได้เช่นกัน หรือถ้าไม่รีบร้อนเอาแน่นอนยอมละทิ้ง 10% หัวท้ายไปเลย เพื่อนำตัวเองออกจากความผันผวน และไปเล่นบนแนวโน้มที่แน่นอนเมื่อมีการ break out แนวต้านสำคัญ พร้อมด้วยการสะสมกำลัง แบบนั้นก็ทำได้เช่นกัน เพราะเมื่อขาขึ้นมาอย่างแท้จริงกำไรที่ได้จากการเคลื่อนที่ของราคามันจะมีมากเกิน 10-20% แน่นอนครับ