ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ ธุรกิจ

Pixie Curtis นักธุรกิจวัยเยาว์เงินล้าน

Pixie Curtis ปัจจุบันเธออายุ 10 ขวบแต่เธอก็เป็นเจ้าของธุรกิจ ขายของเล่นชื่อ Pixie's Fidgets ที่เพิ่งก่อตั้งได้ปีกว่าๆ และบริหารงานโดยคุณแม่ของเธอ Roxy Jacenko ,นอกจากบริษัทของเล่นแล้วเธอยังมีบริษัท Pixie's bows ที่ขายพวกเครื่องประดับ ตกแต่งผมสำหรับเด็กๆที่เธอเป็น นางแบบขายสินค้าตั้งแต่ปี 2014 บน Pixie’s Instagram อีกด้วย (ซึ่งด้วยการนำเสนอและความน่ารักของเธอก็ทำให้ มีคนดังราคาจำนวนมากเป็นลูกค้าและบอกต่อเรื่องราวของเธอ) ความน่าสนใจของพาดหัวข่าวนี้คือเล่มเรื่อง Retire ระดับหลายล้านเหรียญของ Pixie Curtis แต่เบื้องหลังความสำเร็จมากจากคุณแม่ Jacenko ที่เธอเป็นนักธุรกิจ และนักการตลาดที่เก่ง เธอใช้ลูกสาว Pixie Curtis เป็นผู้โปรโมท สินค้าของเล่น,และเกมส์ต่างๆ ผ่านการตลาดออนไลน์ ซึ่งด้วยภาพลักษณ์และเรื่องราวการทำธุรกิจของ Pixie ก็ทำให้มีคนติดตามเธอกว่า 100,000 บน Instagram , ซึ่งก็ทำให้กลายเป็นฐานลูกค้าในการทำธุรกิจ ของเธอ จนสามารถสร้างกำไรจำนวนมากได้ โดยช่วง covid-19 คุณ Jacenko บอกว่ายอดขายของเล่นและสินค้าสำหรับเด็กออนไลน์ โตมากสร้างรายได้หลัก แสนเหรียญต่อเดือน เลยทีเดียว ซึ่งทำให้เ

How the Tech Giants Make Their Billions

ข้อมูล รายได้จากธุรกิจ ของเหล่าบริษัทยักษ์ IT พร้อมการแสดงแบบ infographic จาก  visualcapitalist.com  โดยบริษัทของสหรัฐ Microsoft, Apple, and Amazon ต่างมีมูลค่าแตะระดับ $1 Trillion จากข้อมูลบริษัท Facebook , Alphabet(หรือ Google) รายได้หลักมาจากการขายโฆษณา, ด้าน amazon รายได้หลักมาจาก online store ,ส่วน Microsoft รายได้หลักมาจากผลิตภัณฑ์ของ WIndow OS, Office และ Azure clould service โดยบริษัทที่มี revernue สูงสุดนั้นคือ Apple ที่ 265.6 billionจากข้อมูลที่รายได้หลักมาจากการขาย Iphone (63% หรือ 166.7 billion) แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ Apple มีตลาดในจีน สัดส่วนสูงถึง 20% ต่างจากบริษัท Tech อื่นๆที่เรียกว่ามีส่วนแบ่งในจีนน้อยมาก ดังนั้น ถ้า trade war ระหว่างสหรัฐและจีน ประทุแรง Apple คงหนีไม่พ้นที่โดนผลกระทบไปด้วย ซึ่งตอนนี้วิบากกรรมไปตกกับ Huawei ของจีนที่โดน สหรัฐเล่นงานอย่างหนัก อ่านเพิ่มเติม https://www.visualcapitalist.com/how-tech-giants-make-billions

5 things I learned from Mother Roaster

โพสก่อนหน้าเรื่อง Mother Roaster มีหลายคนชวยคุยต่อเยอะ Key Takeaway สำหรับผมนะ 1. เริ่มจากที่ชอบ ป้าบอกชัด ป้าชอบกินกาแฟ เริ่มจากตรงนั้น 2. หาจุดแตกต่าง  ไม่เหมือน ไม่ทำตามใคร กลายเป็น indy ไปเอง ป้าใช้ข้อจำกัดเรื่องเงินทุน มาเป็นจุด pivot เลือกแนวทางแบบ แมนนวล ลดต้นทุนค่าเครื่องชงหลักแสน จับตลาด นีช ป้าค่อยๆทำ แต่มีอุปกรณ์ชงหลากหลายวิธี เม็ดกาแฟ หลายสิบสายพันธ์ ซึ่งร้านใหญ่ที่เน้นขายเยอะ ขายเร็วคงทำแบบป้าไม่ได้ 3. จำกัดความเสี่ยง ป้าเลือกทำเล ที่ดี ใกล้ MRT ใกล้โรงเรียน อยู่ริมถนนสายหลัก แต่เปิดร้านไม่ใหญ่ เป็นแค่ stand ไม่มีที่นั่ง ไม่ติดแอร์ ไม่เสียค่าเช่าแพง ไม่ต้องตกแต่งอะไรมากมาย ไม่ต้องจ้างพนักงานเยอะ 4. อายุ 60 ไม่สายที่ลงมือทำ เชื่อว่าก่อนหน้า ป้าคงทำอะไรมาหลายอย่างก่อนจะมาเปิดร้านกาแฟ  มาเรียนชงกาแฟสดแบบสมัยใหม่  ในวัยเกิน 60  ถ้าชอบ ถ้าอยากทำ บางทีไม่ต้องรีบลาออกจากงาน หรือกู้เงินหลายล้านมาทำก็ได้ ค่อยสะสมเงินทุน ค่อยๆเรียนรู้ กันไป 5. จบ... คำพูดป้า มันชัดเจนในตัว เรียบเรียงความคิดชัดเจนมาก ฟังจากหลายสัมภาษณ์ ป้าเชื่อมั่นในแนวทางและแกก็ลงมือทำ ในแบบที่เหมาะสมกับทางขอ

Airbnb & Internal hedge fund

Airbnb เป็นอีกบริษัท startup ตัวกลางแบ่งปันที่พักออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นธุรกิจผลิตเงินสดที่น่าจับตามองมากในปัจจุบัน เมื่อได้อ่านบทความนี้ทำให้ผมทราบว่า Airbnb มีรายได้รูปเงินสดไหลเวียนต่อเดือนสูง จนมีการตั้ง hedgefund หรือบริษัทบริหารเงินของตัวเองขึ้นมา อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุ Laurence Tosi ผู้บริหารของบริษัท Airbnb อดีต CFO ของ Blackstone Group (alternative investment firm ใหญ่อันดับต้นของโลก) ได้นำ cashflow 30% ของบริษัทไปจัดตั้งกองทุน hedge fund เพื่อบริหารเงิน โดยนำ cashflow จากธุรกิจไปลงทุนใน stocks, currencies และ fixed-income แหล่งข่าวอ้างว่าปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้สูงถึง $5 million ต่อเดือนให้กับ Airbnb ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นการเติบโต และศักยภาพของบริษัท .ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ Airbnb ยังมีปัญหาความขัดแย้งภายในอ้างอิงจาก Bloomberg ที่ระบุว่ากลุ่มของ  Laurence Tosi ต้องการนำ Airbnb เข้าทำ IPO ในปี 2018 แม้จะได้เสียงสนับสนุนจาก  VC investors ส่วนใหญ่ แต่ผู้ร่วมก่อตั้ง  Brian Chesky และ CEO ของบริษัท ยังไม่ต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น ล่าสุดทางบริษัท Ai

What new jobs will exist in 2035?

บทความจากเว็บ world economic forum เขียนโดย Joe Myers พูดถึงงาน ที่งานที่คงอยู่ งานใหม่ที่จะเกิดขึ้น และงานกำลังจะหายไป จากการแทนที่ด้วยหุ่นยนต์หรือระบบ AI ในปี 2035 (อีก 20 ปีข้างหน้า) การปรับเปลี่ยนของระบบธุรกิจและสถานที่ทำงาน ก็จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญ โดยเฉพาะการลดต้นทุนแรงงานด้วยระบบ Automation ที่ปัจจุบันมีการพัฒนาทักษะและประสิทธิ์ภาพได้มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังเข้ามาแทนที่งานของคนในบาง ประเภทของงาน ที่เน้นการใช้แรงงาน หรือประเภททำซ้ ำ ไม่มีความซับซ้อน ส่วนคนต้องปรับตัวให้มีทักษะ ความชำนาญและความสามารถในการทำงานที่สูงขึ้น หรือมีความเฉพาะเจาะจงขึ้น บทความเขียนถึง งานที่จะมีให้มนุษย์ทำในปี 2035 จะเป็นงานด้าน การใช้ความคิด การตัดสินใจ และงานด้านการปฏิสัมพันธ์กับคน(บริการและการต่อรอง) รวมถึงจะเกิดงานใหม่ๆ ที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ , Big Data และการขยายตัวของ Internet of Things สรุปคราวๆ ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.weforum.org/agenda/2016/02/these-scientists-have-predicted-which-jobs-will-be-human-only-in-2035/?platform=hootsuite

kickstarter :การลงทุนที่เสี่ยงที่สุดของผม

Venture Capital คือรูปแบบของธุรกิจร่วมทุน ที่ให้เงินสนับสนุน ธุรกิจเกิดใหม่หรือบริษัท start up ให้เติบโต แน่นอนว่า ความเสี่ยงสูงเพราะ โอกาสที่โปรดักซ์หรือกิจการจะไปไม่รอดก็มี ตรงนี้เสี่ยงมากและต่างจากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ แต่แน่นอนว่า high risk ก็ high return เพราะหลายๆกิจการ หลายๆโปรดักซ์มันเป็น innovation เป็นสินค้าประเภท game changer ในกลุ่มอุตสาหกรรมเลยก็ว่าได้ หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นเรื่องเสี่ยง เรื่องยาก แต่ลองมองย้อนกลับไปดู กลุ่มนักลงทุนที่ร่ำรวยประสบความสำเร็จจากการลงทุนในบริษัท start up ก็มีเยอะโดยเฉพาะบริษัทกลุ่มไอที เช่นอย่างกรณีของ Facebook หรือ Google และอื่นๆเป็นต้น  แน่นอนว่าการเป็น VC โดยตรงอาจจะใช้เงินมาก และมีรายละเอียดที่เยอะมาก สำหรับบุคคลธรรมดาอย่างเราๆท่าน แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณหรือผมจะไม่สามารถลงทุนสไตล์ VC ได้ เพราะปัจจุบันมีเว็บบริการระดมทุนแบบ  Crowd Funding  ให้เราเลือกใช้บริการมากมาย (แน่นอนว่าเลือกที่น่าเชื่อถือด้วยนะครับ) เรียกว่าเราสามารถเป็นผู้ร่วมลงทุนในกิจการเริ่มต้นได้เช่นกัน ผมเองนำมายกตัวอย่างให้ดู 1 อันที่ผมใช้งานประจำนั้นคือ kickst

ทำด้วยใจใช่อยากรวย

ผู้หญิงคนหนึ่งเนื้อตัวมอมแมมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่า เธอเป็นกรรมกรเข้ามาก่อสร้างคอนโดหรู ย่านใจกลางเมือง เธอเดินกำเงินค่าแรงเป็นแบงค์ยี่สิบหลายใบในมือ เข้าร้านอาหารฟาสฟู๊ดดังเจ้าหนึ่งในห้างหรู ไม่ไกลจากไซต์ก่อสร้าง เพื่อซื้ออาหารแบบที่เห็นในโฆษณา แต่ภาพเหตุการณ์ที่ผมเห็นเป็นอะไรที่น่าสงสารเศร้าอย่างยิ่งเพราะ พนักงานขาย ปฏิบัติกับเธอแบบแล้งน้ำใจ ใช้น้ำเสียงที่ดุดัน พร้อมด้วยสายตาดูถูกดูแคลนจากลูกค้าบางคนในร้าน  สิ่งที่ทำให้เธอเป็นจุดสนใจเพราะเงินในมือที่มีไม่มากพอ ทำให้ไม้สามารถเลือกชุดอาหารที่มีในเมนูได้ ยิ่งทำให้เธอประหม่าไปใหญ่ แต่เรื่องนี้จบสวย เพราะมีคุณป้าใจดีท่านหนึ่ง ที่ยืนต่อคิวในแถว อาสาเข้าช่วยเหลือ ให้คำแนะนำพร้อมออกเงินส่วนต่างให้เธอได้ซื้อแบบที่ต้องการกลับบ้าน ฟังเรื่องนี้อาจจะทำให้เราคิดสงสัยว่าทำไมคนจนแบบเธอ ต้องอยากมากินของแพงเกินฐานะแบบนี้ด้วย แต่สิ่งที่ผมได้ยินเธอบอกกับคุณป้าท่านนั้น หลังจากยกมือไหว้ขอบคุณ คือ ที่เธอมาซื้อเพราะวันนี้เป็นวันเกิดของลูกชาย ที่บ่นอยากกินมานานหลายปี แต่เธอไม่มีโอกาสซื้อให้   วันนี้เลยรวบรวมเงิน รวบรวมความกล้าเข้ามาซื้อทั้งอาหารและแลกซื้อของ

หนีเมืองมาทำนา

อ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ตอนเช้านี้พบข่าวของ พี่จ๋อง ดร.อนุรักษ์ เรืองรอบ แล้วรู้สึกประทับใจในความสำเร็จวันนี้ของพี่เขา ไม่ได้รู้จักกันเป็นส่วนตัวแต่เคยเจอในงานสัมนาเกษตรอินทรีย์เมื่อนานหลายมาปีแล้ว ประกอบกับเคยอุดหนุนผักสลัดปลอดสาร GreenHeaven ของพี่เขา  ส่วนตัวผมชื่นชมพี่เค้าในแง่ของความกล้าทำตามฝัน ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เมื่อมีเป้าหมายก็เริ่มสะสมกำลังเงินทองและความรู้ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่พร้อม ก็ออกจากกรอบ ลาออกจากงานประจำ ทิ้งเงินเดือนผู้บริหารหลักแสนบาทต่อเดือนมาเป็นเกษตรกร ที่ อ.หนองรี จ.ชลบุรี บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ เริ่มจากสวนผลไม้ และปลูกผักปลอดสารพิษ ทำเกษตรอินทรีย์   ความน่าสนใจคือ พี่เขาทำเองเกือบทั้งหมดไม่ได้ จ้างชาวบ้านหรือชี้นิ่วสั่งงานแบบผู้บริหาร แถมยังสร้างความเข้มแข็งในชุมชนด้วยการร่วมกลุ่มกลุ่มส่งเสริมเกษตรอินทรีย์หนองรี ร่วมกันหันมาปลูกผักสลัดปลอดสารพิษ ส่งขาย โดยมีพี่จ๋องเป็นหัวแรง ทำการตลาด พัฒนาโรงเรือนล้างผัก บรรจุหีบห่อ รวมถึงจัดรถห้องเย็นขนส่งผักสลัดเมืองหนาวสดๆ ปลอดสารเข้ามาขายถึงออฟฟิตในกรุงเทพ  พี่จ๋องใช้ความรู้ทักษะ การบริหารจัดการ และการทำการ

ไม่มีคำว่าบังเอิญ

รอบตัวเรา เรามักจะพบคนที่ประสบความสำเร็จปะปนอยู่เสมอ ทั้งแบบที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ประสบความสำเร็จระดับวงการวิชาชีพ หรือแม้แต่คนที่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน การเรียนรู้จากคนเหล่านั้นผมว่า เป็นเรื่องดี เพราะโลกนี้ มันไม่หรอกครับ เรื่องความบังเอิญ บังเอิญรวย บังเอิญผลิตสินค้าแล้วขายดี บังเอิญทำธุรกิจแล้วร่ำรวย มีชื่อเสียง หรือแม้แต่ในแวดวงนักลงทุน ที่ประสบความสำเร็จ คนเหล่านั้นเขาไม่ได้มาจากความบังเอิญ ไม่ใช่ว่ามายืนจุดนี้ได้จากการจับฉลากหรือเสี่ยงเซียมซีได้เลขสวย ผมยังจำคำที่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งสอนได้ว่า คนที่เก่ง คนที่รวย คนดี คนเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะความบังเอิญ ส่วนตัวผมเองชอบอ่านหนังสือ เรียกว่าอ่านมากกว่าเขียนหลายเท่านัก หนังสือประเภทหนึ่งที่ผมชอบมากคือ หนังสือ อัตชีวประวัติ ของบุคคลสำคัญ ทั้งระดับโลก และในระดับประเทศ ยิ่งตอนนี้หากินกับการลงทุน ก็จะชอบอ่านชอบศึกษาประวัติของนักลงทุนและนักเก็งกำไร คนสำคัญมากเป็นพิเศษ  นักลงทุนหรือนักธุรกิจ หลายคนที่ผมศึกษาเกือบ 80% ไม่มีคำว่าบังเอิญหรือฟลุ๊ค คนเหล่านั้นมาจากศูนย์ สร้างตัวเอง พัฒนาตัวเองจนประสบความสำเร็จ เขาผ่านวิกฤติของชีวิตมา

ชะตากรรม facebook ในอนาคต

เขียนถึงหุ้น facebook อีกแล้ว หลายคนเริ่มแซว ว่าผมมีหุ้นนี้หรือเปล่า บอกได้เลยว่าไม่มีครับ เพราะไม่ชอบตามกระแส ไม่บ้าซื้อของแพงๆ(P/E= 72) 555 แต่ที่เขียนถึงเพราะเป็นกรณีศึกษา ผมชอบหุ้น IT อาจจะเพราะสายงานด้วย ทำให้พอเอารายงานประจำปี หรือรายงานบทวิเคราะห์มาอ่านแล้วสนุก ในต่างประเทศบริษัทที่ออกบทวิเคราะห์ อุตสาหกรรม IT นักวิเคราะห์ ไม่ไก่กา เขาเอากูรู IT ที่รู้จริงๆมาวิเคราะห์มุมมอง กลยุทธ เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ส่วนเรื่องการเงิน งบก็ให้คนที่จบทางบัญชีเขียนรายงานไป ช่วยกันทำมันทำให้ได้สองมิติที่ลึก และชัด  หุ้นกลุ่มนี้ทั้ง Google, Apple และอื่นๆ ผมติดตามเสมอ แต่ facebook มีเรื่องให้เขียนถึงบ่อยเพราะมีกระแส มีข่าวมาตลอด ล่าสุดเคราะห์กรรม ยังไม่จบไม่สิ้น ปัจจุบันราคาหุ้น facebook ร่วงมาที่ 19.05  ดอลลาร์ต่อหุ้น  เป็นแนวรับต่ำสุดที่ผ่านมา มูลค่าลดลงเกิน 50% จากจุดสูงสุดเดิมที่ 45  ดอลลาร์ ตอนวันที่ IPO (ราคา IPO @38 ดอลลาร์)เล่นทำเอานักลงทุนอเมริกันหน้าเขียว คางเหลืองไปตามๆกัน โดยเฉพาะช่วงวันที่ 17 สค. ที่ผ่านมาเป็นช่วงพ้นกำหนด Lock-Ups ที่อนุญาติให้ กรรมการบริหารเฟซบุ๊ก และนักลงทุนรุ่นแรก สา

ชีวิตที่ไม่ยอมแพ้

คุณเคยเหนื่อยและท้อแท้กับงานที่ทำบ้างไหมครับ??? ดูเหมือนจะเป็นคำถามบ้านๆที่หลายคนคงเคยพบ หรือเคยตั้งคำถามกับตัวเอง สักครั้งในชีวิต การจะก้าวข้ามอุปสรรค์และความยากลำบากนี้ไปได้ก็ต้องอาศัยความเพียง พยายามอย่าถึงที่สุด และแน่นอนว่าคงไม่มีอะไรดีกว่าการพยายามปลุกพลังบวกในใจเราให้ลุกขึ้นสู่ต่อไป ผมมีเรื่องราวดีๆของ 2 ตัวอย่างชีวิตที่ไม่ยอมแพ้มาฝากกัน ทั้งสองคนนี้เป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่กับตัวเอง ถึงแม้จะเป็นความสำเร็จที่ได้มาจะไม่ได้เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นชัยชนะก้าวแรกสำหรับเส้นทางสู่ความสำเร็จในอนาคต คนแรก ที่ผมจะขอนำมาเป็นตัวอย่างคือ คุณ  Oscar Leonard Carl Pistorius  เกิดที่เมืองโยฮันเนสเบริก ประเทศแอฟริกาใต้ เขาพิการตั้งแต่เกิดไม่ขาทั้งสองข้าง ตั้งแต่ใต้หัวเข่า เริ่มใส่ขาเทียมตั้งแต่ 1 ขวบเป็นคนรักกีฬา ชอบเล่นกีฬาหลายประเภท แม้จะพิการแต่ใจไม่เคยท้อเขาฝึกฝนและทุ่มเท โดยเฉพาะการวิ่งที่ ออสการ์ เขาชนะการวิ่งแข่งขันวิ่ง 100 เมตรในกีฬาของโรงเรียน ซึ่งแข่งกับคนปกติ ด้วยเวลา 11.72 วินาที ดีกว่าสถิติของนักกีฬาพาราลิมปิกอยู่ที่ 12.20 วินาที ในตอนนั้นเขาเริ่มได้รับโอกาสในการกีฬา โดยมีผ

หุ้น Facebook ตอนที่ 2: ใครรวยจากหุ้น

หลังจากนำเสนอเรื่อง IPO ของ Facebook ในตอนแรกไปหลายคนสนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนประเด็นนี้กันเยอะ โดยเฉพาะกรณีที่ราคาหุ้นของ Facebook ล่วงลงอย่างแรงหลังเข้าตลาดทำให้ ใครหลายคน โดนเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในอเมริกาผิดหวัง เพราะกระแสเชียร์ก่อนเข้าตลาดนั้นดีมาก แต่พอผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ราคาก็ดิ่งเหว ทำเอาคนที่ซื้อราคาจองขาดทุนกันถ้วนหน้า ผมขอเอาข้อมูลทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Facebook มาเปิดเผยให้ดูกัน หลังจากหุ้น Facebook ได้เข้าสู่ตลาด NASDAQ ทันทีทีระฆังดังขึ้นและมีการเปิดขาย IPO ก็จะมีเศรษฐี มหาเศรษฐีเงินล้าน เกิดขึ้นหลายคน โดยทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้นใน Facebook โดยแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ผู้ก่อตั้ง กลุ่มทุน ลูกจ้างและพนักงานบริษัท หลายคนเป็นเศรษฐีป้ายแดงมาดๆจากการมีหุ้นของ facebook ผมขอยกตัวอย่างกลุ่มและคนบางส่วนที่มีบทบาทมาให้ดูเพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยใช้ราคา IPO ที่ 38 บาทมาเป็นตัวคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของแต่ละคน 1.  Mark Zuckerberg  คุณพี่มาร์ค ผู้ก่อตั้งและ CEO มีหุ้น facebook ถึง 28.2% คิดเป็นมูลค่า $24 billion ถ้าไม่มีมาร์คก็คงไม่มี facebook ต้องยอมรับในความสุดยอดของผู้ชายคนนี้จริงๆ ม