ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ บทความ

ลักษณะ 12 ประการของมหาเศรษฐี

อยากเป็นมหาเศรษฐีกับเขาก็ต้องอ่านไว้นะครับW.Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ "The Richest Man in Town " โดย การสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่นๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง 1. ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหา หรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุนทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้องเงินจะมาเอง 2. รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่าอะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้วงานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุข และเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกกับซูซี่ อดีตภรรยาที่ล่วงลับไป ในตอนที่แต่งงานกั

I'm VSOP

มีพี่คนหนึ่งถามว่า VSOP คืออะไรขอยกบทความของท่านเจ้าสำนักมวยวัด มาให้อ่านจะได้ลองทำความเข้าใจกันครับ ธานินทร์ งามวิทยาพงศ์ นักลงทุนมากประสบการณ์ ที่นักลงทุนในชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างพันทิป (ห้องสินธร) เขารู้จักกันในชื่อ “คลายเครียด” หรือ “endophine” ผู้เขียนหนังสือ “เทมเปิ้ล BOXING: คัมภีร์การลงทุนแนว VSOP” เป็นคนบัญญัติศัพท์และให้คำอธิบาย ที่รับรองว่า แม้แต่ฝรั่งเจ้าตำรับการลงทุนยังคิดไม่ถึง วิถีทางของ‘หนุ่มหมัดเมา’ ถ้านักลงทุนที่มีสไตล์การลงทุนแบบ VI หรือ เรียกว่า Value Investor เป็นนักรบฝ่ายบุ๋น ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และพร้อมที่จะอดทนรอเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน เพราะเชื่อว่า ในท้ายที่สุดราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการของบริษัท แอบแถมให้อีกนิดว่า วิชชุ จันทาทับ ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ บอกว่า การลงทุนแบบ VI น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสำหรับการลงทุนในภาวะตลาดปัจจุบันมากที่สุด นักลงทุนแบบ VS (Value Speculator) ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตาม “อำนาจซื้อของเงิน” และ “อำนาจขายของหุ้น” โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานของบริ

นอกตำราสูตร "โกศล ไกรฤกษ์"

ชื่อของ "โกศล ไกรฤกษ์" หายไปนาน หลังจาก บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์(1991) ถูกแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงกิจการ เมื่อกลางปี 2540 ทรัพย์สินชิ้นสุดท้ายมูลค่าหลายพันล้านบาทหายวับไปกับตา สมการชีวิตของชายคนนี้ผ่านร้อนหนาวทางการเมืองมาอย่างโชกโชน เป็น ส.ส. พิษณุโลกหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง เป็นผู้ที่ก่อตั้งพรรคกิจสังคมร่วมกับ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช มีอุปนิสัยพูดจาโผงผางจนได้รับขนานนามว่า "นักเลงโบราณ" แม้ว่าลุงโกศล จะลดบทบาทการเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไปนานแล้ว แต่แนวทางการลงทุนที่เน้นความ "ปลอดภัย" ของลุงโกศลไม่เคยล้าสมัย โดยเฉพาะคำพูดที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง" แกบอกว่าได้ความรู้มาจากเจ๊ก (นักธุรกิจชาวจีน) สอนแกมาอีกทีหนึ่ง สมัยตอนเป็นรัฐมนตรี เจ๊กมันบอกว่า....!!! อย่างแรก "ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย" อย่างที่สอง "ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่" อย่างที่สาม "ต้องมีรายได้จากเงินปันผล" นี่แหละรายได้ 3 อย่าง สูตรขนาดแท้ของลุงโกศลเลยล่ะ ลุงโกศลเล่าให้ฟ

กลวิธีของรายใหญ่ไล่ยำ

เริ่ม เลยก็แล้วกัน ตามที่ทุกคนรู้กันดีแล้วว่าตลาดหุ้นเรามีขาใหญ่คุมคอยดูแลควบคุมความเคลื่อนไหวหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดอยู่ หรือเรียกกันภาษาเราๆก็ “ปั่น”นั่นแหละ และแน่นอนทุกๆคนคงรู้ดีว่ามีกลุ่มใหญ่ๆอยู่ไม่กี่กลุ่มที่มีทั้งอิทธิพลและ กำลังเงินมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยปู่ หมอยงค์ เสี่ยเอกฯ หรือกลุ่มนกม. เช่นท่าน ป.กาแฟ ท่าน ส. กลุ่มหาดใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น พวกนี้จะรู้กันดีว่าใครดูหุ้นตัวไหนอยู่และจะไม่ล้ำเส้นกันถ้าไม่จำเป็น ในบางครั้งยังร่วมมือกันอีกด้วยซ้ำ ยังไม่รวมกองทุนเล็กกลางที่เป็นแนวร่วมอีกหลายกอง กองทุนหัวดำที่บรรดาพวกนี้มีเงินอยู่ เพื่อใช้ในการแปลงกาย กลุ่ม ใหญ่ๆนี้ลุงจะไม่ขอลงรายละเอียดมากเพราะทุกคนคงเคยอ่านบทความหลายๆบทความ เกี่ยวกับนัก”ปั่น” เหล่านี้ว่ามีวิธีการทำกันอย่างไร เพราะหุ้นที่กลุ่มพวกนี้เล่น ถ้าทุกคนเล่นตามจังหวะที่ดีอ่านแม่นๆ ตามที่จอมยุทธิ์หลายๆท่านในที่นี้แนะนำไว้ก็คงไม่เจ็บตัวมากนัก เพราะรอบมันจะแกว่งให้มีโอกาสทำกำไรได้พอสมควร มีรูปแบบของกราฟเทคนิคที่พออ่านได้บวกประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญแล้วคงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ต้องบอกไว้เลยว่ากลุ่มพวกนี้จะยังไม่หยิบหุ้นของตัวเองขึ้นมา

"จอร์จ ตัน" เซียนเหนือเซียน

ชอบบทความนี้ครับ พอได้อ่านแล้วอยากนำมาเก็บไว้ ผมว่ามันทำให้เราตาสว่างและได้มีโอกาสเห็นในมุมของรายใหญ่บ้าง จริงเท็จแค่ไหนตอบไม่ได้ครับ แต่ก็ฟังหูไว้หูบ้างก็ไม่เสียหาย -------------------------------------------------------- ตอน..กลยุทธ์หักเหลี่ยมโค่น "เซียน" ที่มา: Bangkok Biznews "จอร์จ ตัน" คือชื่อที่ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" โด่งดังในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ในฐานะมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) มือฉกาจ ที่เล่นกับความเสี่ยงทุกชนิด ทั้งหุ้น ค่าเงิน และความผันผวนของราคาน้ำมัน "ผมเล่นหุ้นทั่วโลกเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว" เอกยุทธให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น ?นักธุรกิจ? ที่แสวงหาโอกาสจากความเสี่ยง และผลกำไร ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เขาบอกว่าเพื่อนๆ จะให้เกียรติเรียกว่า "ไต่กอ" หรือ ?Big Brother? ภาษาไทยแปลว่า?พี่ใหญ่? "เพื่อนฝูงผมเยอะมากทุกวงการจนบางคนเขามองผมว่าเป็น "มาเฟีย? ถ้าคุณไป สิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปถามชื่อผมว่า "จอร์จ ตัน? เมืองไทย นักธุรกิจทุกคนรู้จักผม ไม่มีทางลืมชื่อผม? เอกยุทธกล่าวด้วยความมั่นใจ เอกยุท

ความไม่แน่นอน

ไปเจอบทความดีๆที่ว่าด้วยกฏของธรรมชาติ คืออนิจจัง เป็นนิทานธรรมะที่เตือนใจนักลงทุนได้ดีครับ ลองอ่านดูแล้วจะไม่ประมาทในการใช้ชีวิตและการลงทุน สุทิน กับ สินธุ เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เรียนวิศวะ จบมาแล้วก็ได้งานทำที่โรงงานเดียวกัน ชื่อที่คล้องจอง ลักษณะนิสัยที่คล้ายคลึง ทำให้เขาทั้งสองสนิทสนมกันมาก ทำงานร่วมกันมาหลายปี จนกระทั่งปลายปี ๒๕๔๙ เศรษฐกิจตกต่ำลง โรงงานที่เขาทั้งสองทำงานอยู่ปิดกิจการ งานที่เคยคิดว่ามั่นคง ตำแหน่งงานผู้บริหารระดับต้นอันทรงเกียรติกลายเป็นอดีต เขาทั้งสองจำต้องแยกย้ายไปคนละทิศละทาง หลายปีผ่านไป เศรษฐกิจขึ้นแล้วลง ลงแล้วขึ้นไปตามวัฏจักรของมัน เขาทั้งสองไม่ค่อยได้เจอกันอีก ขณะนี้สุทินทำงานเหมืองที่ประเทศลาว ในบริเวณป่าเขาที่แทบจะติดต่อโลกภายนอกไม่ได้ ทำงานติดต่อกันทุกวัน เป็นเวลาหกสัปดาห์ และ หยุดสองสัปดาห์ เพื่อใช้หนี้ที่เขาติดค้างญาติเป็นค่ารักษาพยาบาลพ่อก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต ส่วนสินธุนั้นหลังจากเขานำเงินที่เก็บได้ไปเล่นหุ้นจนเกือบหมดตัวแล้วก็ว่างงาน ต้องทำงานรับจ้างเล็กๆ น้อยๆ จนเศรษฐกิจเริ่มดีอีกครั้ง สินธุจึงได้งานใหม่ในตำแหน่งผู้จัดการโรงงานแห่งหนึ่ง อยู่มาวันหน

มีเงินสิบล้าน ควรนำไปทำอะไรดีครับ ???

คำถามแบบนี้เป็นคำถามที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย เป็นคำถามที่เสียดแทงใจหลายคนที่เป็นนักเล่นหุ้นแต่มีเงินเก็บน้อยกว่าคนถาม ซึ่งเราจะพบการสะท้อนความอัดอั้นได้จากคำตอบประเภทแดกดันที่ว่า มีเงินเยอะขนาดนี้ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็เอาไปฝังดินไว้เถอะ ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นคำถามอะไรที่แปลกแต่อย่างใด อยากให้มองด้วยใจเป็นกลางเพราะผมเชื่อว่าทุกคนย่อมเคยมีคำถามอย่างนี้มาก่อน ต่างกันตรงที่จำนวนเงินมากบ้างน้อยบ้าง แต่อย่างน้อยด้วยคำถามแบบนี้มักจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราหันมาศึกษาเรื่องการลงทุน และเข้ามาสู่ตลาดหุ้น หรือสนามการลงทุนรูปแบบต่างๆ ไม่ใช่หรือครับ ตลอดชีวิตตั้งแต่เรียน จนทำงาน เรามักถูกสอนและพยายามจะเรียนรู้แต่การทำเงิน สร้างเงิน พยายามขวนขวายสร้างศักยภาพ ทำงานหนักเพื่อการสร้างรายได้ ทั้งจากทางตรงคือสร้างโอกาสให้ได้รับตำแหน่งงานที่ดีเพื่อเงินเดือนที่สูงขึ้น หรือทางอ้อมจากการทำงานพิเศษ แน่นอนว่านั้นก็คือการทำงานเพื่อแลกเงิน แต่เราไม่ได้เรียนรู้เรื่องการเงินการลงทุนเท่าไหร่นัก นอกจากผู้ที่ศึกษามาโดยตรงทางด้านนี้(แต่ถ้ามีทัศนะคติที่ผิดก็ไม่มีประโยชน์) ปัญหาก็คือต่อให้เรามีความสามารถและมีวินัยในการ