ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ crisis

บริษัทเทรดน้ำมันยักษ์ใหญ่ จ่อล้มละลาย

ราคาน้ำมันตลาดโลก กำลังเป็น talk of the town สิ่งที่น่ากลัวกว่าราคาน้ำมันป่วน คือบริษัทค้าน้ำมันล้มละลาย ที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว ถ้าใครเทรดน้ำมันแบบผม หรือติดตามอ่านข่าวตลาดน้ำมันน่าจะเคยได้ยินชื่อบริษัท ฮินเหลียง เทรดดิ้ง (Hin Leong Trading) เป็นบริษัทค้าขายน้ำมันอิสระใหญ่ที่สุดในประเทศสิงคโปร์ เป็นที่ภาคภูมิใจของสิงคโปร ฐานะผู้เล่นรายใหญ่ที่มีบทบาทในตลาดน้ำมัน วันนี้ ฮินเหลียง เทรดดิ้ง ป่วนหนัก ยื่นล้มละลายหลังหลังขาดทุนถึง - $800 ล้าน ในการซื้อขายนํ้ามันล่วงหน้า (Oil Futures) รวมถึง บริษัทในเครือ โอเชียนแทงเกอร์ส ล้มละลาย ข่าวระบุบริษัทเป็นหนี้ค้างชำระถึง 4.05 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่มีสินทรัพย์เพียง $714 ล้าน ต่อให้ขายทุกอย่างจนหมด ยังมีหนี้ค้างกว่า 3.34 พันล้าน สิ่งที่น่ากลัวไม่ใช่แค่บริษัทนี้ล้ม แต่เป็นความกังวลที่ลาก เจ้าหนี้ คือ ธนาคารขนาดใหญ่และสถาบันการเงินกว่า 20 แห่ง ของสิงคโปร และเอเซีย รวมถึง นักลงทุน ล้มไปด้วย นั้นหมายถึงหายนะของเศรษฐกิจสิงคโปร เลยทีเดียว นอกจากรัฐบาลสิงคโปรจะไม่ช่วย bailout แล้ว ยังเปิดการสอบสวนบริษัท Hin L

What coronavirus means for the global economy | Ray Dalio

เช้านี้ผมมีโอกาสได้ฟังคุณ Ray dalio ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับผลกระทบต่อการระบาดของ COVID-19 กับ ระบบเศรษฐกิจ มีหลายประเด็นน่าสนใจมาก และเป็นอีกมุมมองที่จะแตกต่างจากสื่อหลัก หรือมุมมองของกูรูท่านอื่นๆ แต่ผมเชื่อว่ามันมีประโยชน์ในการรับฟัง เลยทำบทสรุป มาให้ลองอ่านดูครับ  สรุป - วิกฤติ covid-19 คือ ซึนามิทางเศรษฐกิจ ที่มาจากการหยุดชะงักของกิจกรรมเศรษฐกิจ จาก social distancing ตามด้วยปัญหางบดุล ด้านรายได้หดหาย ขาดรายได้ ทำให้ไม่สมดุล ระหว่างรายได้กับรายจ่าย ทั้งสเกลของ รัฐบาล เอกชน และครัวเรือน -ปัญหา เงิน(money) และเครดิต(credit) - หนี้ถูกสร้างสูงขึ้นมากเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เกิด Gap ที่อุดได้ยากในงบดุล ในอนาคตแม้ผ่านวิกฤติ covid-19 ต้องหา เงินมาชดเชย เป็นหนี้สาธารณะที่ประชาชนต้องจ่าย - คล้ายช่วง 1930-1940 มันเป็นจุด stress test ปัจจุบันเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านสำคัญ(defining moment) ที่จะมี ผลต่ออนาคต ขึ้นกับการจัดการปัญหาสำคัญ เช่น -ปัญหาทำให้เกิดช่องว่าง เศรษฐกิจ( เงิน(money) และเครดิต(credit)) , -ปัญหาช่องว่างทีทำให้เกิดปัญหาทางสังคม การแตกแยกระหว่างชนชั้น คนจนลำบากมากขึ้น เงินของรัฐสนับส

Ray Dalio estimates the corporate losses

Ray Dalio ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับผ ลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐจากว ิกฤติการระบาดของไวรัส COVID-19 - เขาเชื่อว่าวิกฤตินี้ทำให้เ กิดการเสียหายครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ ภาคองกร์ธุรกิจ จะเสียหายถึง $4 trillion เขาประเมินทั้งโลก(Global) เสียหาย $12 trillion - ธุรกิจขนาดเล็กอาจจะล้มละลา ย เจ้าของกิ จการหมดตัว, ประชาชนจำนวนมากตกงาน - การเกิดวิกฤติยิ่งยาวและใช้ เวลานาน ทำให้ผลกระทบต่อสภาพคล่องขอ งธุรกิจ -รัฐบาลต้องอัดฉีดเงินสด ไปยังประชาชนและธุรกิจเพื่อ เสริมสภาพคล่อง + การลด/ ชะลอหนี้ในธุรกิจและประชาชน รวมไปถึงการ bailout ที่อาจจะเกิดขึ้น เขาประเมินรัฐบาลควรใช้งบ fiscal stimulus package อย่างน้อย $1.5 trillion - $2 trillion -ด้านนโยบายการเงินจาก Fed ช่วยเรื่องการลดอัตราดอกเบี ้ย ต้นทุนการกู้ยืม + QE แต่เขามองว่าเครื่องมือหรือ ประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศร ษฐกิจของ Fed ลดต่ำลงและมีจำกัดกว่าทุกคร ั้งที่เกิดวิกฤติ (ระดับ อัตราดอกเบี้ยต่ำติด 0, การซื้อ Bond ของเฟดไม่สามารถทำให้ราคาบอ นด์ลงได้) -โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของ รัฐบาลใช้เงินเยอะ รัฐออกBond ระดมเงินมาเสริมกระตุ้นเศรษ ฐกิจ แต่ปัญหา

ถ้าเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธุรกิจอะไรจะรุ่ง ?

กระทู้นี้จาก pantip น่าสนใจดี เข้าไปนั่งอ่านคอมเมนต์แล้วก็ได้เห็น มุมมองความคิด ความรู้สึกอะไรเยอะดี ลองมานั่งตกผลึกความคิดพบว่า โอกาสจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ถ้าเราดูตามคำเตือน จากการวิเคราะห์ความเสี่ยงในระด้บเศรษฐกิจโลก ก็ต้องตอบว่าประมาทไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่น่ากลัวแบบสุด วิกฤติเศรษฐกิจ ถ้าเคยอ่านหนังสือ Big Debt Crises ของคุณ ray dalio จะเห็นว่า pattern การเกิดมีหลายแบบ หลายประเภท ถ้าไม่เป็น black swan ไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ไม่หนักมากจากบทเรียนในอดีต IMF ก็เอาอยู่ (ตอนนี้ดูอเจนติ นา เป็นตัวอย่างได้) ขณะเดียวกันแบบหนักเช่น เวเนซุเอล่า ตรุกี ก็ถือว่าไม่ธรรมดาและกระทบหนัก อันนี้ถ้าประเทศแข็งแรง โอกาสจะเกิดก็ยาก ในด้านคนธรรมดา ถ้าไม่มีหนี้เยอะ ไม่มีภาระการเงินสูง มีอาชีพที่มั่นคงก็คงไม่น่ากลัว แต่ในภาคธุรกิจนี้อีกเรื่องเพราะ ถ้าวิกฤติเกิดบริษัทยังไงก็ต้องได้รับผลกระทบเต็มๆ ทั้งจากยอดรายได้ จากต้นทุนทางการเงิน และอื่นๆ คนทำธุรกิจ ต้องระวังให้หนัก สะสมสายป่านให้ยาวพอจะผ่านช่วง crisis และ recession ไปให้ได้(เฟส 2-5ปี) ส่วนธุรกิจที่จะรอดวิกฤติ จริงๆเราดูตัวอย่างได้ถ้าระดั

Ray Dalio Sees Parallels to 1930s in Today’s Markets

บลูมเบริ์กลงบทสัมภาษณ์ของคุณ Ray dalio โดย Barry Ritholtz มีหลายประเด็นน่าสนใจ สรุปเบื้องต้นเก็บไว้ดังนี้ - debt cycle ในปัจจุบันคล้ายปี 1930 (late stages of this short-term business cycle) - ตัวเลขหนี้จำนวนมหาศาลทำให้เผชิญปัญหา กรณีอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น - อนาคต USD ลดทอนบทบาท(เงินสกุลอื่นจะขึ้นมามีบทบาทแทน แต่ ray ไม่ระบุรายละเอียด)และอาจจะด้อยค่าจากภาวะหนี้ -การสร้างหนี้ในอนาคตของรัฐบาลสหรัฐ จะยากขึ้น มีต้นทุนสูงขึ้นต้องเพิ่มผลตอบแทนเพื่อมาจูงใจเจ้าหนี้ต่างชาติ - Low interest rates ตัวเร่งทำให้เกิดภาวะ leveraged long กระแสเงินทำให้เกิดการเพิ่มกำลังซื้อในตลาดหุ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ทำจุดสูงสุดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งภาวะนี้ไม่คงอยู่ตลอดไป  -ray แนะนำนักลงทุนเตรียมแผนรับมือ ลดความคาดหวังผลตอบแทนที่สูงเหมือนอดีต รวมบริหารความเสี่ยง balance portfolios [all weather strategies + risk parity] -เมื่อเกิดปัญหาเศรษฐกิจรอบใหม่ จะนำมาซึ่งปัญหาการเมืองต่อเนื่อง สาเหตุจากความไม่เท่าเทียมกันระหว่างคนจนและคนรวย ก่อเกิดระบอบประชานิยม การต่อสู้ของคนสองกลุ่มในสังคมที่รุนแรง

ครบรอบ 89 ปี Black Tuesday

เมื่อ 89 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญกับเหตุการณ์ Wall Street Crash of 1929 หรือ Black Tuesday โดยตลาดหุ้นนิวยอร์ค New York Stock Exchange หลังจากรับข่าวความตรึงเครียดในยุโรปและเกิดแรงขายมหาศาลกดดันจนตลาด ลอนดอน ถล่มในวันก่อนหน้า ความวิตกกังวลนี้ทำให้เกิด Panic sell เกิดการขายหนักกดดัชนี Dow Jones Industrial Average เปิดตลาดต้องเผชิญ การถล่มของราคารุนแรงสุดอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนในขณะนั้น โดยดัชนีปรับตัวลง 2 วัน(28 -29 oct)รวมกันราวๆ -25% ตลาดหุ้นสูญเสียมูลค่่า $30 billion เฉพาะวันที่ 29 ดัชนีปรับลงราวๆ -12% จำนวนหุ้นกว่า 60 ล้านหุ้นถูกขายในวันเดียว ซึ่งราคาหุ้นเกือบทั้งหมดนตลาดสหรัฐปรับตัวลงรุนแรง สิ้นสุดตลาดกระทิงระยะยาว 9 ปีนับตั้งแต่ช่วงต้น 1920 และเหตุการณ์ Black Tuesday นี้นำมาซึ่งการสูญเสียความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐ การล้มละลายของธุรกิจ ธนาคาร ปัญหาหนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ Great Depression ที่กินระยะเวลายาวนาน 12 ปี เรื่องราวเหตุการณ์วิกฤติการเงิน มีหลายประเด็นที่น่าสนใจเป็นเทรดเดอร์ ลองหาข้อมูล ศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้ ช่วยทำให้มองเห็นสิ่

Mania to Mania 2018

บทความนี้ของคุณ Michael Batnick เขาเขียนถึงความ mania ในปีนี้ ที่นักลงทุน นักเก็งกำไรได้เผชิญ เปิดเรื่องเขาพูดถึง cryptocurrency ที่ปลายปี 2017 ด้วยผลตอบแทนมหาศาลกลายเป็นความหวังใหม่ให้กับ นักลงทุนนักเก็งกำไรผู้ต้องการแสวงโชคตามกระแส แต่หลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน เพราะแค่ปี 2018 ตลาด crytocurrency ก็เกิดภาวะถดถอยของราคาเหรียญคริปโตสกุลหลัก เช่น Ethereum ที่ Peak สุดขีดช่วงเดือนมค. 2018 ราคาบวกไปถึง 16,915% ด้วยเม็ดเง ินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าไปในตลาดคริปโตช่วงปี 2017 แต่แล้วราคาก็กลับร่วงลงหนัก ถึงปัจจุบันเดือน กย. ราคาปรับลงถึง -90% จากจุด Peak ช่วงเดือน กพ. (แต่ยังสูงจากจุดเริ่มต้นถึง 2,000% )ทรงการถดถอยเกิดในเหรียบคริปโตตัวอื่นๆเช่นกันโดยเฉพาะกลุ่ม alter coin ทำเอานักเก็งกำไรนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเข้าไปในตลาดขาดทุนหนักตามๆกัน แต่บางกลุ่มโดยเฉพาะนักลงทุนมือเก่าที่อยู่ในตลาดคริปโตมานาน มีต้นทุนต่ำยังเชื่อว่านี้มันคือการปรับฐานหรือทำกำไร ส่วนฝ่ายตรงข้ามคริปโต มีความคิดเห็นที่น่าสนใจหลายท่าน อย่าง warren buffett ให้ความเห็นช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า มันจะจบไม่สวย (“bad ending”)

The next financial crisis ,Ray Dalio

บทความนี้อ้างสัมภาษณ์ความคิดเห็นของ Ray dalio เกี่ยวกับวิกฤติการเงินรอบใหม่ โดยสรุปอาจจะเกิดในอนาคตอันไกล(ไม่น่าจะเกิน 2 ปี) ซึ่งจะเกิดแตกต่างจากวิกฤติการเงินอดีต ปัญหาจะซับซ้อนและยากที่จะแก้หรือกระตุ้นให้ กลับมาเหมือนเดิม อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจพักตัวยาว(slow growth) มีผลกระทบรุนแรงมากต่อสังคม เกิดปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ray dalio มอ งว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคต และให้ความเห็นว่า Fed ไม่ควรรีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินตลาดคาดหวัง ตบท้ายด้วยประโยคสั้นๆ “I’d be more defensive rather than more aggressive,” สถานการณ์ตอนนี้คำว่า crisis กลายเป็นประเด็นที่สื่อต่างๆนำมาถกเถียงและพูดถึงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันออกไปทางคล้ายๆกันคือ ทุกคนรับว่า asset มันราคาสูง(บางตัว over value) บวกกับอนาคตไปข้างหน้ามันมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐโดยโดนัล ทรัมป์จะมาเปิด trade war ทั้งกับจีน ญี่ปุ่น ยุโรป กดดันเศรษฐกิจโลกเข้าไปอีก สุดท้ายเมื่อของกินของใช้แพง มันย้อนไปกระทบเศรษฐกิจของอเมริกา ซึ่งมีทั้งฝ่ายเชื่อว่ามีโอกาสจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤติในเวลาอันใกล้ และบางฝ่

How To Really Tell If a Recession is Coming

คลิปรายการ At what Cost ตอนนี้น่าสนใจ เนื่องจากช่วงปี 2018 นี้ มีการพูดถึง recession กันบ่อยขึ้นหลังเศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้นมาต่อเนื่องปีที่ 9 จากวิกฤติการเงิน บลูมเบริกนำเสนอตัวชี้วัดการเกิด economic recession จาก 3 expert  1. yield curve  - Lisa abramowisz นักข่าวผู้เชี่ยวชาญด้าน fix income พูดถึง yield curve เป็น indicator สำคัญที่มีความน่าเชื่อถือในการระบุการเกิด recession(จากอดีต 7 ครั้งที่ผ่าน) ปัจจุบัน yie ild curve ต้องจับตาแม้จะยังไม่ invert แต่ก็ flat ระดับต่ำกว่า 1% เข้าใกล้ 0% 2. consumer confidence - Matthew Boesler พูดถึงตัวชี้วัดเศรษฐกิจอย่าง consumer confidence ที่ปัจจุบันจากการสำรวจล่าสุด ออกมาไม่สดใจ มีการชะลอตัวโดยเกิดปัจจัยของราคาที่เพิ่มสูงต่อเนื่อง ทั้งบ้าน อสังหาริมทรัพย์ และรถยนต์  3. stock market - Peter coy บรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจการเงิน พูดถึง stock market แม้จะไม่ใช้ดัชนีชี้วัดที่น่าเชื่อถือมากนัก แต่ดัชนีตลาดหุ้นมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของประเทศ ยิ่งภาพเศรษฐกิจดี ส่งผลให้กิจการดี ดัชนีตลาดหุ้นเติบโต เข้าอ้างความคิดเห็นของ paul samuelson ระบุจาก 5