ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

จิตวิทยาการลงทุน

สองสามวันที่ผ่านมาดัชนี SET ร่วงลงมาอย่างรุนแรง ส่งผลให้หุ้นรายตัวต่างพุ่งดิ่งลง แบบแดงกันเกือบทั้งกระดาน เหตุการณ์แบบนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อย ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งถ้าท่านได้ลงทุนในตลาดหุ้นนานขึ้น ท่านจะเคยชินและตกใจน้อยกว่าน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาสู่ตลาด แต่แน่นอนว่าไม่ว่าหน้าเก่าหรือหน้าใหม่การที่เห็นดัชนีหุ้นของตัวเองถูกกระหน่ำเทขาย แบบไม่ลืมหูลืมตาย่อมก่อให้เกิดผลทางจิตใจ และแน่นอนครับว่าเจ้าผลกระทบทางจิตใจนี้เองที่ มีผลต่อการกำไร หรือขาดทุนของเรา  เพราะเมื่อจิตใจเราโดนครอบงำด้วยอารมณ์ความกลัว ความตื่นตะหนก บวกกับจิตวิทยาหมู่ของตลาด มันทำให้การตัดสินใจของเรานั้นเกิดจากอารมณ์ มากว่าเหตุและผล ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมา ผมขอเอาประสบการณ์จากเพื่อนๆ และตัวเอง(ในอดีต) มาสรุปไว้ให้อ่านว่า จิตวิทยาจะมีผลยังไงต่อการลงทุนของท่านบ้างในวันแดงเดือดแบบนี้ 1. ขายตามคนอื่น อันนี้เป็นเรื่องของสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายคนโดยเฉพาะนักลงทุนหน้าใหม่ และหน้าเก่าที่ขี้ตกใจกระทำกัน โดยเรามักจะรีบขายหุ้นตัวที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ติดลบมาก และมี การโยนขายแบบไม้ใหญ่ๆต่อเนื่อง ก

ลักษณะ 12 ประการของมหาเศรษฐี

อยากเป็นมหาเศรษฐีกับเขาก็ต้องอ่านไว้นะครับW.Randall Jones เขียนหนังสือชื่อ "The Richest Man in Town " โดย การสัมภาษณ์และวิเคราะห์คุณสมบัติ นิสัย แนวความคิด ปรัชญาการใช้ชีวิต และอื่นๆ ของคนที่รวยที่สุดในเมืองต่างๆของอเมริกาจำนวน 100 คน เขาพบลักษณะร่วมของคนที่เป็นมหาเศรษฐี 12 ประการ มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง 1. ไม่หาเงินเพื่อเงิน การทำอย่างนั้นคุณจะไม่ได้เงิน เงินจะมาก็ต่อเมื่อคุณทำในสิ่งที่ถูกต้อง และด้วยวิธีที่ถูกต้อง ทำในสิ่งที่คุณรักและมีความหลงใหลที่จะทำ คุณต้องทำในสิ่งที่มีคุณค่าเป็นประโยชน์ แล้วเงินจะมาเอง มันเป็นผลพลอยได้ ในมุมของ VI หรือนักลงทุนเน้นคุณค่า ผมคิดว่ามันถูกต้องตรงกัน อย่าลงทุนแบบจ้องหา หรือหมกมุ่นกับผลตอบแทนเกินไป มีความสุขกับการลงทุนทำหรือเลือกลงทุนอย่างถูกต้องเงินจะมาเอง 2. รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง ที่สำคัญต้องรู้ว่าอะไรคือความสามารถหรือความเชี่ยวชาญที่สุดของตัวเอง ถ้าคุณคิดว่าต้องไปทำงานทุกวัน นั่นก็ผิดแล้วงานจะไม่ใช่งานถ้าคุณทำแล้วมีความสุข และเป็นสิ่งที่คุณอยากทำ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยบอกกับซูซี่ อดีตภรรยาที่ล่วงลับไป ในตอนที่แต่งงานกั

I'm VSOP

มีพี่คนหนึ่งถามว่า VSOP คืออะไรขอยกบทความของท่านเจ้าสำนักมวยวัด มาให้อ่านจะได้ลองทำความเข้าใจกันครับ ธานินทร์ งามวิทยาพงศ์ นักลงทุนมากประสบการณ์ ที่นักลงทุนในชุมชนออนไลน์ขนาดใหญ่อย่างพันทิป (ห้องสินธร) เขารู้จักกันในชื่อ “คลายเครียด” หรือ “endophine” ผู้เขียนหนังสือ “เทมเปิ้ล BOXING: คัมภีร์การลงทุนแนว VSOP” เป็นคนบัญญัติศัพท์และให้คำอธิบาย ที่รับรองว่า แม้แต่ฝรั่งเจ้าตำรับการลงทุนยังคิดไม่ถึง วิถีทางของ‘หนุ่มหมัดเมา’ ถ้านักลงทุนที่มีสไตล์การลงทุนแบบ VI หรือ เรียกว่า Value Investor เป็นนักรบฝ่ายบุ๋น ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท และพร้อมที่จะอดทนรอเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน เพราะเชื่อว่า ในท้ายที่สุดราคาหุ้นจะสะท้อนผลประกอบการของบริษัท แอบแถมให้อีกนิดว่า วิชชุ จันทาทับ ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ บอกว่า การลงทุนแบบ VI น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสำหรับการลงทุนในภาวะตลาดปัจจุบันมากที่สุด นักลงทุนแบบ VS (Value Speculator) ที่ตัดสินใจซื้อขายหุ้นตาม “อำนาจซื้อของเงิน” และ “อำนาจขายของหุ้น” โดยไม่สนใจปัจจัยพื้นฐานของบริ

เล่นหุ้นยากไหม?

ปีนี้เป็นปีที่ผมตั้งใจอย่ายิ่งในการจะลงทุนเพื่อสุขภาพ โดยตั้งใจจะสละเวลาวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย ดีใจที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์สามารถออกไปวิ่งแบบสม่ำเสมอได้ทุกวัน ไม่ขี้เกียจเหมือนปีก่อน ผมเองย้อนกลับมาดูตัวเอง ว่าสุขภาพทรุดโทรมไปทุกปี ยิ่งแก่ขึ้นโรคต่างๆก็ถามหา ถึงจะไม่เจ็บป่วยหนักแต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณบอกเหตุว่าร่างกายไม่ฟิตดังก่อน เช่นอาการปวดหัว, อาการท้องอืด อาการเป็นหวัดบ่อยๆ ปวดหลังปวดตัว เป็นต้น เรามักใส่ใจจะลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคง แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าถ้าร่างกายอ่อนแอและไม่สามารถอยู่ใช้เงินทองที่หามาได้อย่างมีความสุขปราศจากโรคภัย เพราะฉนั้นเราควรตระหนักถึงจุดนี้ ไม่ใช่หักโหมใช้ร่างกายแบบไม่เว้น ทำงานหนักตลอดสัปดาห์ ศุกร์กินเหล้า เสาร์ดูบอล อาทิตย์นอนแฮงค์ทั้งวัน ก็ไม่ไหว จั่วหัวมาด้วยคำถามพื้นฐานว่า "เล่นหุ้นยากไหม?" เพราะมีน้องคนหนึ่งถามมาทาง facebook ผมเองเลยอยากเอาประเด็นนี้มาเขียนบ้าง เพราะยอมรับว่าหลายเรื่องที่เขียนไปค่อนข้างไปทางขั้นกลางและสูง คนที่ไม่มีพื้นฐานหรือไม่เคยลงทุนอาจจะอ่านแล้วไม่เข้าใจนัก หัวข้อนี้ขอเขียนอะไรเบาๆ สำหรับมือใหม่หัดขับ ในวันหยุดสบ

เรื่องค่า Beta

บ่อยครั้งที่หลายคนอยากรู้ว่า หุ้นตัวที่ตนเองสนใจนั้นมันน่าที่จะเข้าไปลงทุนแล้วหรือยัง แน่นอนว่าถ้ามีเครื่องมือ ดูจังหวะจากกราฟได้ก็คงไม่ยาก แต่ถ้าไม่ใช่แนวเทคนิคจ๋า แต่อยากเลือกหุ้นเพื่อลงทุนยาว โดยมองหาจังหวะดีๆ ผมมีอีกหนึ่งค่าที่ใช้ประมาณการคราวๆได้มาแนะนำ ค่าที่ว่าคือค่าเบต้า(Beta) นั้นเองครับ เบต้าที่ว่าไม่ใช่ครีมทาหน้าแต่อย่างใด แต่มันคือ ค่าสัมประสิทธ์ตัวเปรียบเทียบระหว่างหุ้นกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์(SET) เพื่อดูแนวโน้มอย่างไร ซึ่งมีที่มาจากสมการเส้นตรงบนระบบสมการแบบ linear system equation แน่นอนว่าท่านสามารถคำนวนได้เองจากโปรแกรมคณิตศาสตร์เช่น Matlab หรือจะคำนวณแบบอเรย์เพื่อหาจาก Gauss-Elimination ด้วยมือก็ได้ ที่ชี้ประเด็นนี้เพราะจะบอกว่ามันคือคณิตศาสตร์ ราคาหุ้นก็คือข้อมูล ชุดตัวเลข อย่าไปมองว่าเป็นไสยศาสตร์หรือโชคลางแต่อย่างไร ง่ายไปกว่านัั้นแบบทั่วไปท่านสามารถอ่านค่านี้ได้จากตารางหุ้นในหนังสือพิมพ์ หรือจะดูจากโปรแกรมเทรดหุ้นเช่น efinance ก็ได้ สมการ y = a + bx เมื่อ y คือ ราคาหุ้น x คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ a คือ ค่าอัลฟ่า (alpha) b คือ ค่าเบต้า (beta) หรือคือค่าความชันของสมการ

นอกตำราสูตร "โกศล ไกรฤกษ์"

ชื่อของ "โกศล ไกรฤกษ์" หายไปนาน หลังจาก บงล.ตะวันออกฟายแนนซ์(1991) ถูกแบงก์ชาติเข้าแทรกแซงกิจการ เมื่อกลางปี 2540 ทรัพย์สินชิ้นสุดท้ายมูลค่าหลายพันล้านบาทหายวับไปกับตา สมการชีวิตของชายคนนี้ผ่านร้อนหนาวทางการเมืองมาอย่างโชกโชน เป็น ส.ส. พิษณุโลกหลายสมัย และเป็นรัฐมนตรีมาแล้วหลายกระทรวง เป็นผู้ที่ก่อตั้งพรรคกิจสังคมร่วมกับ ม.ร.ว.ศึกฤทธิ์ ปราโมช มีอุปนิสัยพูดจาโผงผางจนได้รับขนานนามว่า "นักเลงโบราณ" แม้ว่าลุงโกศล จะลดบทบาทการเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไปนานแล้ว แต่แนวทางการลงทุนที่เน้นความ "ปลอดภัย" ของลุงโกศลไม่เคยล้าสมัย โดยเฉพาะคำพูดที่เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ถ้าอยากสบายตอนแก่ต้องมีรายได้ประจำไว้กิน 3 อย่าง" แกบอกว่าได้ความรู้มาจากเจ๊ก (นักธุรกิจชาวจีน) สอนแกมาอีกทีหนึ่ง สมัยตอนเป็นรัฐมนตรี เจ๊กมันบอกว่า....!!! อย่างแรก "ต้องมีเงินฝากประจำเอาไว้กินดอกเบี้ย" อย่างที่สอง "ต้องมีบ้านให้เขาเช่า เอาไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่" อย่างที่สาม "ต้องมีรายได้จากเงินปันผล" นี่แหละรายได้ 3 อย่าง สูตรขนาดแท้ของลุงโกศลเลยล่ะ ลุงโกศลเล่าให้ฟ

กลวิธีของรายใหญ่ไล่ยำ

เริ่ม เลยก็แล้วกัน ตามที่ทุกคนรู้กันดีแล้วว่าตลาดหุ้นเรามีขาใหญ่คุมคอยดูแลควบคุมความเคลื่อนไหวหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดอยู่ หรือเรียกกันภาษาเราๆก็ “ปั่น”นั่นแหละ และแน่นอนทุกๆคนคงรู้ดีว่ามีกลุ่มใหญ่ๆอยู่ไม่กี่กลุ่มที่มีทั้งอิทธิพลและ กำลังเงินมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเสี่ยปู่ หมอยงค์ เสี่ยเอกฯ หรือกลุ่มนกม. เช่นท่าน ป.กาแฟ ท่าน ส. กลุ่มหาดใหญ่ ฯลฯ เป็นต้น พวกนี้จะรู้กันดีว่าใครดูหุ้นตัวไหนอยู่และจะไม่ล้ำเส้นกันถ้าไม่จำเป็น ในบางครั้งยังร่วมมือกันอีกด้วยซ้ำ ยังไม่รวมกองทุนเล็กกลางที่เป็นแนวร่วมอีกหลายกอง กองทุนหัวดำที่บรรดาพวกนี้มีเงินอยู่ เพื่อใช้ในการแปลงกาย กลุ่ม ใหญ่ๆนี้ลุงจะไม่ขอลงรายละเอียดมากเพราะทุกคนคงเคยอ่านบทความหลายๆบทความ เกี่ยวกับนัก”ปั่น” เหล่านี้ว่ามีวิธีการทำกันอย่างไร เพราะหุ้นที่กลุ่มพวกนี้เล่น ถ้าทุกคนเล่นตามจังหวะที่ดีอ่านแม่นๆ ตามที่จอมยุทธิ์หลายๆท่านในที่นี้แนะนำไว้ก็คงไม่เจ็บตัวมากนัก เพราะรอบมันจะแกว่งให้มีโอกาสทำกำไรได้พอสมควร มีรูปแบบของกราฟเทคนิคที่พออ่านได้บวกประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญแล้วคงไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ต้องบอกไว้เลยว่ากลุ่มพวกนี้จะยังไม่หยิบหุ้นของตัวเองขึ้นมา

เครดิตภาษีเงินปันผล ผลประโยชน์ที่ถูกมองข้าม

กำลังจัดทำการวิเคราะห์ผลตอบแทนหุ้นปันผลในพอร์ตระยะยาวอยู่ เลยต้องมีการคำนวนเครดิตภาษี ผมว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักถึงเช่นกัน เพราะถึงแม้จะเจอหุ้นปันผลที่ดีแล้ว การศึกษาถึงสิทธิของเครดิตภาษีก็เป็นเรื่องจำเป็นไม่น้อย ผมขอนำบทความของ คุณ ธันวา เลาหศิริวงศ์ จาก ThaiVI มาแนะนำเพื่อศึกษาเพิ่มเติมครับ ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจกับเรื่องการเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลไม่มากนัก ทั้งนี้เนื่องจาก บริษัทที่ทำงานประจำได้คำนวณภาษีจากฐานเงินได้สุทธิและนำภาษีที่หัก ณ. ที่จ่าย ส่งกรมสรรพกรเป็นประจำทุกเดือน สิ่งที่ทำก็คือการกรอกรายละเอียดให้ถูกต้องและยื่นแบบการเสียภาษีให้ทันช่วงปลายเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี การลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ value investor นั้น นอกจากการลงทุนในกิจการที่เห็นว่าต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานเพื่อหวังส่วนต่างของราคาหุ้นในระยะยาวแล้ว เงินปันผลก็เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าให้ความสำคัญอย่างมาก ช่วงเดือนเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคมของทุกปีจะเป็นช่วงที่นักลงทุนมีความสุขกันทั่วหน้า เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ได้ทยอยส่งเช็คเงินปันผลมาให้ผู้ถือหุ้นทุกคนถึงบ้าน ทั้งนี้จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอ

เทคนิคเดยเทรด :กลยุทธขี่ม้าเลียบค่าย 2

หัวใจของกลยุทธ เรื่องของกลยุทธการลงทุนที่ผมขอแชร์เทคนิคที่ตัวเองใช้ในการลงทุนแบบ Day Trade คือกลยุทธขี่ม้าเลียบค่าย หลักการใหญ่ใจความคือ การกินทีละน้อยหรือตอดกินเพื่อไม่ไปทำลายเกมส์ของรายใหญ่ เราต้องเข้าใจก่อนว่าหุ้น Day Trade มันวิ่งได้เพราะมีคนคุมเกมส์การซื้อ ขาย การที่เราโลภอยากได้มาก ลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก(ไม่มากถึงรายใหญ่ แต่ก็มากพอจะตบหมดช่อง) มันทำให้เกมส์และการคุมจังหวะของรายใหญ่เสียไป  แน่นอนว่าคนที่คุมเกมส์จะมี Bid offer ที่เขาวางไว้ ดังนั้นเราต้องให้เกียติร์คือเล่นไปตามเทรนด์ กินตามรายใหญ่ อย่าทำอะไรที่ไปขัดใจ หรือโดนจับได้เพราะแทนที่จะได้เราอาจจะเสียและโดนเล่นงานโทษฐานไปขย่มเกมส์ของคนอื่น อีกประเด็นของกลยุทธนี้คือ การสอนให้เรารู้จักพอกินคำเล็ก ไม่ละโมบเพราะเหยื่อที่รายใหญ่ใช้ตกปลาในเกมส์นี้คือความโลภ ถ้าเราไม่โลภกินพองามเราจะอิ่ม แต่ถ้าละโมบกินเยอะเราจะจุกและตาย ยกตัวอย่างเช่นหุ้นปกติถ้ามีการไล่ราคาให้บวกไปถึง 10% ในหนึ่งวัน ถ้าเราเล่นตามกลยุทธนี้ควรจะอิ่มและลงตั้งแต่ 6% แล้ว ถึงแม้จะปล่อยให้ Profit run ได้แต่ต้องไม่ลืมว่านี้คือเกมส์ระหว่างวัน มันมีโอกาสที่หุ้นจะลง