ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

เป้าหมายการลงทุน

ได้ดูโฆษณากระทิงแดงทีไร แล้วรู้สึกหึกเหิมทุกทีไป โดยเฉพาะวลีเด็ดโดนใจที่ว่า "เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" แน่นอนว่าชีวิตคนเรานั้นต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายที่เป้นดั่งธงชัยไว้ให้เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้า การใช้ชีวิตไปวันๆแบบไม่มีเป้าหมาย ปล่อยตัวไหลไปตามครรลองของเวลา นั้นย่อมทำให้ชีวิตขาดความทะเยอทะยาน ขาดไฟในการขับดันให้ไปสู่ความสำเร็จ การลงทุนก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะลงทุนสั้นหรือยาว เป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญในการวางแผนบริหารจัดการทางการเงิน แต่เท่าที่ผมสังเกตเห็น แมงเม่าไทย ส่วนมากไม่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ส่วนมากมักหวังสูง บางคนบอกว่าอยากได้ผลตอบแทนเดือนละ 10% ไม่มากไม่มาย แต่ขอโทษเถอะพ่อคุณถ้าบวกลบคูณหารออกมาแล้ว ปีละ 120% เชียวนะครับ บางคนก็คิดจะได้ปีละ 50 60% นั้นก็ไม่น้อยเช่นกัน  คนที่ไม่รู้จักตลาดหุ้นอาจจะฟังแล้วขำ เมื่อเอาไปเทียบกับดอกเบี้ย ธนาคารปีละ 2-3 % แต่จริงๆแล้วตลาดหุ้นสามารถเนรมิตรให้ทันได้มากกว่านั้นครับ ถ้าเอาแบบเสี่ยงจัดๆก็ DW วันละ 50-100% ทำได้อยู่แล้ว หรือถ้ามองเป็นรอบสัปดาห์ก็มีหุ้นเล็ก หุ้นร้อนรายวัน Warrant หรือ DW หลายตัวที่เคลื่อนที่เฉลี่ยสร้างผลตอบแทนถึง 50%

ถ้ารู้(กู)รวยไปแล้ว

ช่วงนี้ตลาดหุ้นบ้านเราดูเหมือนจะออกแนวอินดี้นอกกรอบ ทำตัวแบบเด็กวัยรุ่น 16 17 หัวขบถนิดๆไม่ค่อยตามใคร สังเกตได้จากการที่ข่าวความวิตกเรื่องปัญหาหนี้สินยุโรปออกมาเป็นทิวแถว แต่ SET ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนนิ่งเฉย นิ่งเตะไม่ไหวติงไม่ออกอาการลง(แดง) แบบตลาดรอบโลก ล่าสุดแม้ดาวน์โจนแดงต่อเนื่อง ก่อนจะลบไปเกือบสองร้อยจุดกว่า เล่นเอาหลายคนคิดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่รอดสงสัย บ้างก็ว่าเม่าตายแน่ทุบแน่ทุบแล้ววันนี้(24-11-2011) ผลปรากฏว่าหุ้นไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก นอกจากไม่ลบแล้วปิดบวกหน้าตาเฉย  ประเด็นที่เขียนมาในตอนต้นไม่ได้บอกนะครับว่า ตลาดบ้านเราจะขึ้นต่อเนื่อง(ผมก็ไม่รู้และไม่คิดจะไปเดา) แต่แค่อยากสะท้อนว่าตลาดหุ้นมันเป็นอะไรที่ยากจะเดา การจับเอาข้อมูล ข่าว เอาตัวเลขต่างๆมาร่วมกันทำนาย พยากรณ์(เดา) อนาคตมันยากจะที่ถูก โดยเฉพาะคนที่ชอบนำเรื่องนี้ไปเล่นในตลาด TFEX ผมเห็นเจ็บหนักกันถ้วนทั่ว เพราะความรู้สึกมันขัดกับสิ่งเกิดขึ้น ยิ่งมีอคติ(Bias)ไปปนกันข้อมูลที่เขาฉีดมาให้เราเสพ ผลก็คือเรายิ่งเดาไปในทางที่เราต้องการ ผมมีเรื่องสนุกๆสไตล์ชาวบ้านมาเล่าให้ฟัง มีลุงคนหนึ่ง ชื่อ ดำ ที่เชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่ง

เงินน้อยๆสมองเยอะๆ

เงินมักถูกใช้เป็นตัวแสดงฐานะทางสังคมของคน เพื่อจะได้รับการยอมรับ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติที่มีมาตั้งโบราณกาล ดูจะเป็นเรื่องปกติที่เราๆท่านๆยอมรับกันได้ ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมนักลงทุน ที่หลายคนมักจะนำเอาขนาดของจำนวนเงินในพอร์ตมาบัฟใส่หน้ากันให้เห็นบ่อยๆ จนกลายเป็นว่าถ้าฉันเงินเยอะ สิ่งที่ฉันพูด สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันเชื่อต้องถูกเสมอ (ไม่เชื่อดูสิพอร์ตฉัน 7 หลักนะเงินเยอะนะ) ผมพบเจอเรื่องแบบนี้ค่อนข้างบ่อยจนชินชา แมงเม่าขับเบนซ์คุยกับเพื่อนๆแมงเม่าขับวีออส บางคนก็บอกว่าวันนี้กำไรหลายแสน หลายล้าน ทั้งจริงๆอาจจะได้กำไรไม่กี่ % หรือได้แค่ 3 ช่อง 4 ช่อง แต่ด้วยเงินทุนที่มาก(รวยมาเป็นพื้นฐาน) เลยดูเหมือนผลตอบแทนที่เยอะ (เป็นความภาคภูมิใจของคนที่ได้) แต่ตอนที่เสียก็เก็บความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง เงียบๆคนเดียว ในอีกมุมหนึ่งความแปลกของตลาดหุ้นก็คือ คนรวยบางคนมีเงินเยอะๆแยะแต่ขาดทุนจนหมดความมั่นใจ จนต้องไปหาที่พึงเช่นเรื่อง ดวง เรื่องโหรราศาสตร์ หุ้นตัวไหนจะมา หุ้นตัวไหนจะดี หุ้นตัวไหนชง มันแปลกถึงขนาดเอาชื่อย่อหุ้น มาผูกเรื่องรวมกับดวงดาวบนฟ้า และผูกโยงกับดวงวันเดือนปีเกิดของคนลงทุน บ๊ะเอาเข้านั

บทเรียนของผู้แพ้

เรามักหาอ่านเรื่องราวของคนที่ชนะ ประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้ง่าย ทั้งหนังสือพิมพ์ รายการทีวี ต่างก็มักจะนำเสนอเรื่องราวของคนเหล่านั้น ซึ่งเกือบ 80% ของเนื้อหามักจะพูดเน้นไปที่สิ่งที่เขาทำแล้วสำเร็จ ซึ่งพอนำเสนอผ่านคำถามของพิธีกร คำตอบมันดูช่างง่ายดาย ราวกับว่าคุณเองก็สามารถทำได้ แต่แท้จริงแล้วผมเชื่อมาตลอดว่ากว่าคนเหล่านั้นจะพบกับคำว่าความสำเร็จ เขาย่อมผ่านการล้มลุกและเจอความล้มเหลวมาก่อน แล้วแน่ใจว่าช่วงเวลาในวังวนแห่งความล้มเหลว กว่าที่ใครคนหนึ่งจะก้าวผ่านมาได้ ย่อมต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน แก้ไขและค้นหา เส้นทางที่จะนำเขาไปสู่ความสำเร็จได้ ส่วนตัวผมชอบที่จะฟังเรื่องราวที่ผิดพลาด เหตุการณ์ที่ล้มเหลว ในยามช่วงที่จิตใจท้อแท้ รวมถึงเหตุการณ์จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาออกจากจุดล้มเหลว ยิ่งเฉพาะวิธีการและแนวคิดที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นมากกว่า การมาสนใจว่าเขาซื้อหุ้นอะไรที่ได้กำไรหลายร้อย % หรือจริงๆแล้ว บางทีเราอาจจะลองเปลี่ยนมาสัมภาษณ์ คนที่ล้มเหลวดูบ้าง เช่นคนที่เล่นขาดทุนจนหมดเงินต้องหันหลังออกจากตลาดไป หรือคนที่ติดดอยหลายปี จนต้องเลิกเทรด การได้ฟังเรื่องคนที่ล้มเหลว จะทำให้เราเรียนร

ทําอย่างไรให้รวยหุ้น

เมื่อคืนต้องบอกว่าค่อนข้างผิดหวังกับฟอร์มของนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่แพ้ซาอุไปแบบหมดลุ้น 3 เม็ด ผมเริ่มเชื่อพี่โน๊ตอุดมแล้วว่า ถ้าบอลไทยจะได้ไปบอลโลกมีทางเดียวคือ เราต้องเป็นเจ้าภาพ และบอลโลกต้องมาจัดที่ประเทศไทย ถึงจะมีความน่าจะเป็นที่มากที่สุด ยิ่งหันกลับไปมองชุดเล็กที่ตอนนี้ลงเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปแบบ ซีเกมส์ที่แต่ก่อนถ้าเราไป ยังไงก็แชมป์ สองสามปีมานี้แม้แต่จะเข้ารอบยังยากลำบากเลย เราเล่นเกมส์กับเขมร กับพม่า กับลาวได้สูสีแบบไม่โดดเด่น นี่ถ้าเจอทีมแบบระดับอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม เราก็อาจจะรอดยาก ถ้ายังรักษาฟอร์มที่กระท่อนกระแท่น แบบนี้อยู่ ก่อนเข้านอนแวะไปอ่านอีเมล์ ปรากฏว่ามีพี่ท่านหนึ่งเขียนมาปรึกษาเรื่องหุ้น ขึ้นหัวข้อมาว่า "ทำอย่างไรให้รวยหุ้น" เลยถือโอกาสนี้เอาหัวข้อนี้มาเป็นประเด็นเขียนบล็อคเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนคติกัน ผมเองเชื่อว่าทุกคนอยากรวย แน่นอนว่ารวมถึงตัวผมเองด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏในตลาดหุ้นคือ คนที่อยากรวยมักจะไม่รวย แปลกไหมครับ?? อาการของคนที่อยากรวยคือคนที่ มุ่งจะหาวิธีการทำกำไรสูงสุดจากการเล่นหุ้นให้ได้ ในเวลาอันสั้น บางคนไปหาหุ้น 5 เด้ง 10

leverage

ช่วงนี้ดูเหมือนความกังวลเกี่ยวกับตลาดหมีน้อยจะกลับมาอีกรอบ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาหนี้สินของกรีซ และประเทศอื่นๆในยุโรป สลับกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ออกมาให้ลุ้นกันได้เรื่อยๆ เมื่อหลายคนกังวล ผลที่ตามมาคือ ตลาดหุ้นมักตอบสนองกับความกังวลนั้น จะสั้นหรือยาวก็ตามแต่สถานการณ์ รวมถึงวิธีการเล่นของผู้เล่นรายใหญ่ เดี่ยวนี้จึงได้เห็นแมงเม่าแห่ลงไปเทรด Tfex กันมากขึ้น ตามคำชวนของเพื่อน ของมาร์ ด้วยความเชื่อที่ว่า จะได้มีเครื่องมือไว้ทำกำไรในช่วงตลาดขาลง  โดยหลายคนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรดในตลาดฟิวเจอร์ ขาดระบบการเทรด ขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะหลายคนเพิ่งจะเริ่มเทรดหุ้นได้ไม่นาน และส่วนมากยังขาดทุนกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร จึงคิดที่จะมีทางลัดในการทำเงินจากตลาดฟิวเจอร์ ที่มี leverage สูงได้กำไรเยอะ เร็ว (อันนี้คำโฆษณาที่ยอดฮิต)  ผลที่ปรากฏส่วนมากก็จะขาดทุนไปตามระเบียบ บางคนเล่นไม่ต่างกับไฮโล แทงสั้น แทงยาว ไปตามการคาดเดา จับข่าว จับเรื่องราว จับดาวน์โจน ดาวน์โจนฟิวเจอร์ จับฝรั่งซื้อ-ขาย มาเป็นวัตถุดิบในการเดา สุดท้ายผิดทาง(จริงๆตัวเลขเหล่านี้ ส่วนมากใช้ประกอบกับข้อมูลอื่นๆหรือประกอบกับ

เริ่มต้นดีมีชัยไปว่าครึ่ง

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "เริ่มต้นด้วยดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง" มันสะท้อนถึงสัจธรรมความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และสามารถสะท้อนได้ถึงโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การลงทุนในหุ้น  ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมมีก้าวแรกที่เริ่มออกเดินกันทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนออกอาจจะออกตัวเดินที่จุดเริ่มต้นและต้นทุนทางสังคมที่แตกต่างกันไป  คนรวยเริ่มต้นด้วยเงินถุงเงินถัง มีเงินจากครอบครัวแบ็คอัพ ก็หมือนได้ขึ้นบันไดเลื่อน ไม่ต้องกดดันมาก เหมือนเดินบนพรม ถ้าเป็นคนจนคนชั้นกลาง อาจจะต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อย กว่าจะหาเงินก้อนมาเริ่มลงทุนได้ แทบลากเลือด แต่สุดท้ายจะเริ่มต้นด้วยเงินมากหรือน้อยเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ เท่าทัศนคติและวิธีคิดเริ่มต้นในการลงทุน การเริ่มต้นเป็นอะไรที่ยากเสมอ เพราะในเรื่องการลงทุนหลายคนไม่ได้มีพื้นฐาน ไม่ร่ำเรียนมาโดยตรง ดังนั้นถ้าจะให้ผ่านช่วงที่ยากที่สุดไป จำเป็นที่จะต้องมีแรงบันดาลใจ ส่วนหนึ่งเราสามารถหาได้จากการอ่านบทความเรื่องราวของ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จำได้ว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมามี บทความแนวนี้ออกมาค่อนข้างเยอะ ให้เราได้อ่าน ทั้งน

เมื่อหุ้นโดนน้ำท่วม

ชั่วโมงนี้ถ้าไม่พูดถึงเรื่องน้ำท่วมคงจะเฉยไปแล้ว โดยเฉพาะหับคนกรุงเทพ ที่เฝ้ารอการมาถึงของน้องน้ำอย่างใจจดใจจ่อว่าจะเข้ามาถึงบ้านเมื่อไหร่ ผมว่าวิกฤตครั้งนี้มันสะท้อนหลายสิ่งหลายอย่างออกมาทั้งมิติเรื่องสังคม(อีกพวกให้ปิด อีกพวกให้เปิดประตูน้ำ เปิดคันกั้นน้ำ ทะเลาะกัน ตีกัน ยิงปืน ปิดถนน) และการเมือง(ทั้งการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับประเทศ ที่ขยันเล่นการเมืองท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชน) รวมถึงเรื่องการบริหารจัดการและการเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ ที่เมืองไทยยังขาดเรื่องนี้อยู่มาก  ผมเองก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้เจอกับภัยพิบัติและมีโอกาสได้เป็นผู้อพยพ จากบ้านที่อยู่มานานหลายสิบปี ก็คราวนี้เอง มีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของภัยพิบัติ ที่เกิดก็เป็นประสบการณ์ที่ดี มันทำให้เราได้มีสติ เตือนให้เราไม่ประมาท ผมเองมีโอกาสได้เห็นรถขันละหลายล้านบาท บ้านหลังละเกือบยี่สิบล้าน รวมถึงนิคมอุตสาหกรรมมูลค่าหลายหมื่นล้าน จมไปกับน้ำ ทำให้รู้เลยว่าทรัพย์สินนั้นเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั้งยืน ใครจะคิดว่าสักวันเราจะพ่ายแพ้กับพลังธรรมชาติ พลังที่เราเคยภูมิใจว่าเราสามารถควบคุมและใช้ประโยชน์จากมันได้  ในวิกฤตินี้

ตามติดต่อตี (กลยุทธบริหารจัดการเงิน)

ท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมกรุง ที่ดูเหมือนยังหาทางแก้ไขหรือบรรเทาไม่ได้ในขณะนี้ นักลงทุนเองก็มีข่าวดีให้ยิ้มได้ คือ ตลาดหุ้นปรับตัวบวกขึ้นต่อเนื่องจนมาถึงแนวต้านที่ 980 หลายคนที่เทรดในรอบนี้ก็รับทรัพย์กันอื้อซ่า ส่วนคนที่ติดดอยจากรอบก่อนหน้าก็คงจะใจชื้น มีหวังได้ลงดอยกันบ้าง(แต่ความจริงก็ยังไม่มีอะไรที่แน่นอน บ่งบอกว่า SET จะกลับไปที่จุดเดิม) คนอีกกลุ่มหนึ่งที่ผมพบปะแล้วเจอไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากลุ่มที่ติดดอย ก็คือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ตกรถ เพราะล้างพอร์ตขาดทุนไปรอบก่อนหน้า เพราะกลัวปัญหาหนี้สินยุโรป พอร์ตว่างยังลังเลไม่กล้าซื้อ ไม่กล้าเข้า เพราะกลัวจะติดดอยอีก วันนี้มีเทคนิคเบื้องต้นมาแนะนำครับ ปัญหาอย่างหนึ่งของคนที่ตกรถคือมักจะเป็นคนที่เคยขาดทุนมาก่อน ด้วยความกลัวที่ข้างในอารมณ์มันจึงทำให้ไม่กล้าที่จะซื้อหุ้นที่ราคาวิ่งขึ้น พอจะซื้อราคาหุ้นเริ่มชะลอตัวก็ไม่มั่นใจคิดว่าจะลง รอต่อไปอีกหน่อยราคาหุ้นก็วิ่งต่อ (รอบนี้ที่เราเห็นมากคือการกระโดดเปิด GAP ตั้งแต่เปิดตลาด) ยิ่งราคาบวกไปสูงความกลัว(อารมณ์) ก็เข้ามารบกวนจิตใจ รอต่อไปหุ้นก็ขึ้นต่ออีก สุดท้ายไม่กล้าซื้อ หรือบางคนคันมืออดใจไม่ไหวมาโดดใส่ต

วัยรุ่นพันล้าน#2

ตอนที่แล้ว เนื่องจากเขียนถึงเรื่องราวของวัยรุ่นที่อยากเอาดีบนถนนสายการลงทุน ผมมีอีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจ ของเทรดเดอร์รุ่นใหม่ที่ใช้ความมุ่งมั่นในเล่นหุ้น เริ่มลงทุนตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัย เขาใช้เวลา 8 ปีสร้างตัวเองให้มีเงินระดับพันล้านบาทจากเงินออมเริ่มต้น ชายคนนี้คือ Kotegawa Takashi นักเก็งกำไรชาวญี่ปุ่น ลองอ่านเรื่องราวของเขาเพื่อว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจในการลงทุนต่อไปครับ นักลงทุนรายย่อยคนนี้พึ่งจะอายุ 29 ปี แต่ทว่า พอร์ตของเขามีมูลค่าสูงถึง 19,000,000,000 เยน หรือประมาณ 5,700,000,000 บาท หนุ่มคนนี้คือ Kotegawa Takashi หนุ่มน้อยคนนี้มีชือเรียกอีก 2 ชื่อ คือ BNF และ J-com otoko (นายเจคอม) BNF เป็นชื่อที่เขาใช้เรียกตัวเองเวลาเขียนตอบกระทู้ในเว็บไซด์ 2 channel (คล้ายกับ พันทิพย์ บ้านเรา) ส่วน J-com otoko นั้นเป็นชื่อที่นักข่าวเรียกเขาจากการที่เขาสามารถทำกำไรจากการเทรดหุ้น j-com ประมาณ 600 ล้านบาทภายในเวลาสิบกว่านาทีและทำให้เขามีชื่อเสียงรู้จักไปทั่วเพียงข้ามคืน ชื่อของBNF เป็นข่าวครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2005 เมื่อผู้รับชอบการซื้อขายหุ้นของ Mizuho Securities ออกคำสั่งขา

วันรุ่นพันล้าน#1

มีน้องคนหนึ่งเป็นสมาชิกใน fanpage เขียน email มาคุยเรื่องหุ้น น้องคนนี้มีความรู้สึกว่า กำลังจะเรียบจบ ม.ปลาย แต่เขาไม่อยากทำงานประจำ อยากเล่นหุ้นอยู่บ้าน โดยน้องเขามีวิธีคิดที่เหมือนใครหลายคนที่ผมรู้จักมาคือ คิดจะเล่นหุ้นเก็งกำไรให้ได้ผลตอบแทนวันละ 300 - 500 บาทให้พอเป็นค่าใช้จ่าย และเป็นเหมือนช่วงการฝึกเก็บเกี่ยวประสบการณ์การเป็นเทรดเดอร์ พันล้านในอนาคตต่อไป ผมชอบแนวคิดของน้องคนนี้จัง มันมีความฝันความทะเยอทะยานและความสดซ่อนอยู่ในข้อความที่เขียนมาปรึกษา นึกถึงเรื่องของเถ้าแก่น้อย ในหนังวัยรุ่นพันล้าน เรื่องราวของคนที่อยากรวย อยากก้าวหน้า ตั้งแต่วัยรุ่นกระทง มันเป็นเรื่องที่ดีน่ายกย่อง แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องสำเนียกคือ ชีวิตจริงมันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ก่อนจะประสบความสำเร็จ ยังไงก็ต้องมีโอกาสลิ้มรสความล้มเหลวได้เสมอ ผมขอนำเอาข้อเสนอแนะที่ผมเขียนตอบน้องคนนี้ไปมาเรียบเรียงไว้ในบล๊อคของผม เพื่อว่าจะมีวัยรุ่นคนไหนที่อยากได้คำแนะนำแนวนี้ไปลองปรับใช้ดู ความกดดันจากคนรอบข้าง ผมว่าการที่เราอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำงานนี้ เราอาจจะต้องหาคำตอบให้กับครอบครัว เพื่อนบ้าน ตลอดจนคนอื่นๆที่มักถามเราว่าทำงานอะ

ชีวิตนอกกรอบ

สังคมมักตัดสินหรือให้ความสำคัญของคนที่ฐานะการเงิน รถ บ้าน เครื่องประดับ หน้าที่การงาน โดยเรามักมองคนที่มีวัตถุติดกายที่มีมูลค่ามากว่าเป็นคนพิเศษ ให้ความเกรงใจ หรือยอมรับมากกว่า คนที่มีสิ่งเหล่านั้นน้อยกว่า จนมันกายเป็นค่านิยมทางวัตถุที่เกาะกินใจของคนทั่วไป ก่อให้เกิดการปลูกฝังความต้องการทางวัตถุในคนทุกเพศทุกวัย  จนต่อมความอยากมี อยากได้มันเติบโต แซงหน้าต่อมจริยธรรมและสำนึกชั่วดี ทำให้เกิดปรากฏการณ์ความโลภแบบไร้ขีดจำกัดในสังคม ดังที่เราเห็นกันอยู่มากมายด้วยแรงขับดันจากความอยากได้ อยากมี หลงใน ยศ อำนาจและเงินทอง ด้วยความปราถนาที่จะเป็นที่ยอมรับจากคนรอบข้างและคนในสังคม  คนชั้นกลาง ในสังคมที่โดนกระแสวัตถุพัดพาไปก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่วนเวียนอยู่ในค่านิยมนี้และโดนทำร้ายทางอ้อมอยู่เนืองๆ ดังที่เราจะเห็น คนเหล่านี้คือคนที่เป็นแรงงานให้กับนายทุนในระบบทุนนิยม เป็นมนุษย์เงินเดือนที่รับค่าแรง ตามงานที่ทำ และถูกหล่อหลอมให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวจากวัตถุนิยมรอบข้าง ถูกชักนำให้เกิดการก่อหนี้ที่มากกว่าการออม ผ่านการใช้งานบัตรเครดิต และการกู้เงินผ่านธนาคาร แล้วถูกกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันด้วยการสะสมทางวัตถ

ลงทุนด้วยหัวใจ ไม่ใช่อยากรวย

ผมว่าเวลานี้คนที่เคยปรามาส ว่าตลาดหุ้นนั้นง่าย เหมือนเด็กสาวใจแตกคงต้องคิ ดใหม่กันอีกรอบ เพราะทุกวันนี้พระเอกที่เคย สร้างเงิน สร้างผลตอบแทนแบบเป็น กอบเป็นกำ ได้กลายร่างมาเป็นนางยักษ์ที่จ้องสูบเงินออกจากพอร์ตขอ งเรา จากเนินเป็นดอยสูง จากกำไรเป็นขาดทุน จากสวรรค์เป็นนรก สับขาหลอกกันจนแมงเม่างงไปหมด บางคนเจ็บปวดทุกครั้งที่คนรอบข้า งถามถึงผลตอบแทนการลงทุน หรือไม่ก็ต้องแกล้งโกหก ว่าตัวเองไม่เดือดร้อนจาก ภาวะเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาด หุ้น จริงๆแล้ว ตลาดหุ้นไม่เคยง่าย ไม่ว่าจะมือเก่า หรือมือใหม่ เราก็คือรายย่อย วรรณะต่ำสุดในห่วงโซ่การลงทุน ด้อยทั้งอำนาจ เงินอำนาจการเข้าถึงข้อมูล และข่าว และอื่นๆ ดังนั้นเมื่อข้อจำกัดเยอะ เราต้องเรียนรู้ที่ต้องปรับ ตัวเอง ให้อยู่กับข้อจำกัดนั้น การลงทุนที่ดี จึงต้องใช้ทั้ง หัว และใจ ครับ  หัวคือสมอง การคิด การวิเคราะห์ อย่าหลงไปตามเกมส์ของทฤษฏีสม คบคิด ที่เขาปรุงแต่งให้เรา ไปตามเกมส์กระแสหลัก, หมั่นสังเกตและตั้งคำถามถึง สิ่งที่เกิด ,อย่าเชื่อเพียงเพราะมีหลาย คนเชื่อตามนั้น ,อย่าหลงไปกับความหวังสวยงา ม ที่กลุ่มนักการตลาด(ชักชวนใ ห้ซื้อหุ้น) อัดฉีดมาให้จนมากไป ส่วน

Thai Trade Contest