ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

เรียนหุ้นจากหนัง: พิชัยยุทธการลงทุน

หยิบหนังจีนเรื่องโปรดอีกเรื่องมาเขียน เพราะว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆดูครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังดูแล้วจะได้ข้อคิดดีๆนำไปใช้ในการลงทุนได้อีกด้วย หนังจีนเรื่องนี้ชื่อเรื่อง  A Battle of Wits (มหาบุรุษกู้แผ่นดิน) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงครามที่ไม่ได้เน้นที่การรบแบบบู๊ระห่ำ แต่เน้นไปที่กลอุบาย กลศึก แบบพิชัยยุทธจีน ที่แสนจะเลื่องลือ A Battle of Wits หรือ มหาบุรุษกู้แผ่นดิน เข้าฉายในตอนปี 2006 เป็นหนังจีนฟอร์มยักษ์ที่นำแสดงโดย หลิวเต๋อหัว เรื่องราวของการทำสงครามสมัย 370 ก่อน คริตศักราช ระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นเหลี่ยง โดยแคว้นเจ้าเป็นแคว้นใหญ่ตั้งใจจะยกพลไปทำศึกจึงต้องผ่าน แคว้นเหลี่ยงจึงเสนอทางเลือกให้กับแคว้นเหลี่ยง 2 ทางคือการ ทำศึก กับ การยอมสยบ แน่นอนว่า กษัตริย์ของแคว้นเหลี่ยงกลัวที่จะถูกฆ่า จึงไม่ต้องการยอมแพ้ และได้เลือกใช้บริการของ "เก้อหลี่" ศิษย์เอกสำนัก ม่อจื้อ ผู้ที่ชำนาญด้านกลศึกและปรัชญา ชายคนนี้มีแนวคิดตามแบบ ม่อจื้อ คือรักสันติ มีความรักให้กับประชาชนทุกวรรณะ ไม่แบ่งชนชั้น  เนื้อเรื่องดำเนินได้สนุก เก้อหลี่ต้องนำทัพเหลี่ยงที่มีทหารไม่ถึงหมื่

เรขาคณิตพิชิตหุ้น

วันนี้ขอนำเสนอ Chart Pattern เพื่อนำมาใช้ในการสังเกตการณ์เปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม แต่แน่นอนว่า เราจะไม่ใช้ Chart Pattern เป็นประธานในการตัดสินว่าแนวโน้มราคาได้เปลี่ยนแปลงไปหรือยัง เพราะว่ารูปแบบของราคาแท่งเทียนนั้นเบื้องหลังก็คือคน คือแรงซื้อและแรงขาย ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ  ดังนั้นผมคงไม่แนะนำให้เพื่อนๆ ใช้เมมโมรี่สมองไปจำว่า รูปแบบนี้หุ้นจะขึ้น รูปแบบนี้หุ้นจะลง เพราะถ้าท่านเจอลูก ยึกยัก บางคนไปไม่เป็นเสียเงินเสียทองมากก็มากเพราะไปเชื่อมั่นในตำราฝรั่งเกินไป ดังนั้นเน้นแบบ KISS (Keep it simple + smart) โดยใช้ทักษะเรขาคณิตระดับประถม มาช่วยในการอ่านกราฟราคาหุ้น ผมเองใช้ รูปแบบแท่งเทียน เพื่อการสังเกต ดังนั้นผมขอยกเอารูปแบบที่ใช้ในการวางกรอบการสังเกตที่ใช้บ่อยมากที่สุด(จากประสบการณ์ของผม) แบบแรกคือรูปทรงเรขาคณิตแบบสามเหลี่ยม (Triangle) โดยหลักการคือเรากำลังจะสังเกตราคาหุ้นที่บีบตัวแกว่งแคบ เพื่อกระทำกับแนวรับหรือแนวต้าน สามเหลี่ยมเด้ง สามเหลี่ยมนี้ มีรูปแบบราคาหุ้น บีบตัวแคบ เข้ากระทำกับแนวรับ แล้วราคาไม่ทะลุแนวรับ นั้นเป็นสัญญาณการกลับตัวขึ้น เพื่อก่อตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้นต่อไ

มนุษย์เงินเดือน

เมื่อวันอาทิตยที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ไปเยี่ยมกิจการร้านอาหารของพี่คนหนึ่งที่รู้จักโดยบังเอิญ เราพบกันตอนที่ทำโปรเจคร่วมกันเมื่อหลายปีก่อน เขาทิ้งชีวิตมนุษย์เงินเดือนจากงานประจำที่แสนปวดหัว ในสังคมเมืองย่านสีลมออกมาอยู่ที่ชานเมือง เปิดร้านอาหารเล็กๆ ตามใจฝันได้ใช้ทักษะการทำอาหารที่เขาชอบ ได้ลองผิดลองถูกในธุรกิจที่เขาอยากทำ จำได้ว่าสมัยก่อนถ้าแวะไปคอนโดพี่เค้า พวกผมและเพื่อนๆต้องได้กินแกงป่า สูตรอร่อยทุกครั้งไป ถึงแม้ร้านอาหารของเขายังเป็นเพียงร้านเล็กๆไม่ใหญ่โต มีลูกจ้างเพียงสองสามคน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้คือ ความสุขที่มันเกิดในประกายหรือแววตาของพี่คนนี้ ทุกครั้งที่เขาเล่าเรื่องการผจญภัยตามฝันให้ฟัง ผมชอบช่วงขณะที่เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ด้วยเงินเก็บในบัญชีเพียงไม่กี่แสนบาท เพราะวันนั้นเขาได้รับข่าวร้าย ว่าหัวหน้างานต้องลาพักยาวเนื่องจากตรวจพบมะเร็งในลำไส้ เขาจึงตั้งคำถามกับตัวเองในวัย สามสิบห้า ว่าอยากจะตายแบบนี้ ตายแบบยังไม่ได้ทำตามที่ตัวเองฝันหรือเปล่า เพียงแค่ข้ามคืนเมื่อได้คำตอบ ใบลาออกก็ถูกส่งไปยังห้องของผู้จัดการทันที ฟังเรื่องนี้แล้วนึกถึง เรื่องของพี่โหน่ง วงทนงศ์ สมัยที่

ปีหน้าฟ้าใหม่

ปีใหม่กลายเป็นเทศกาลที่พิเศษ เมื่อเรามีโอกาสที่ได้หยุดอยู่กับที่ได้ออกจากวงจรการทำงานประจำ ซ้ำๆเดิมๆเหมือนดังเช่นที่ผ่านมาตลอดปี ได้มีเวลาพักผ่อนกับครอบครัว หรือบางคนเลือกใช้เวลานี้กับการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อชื่นชมบรรยากาศที่แตกต่างไปจากทุกวันในรอบปี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือการใช้เวลาวันหยุดในการอยู่กับตัวเองทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปีที่แล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนก้าวเดินต่อไปในอนาคต วิธีหนึ่งคือการเจริญมรณสติ แบบที่คุณสตีฟ จ๊อป ศาสดาแห่ง Apple ทำเป็นประจำ ด้วยการสนทนากับเสียงข้างในจิตใจของตนเอง โดยตั้งคำถามถามตัวเองว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กาลังจะทำในวันนี้หรือไม่" ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน แน่นอนว่าเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง ผมว่าแนวคิดนี้ค่อนข้างดีมาก และนำมาประยุกต์ได้หลายหลาย ทั้งในเรื่องการทำงาน การเรียน ความรัก และการลงทุน  โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน การลงทุนไม่ว่าจะแนว VI หรือ VS ล้วนแต่ต้องอาศัยความเชื่อในการลงทุนทั้งนั้น เชื่อในระบบ เชื่อในวิถีทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แต่แน่นอนว่า เราไม่สามารถสุดโต

ลงทุนหุ้นแบบพอเพียง

บ่อยครั้งที่ผมมักได้ยินคำกล่าวที่ว่า คนที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้น หากินกับการทำกำไรจากหุ้น มักเป็นพวกที่หิวเงินและชอบล่าเงิน แต่จากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมาในตลาดแห่งนี้ ผมกลับมองว่าคำพูดเหล่านั้นไม่เป็นจริงไปทั้งหมด เพราะคนส่วนมากที่ประสบความสำเร็จ ต่างล้วนแต่ไม่ใช่คนโลภที่หิวกระหายในเงิน แต่คนเหล่านั้นเป็นคนที่รู้จักคุณค่าของเงิน รู้จักการรอคอยการงอกเงยและเติบโตของเงินแทบทั้งนั้น ยอมรับครับว่าในที่แห่งนี้กลิ่นของเงินมันหอมหวลชวนให้เราอยากกระโจนเข้าไปหาจริงๆ แต่อย่างไรเสีย สัจธรรมพื้นฐานที่นักลงทุนอย่างเราต้องตระหนัก หรือจะใช้คำว่าสำเนียกก็ได้คือ "ไม่มีอะไรฟรีในโลกนี้" ทุกอย่างเรามักจะต้องจ่ายค่าตอบแทน มากน้อย ช้าเร็วก็ว่ากันไป สิ่งหนึ่งที่เป็นคำสอนที่ผมได้รับจากรุ่นพี่ที่แนะนำเรื่องการลงทุน ตั้งแต่สมัยผมเริ่มลงทุนใหม่ๆ ซึ่งผมยังจำได้ดี นั้นก็คือเรื่องของความพอเพียง แน่นอนว่าตอนแรกที่คำนี้ ถูกถ่ายทอดเข้าสู่โสตประสาทของผม ความฉงนสงสัยก็วิ่งเข้ามา เพราะความไม่เข้าใจว่าในตลาดที่ทุกคนจ้องแต่จะฉกฉวย กอบโกยเอาผลกำไรเข้าสู่กระเป๋าตนเอง เรายังสามารถใช้ความพอเพียงอยู่ได้อีกหรือ?? จนเมื่

สอนลูกให้รวย

เมื่อเช้ามีโอกาสไปทำบุญที่วัด เนื่องในช่วงโอกาสวันหยุดยาว ทำให้วันนี้วัดมีพุทธศาสนิกชน ค่อนข้างหนาแน่นครับ ที่สำคัญใกล้จะถึงวันสำคัญของปวงชนชาวไทย "วันพ่อแห่งชาติ" วันนี้เลยพบเด็กๆที่จูงมือพ่อ(และแม่ด้วย) มาทำบุญกันอย่างคึกคัก ผมมาสะดุดตาตรงที่ พ่อลูกคู่หนึ่งที่ขับรถกระบะเก่าๆมาทำบุญที่วัด มากันทั้งครอบครัว ทำตัวสบายๆทักทายเพื่อนๆร่วมชุมชนอย่างเป็นกันเอง ถ้าคนที่ไม่รู้จักอาจจะดูเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรแปลกตา แต่สำหรับคนคุ้นเคยจะรู้ดีว่าคุณพ่อวัยห้าสิบคนนี้เป็นเศรษฐีที่ดินประจำอำเภอ แต่กลับมีวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและไม่ฟุ้งเฟ้อแบบ คนอยากรวยในสมัยนี้ หลังทำบุญถวายอาหารพระเสร็จเรียบร้อย ชาวบ้านและพระ เณรต่างร่วมกันทำความสะอาดวัด หลังจากผ่านเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ นอกจากการร่วมใจ ร่วมเงินบริจาคเพื่อ ปฏิสังขรณ์ สิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น ศาลการเปรียญ, อุโบสถ, หอฉัน และกุฏิพระ เป็นต้น ชาวบ้านยังต้องร่วมแรง ออกแรงกันมาช่วยกำจัดขยะและทำความสะอาด อีกด้วย คุณพ่อลูกหนึ่งเศรษฐีที่ดินคน เจ้าของธุรกิจปั๊มน้ำมันนี้ก็ไม่ได้รังเกียจงานหนัก ท่านกลับพาลูกมาช่วยทำความสะอาดห้องน้ำ และกวาดลานวัดอย่างขยัน

เป้าหมายการลงทุน

ได้ดูโฆษณากระทิงแดงทีไร แล้วรู้สึกหึกเหิมทุกทีไป โดยเฉพาะวลีเด็ดโดนใจที่ว่า "เป้าหมายมีไว้พุ่งชน" แน่นอนว่าชีวิตคนเรานั้นต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายที่เป้นดั่งธงชัยไว้ให้เราเคลื่อนที่ไปข้างหน้า การใช้ชีวิตไปวันๆแบบไม่มีเป้าหมาย ปล่อยตัวไหลไปตามครรลองของเวลา นั้นย่อมทำให้ชีวิตขาดความทะเยอทะยาน ขาดไฟในการขับดันให้ไปสู่ความสำเร็จ การลงทุนก็เช่นกันครับ ไม่ว่าจะลงทุนสั้นหรือยาว เป้าหมายเป็นสิ่งที่สำคัญในการวางแผนบริหารจัดการทางการเงิน แต่เท่าที่ผมสังเกตเห็น แมงเม่าไทย ส่วนมากไม่มีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน ส่วนมากมักหวังสูง บางคนบอกว่าอยากได้ผลตอบแทนเดือนละ 10% ไม่มากไม่มาย แต่ขอโทษเถอะพ่อคุณถ้าบวกลบคูณหารออกมาแล้ว ปีละ 120% เชียวนะครับ บางคนก็คิดจะได้ปีละ 50 60% นั้นก็ไม่น้อยเช่นกัน  คนที่ไม่รู้จักตลาดหุ้นอาจจะฟังแล้วขำ เมื่อเอาไปเทียบกับดอกเบี้ย ธนาคารปีละ 2-3 % แต่จริงๆแล้วตลาดหุ้นสามารถเนรมิตรให้ทันได้มากกว่านั้นครับ ถ้าเอาแบบเสี่ยงจัดๆก็ DW วันละ 50-100% ทำได้อยู่แล้ว หรือถ้ามองเป็นรอบสัปดาห์ก็มีหุ้นเล็ก หุ้นร้อนรายวัน Warrant หรือ DW หลายตัวที่เคลื่อนที่เฉลี่ยสร้างผลตอบแทนถึง 50%

ถ้ารู้(กู)รวยไปแล้ว

ช่วงนี้ตลาดหุ้นบ้านเราดูเหมือนจะออกแนวอินดี้นอกกรอบ ทำตัวแบบเด็กวัยรุ่น 16 17 หัวขบถนิดๆไม่ค่อยตามใคร สังเกตได้จากการที่ข่าวความวิตกเรื่องปัญหาหนี้สินยุโรปออกมาเป็นทิวแถว แต่ SET ทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนนิ่งเฉย นิ่งเตะไม่ไหวติงไม่ออกอาการลง(แดง) แบบตลาดรอบโลก ล่าสุดแม้ดาวน์โจนแดงต่อเนื่อง ก่อนจะลบไปเกือบสองร้อยจุดกว่า เล่นเอาหลายคนคิดว่าตลาดหุ้นไทยวันนี้ไม่รอดสงสัย บ้างก็ว่าเม่าตายแน่ทุบแน่ทุบแล้ววันนี้(24-11-2011) ผลปรากฏว่าหุ้นไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก นอกจากไม่ลบแล้วปิดบวกหน้าตาเฉย  ประเด็นที่เขียนมาในตอนต้นไม่ได้บอกนะครับว่า ตลาดบ้านเราจะขึ้นต่อเนื่อง(ผมก็ไม่รู้และไม่คิดจะไปเดา) แต่แค่อยากสะท้อนว่าตลาดหุ้นมันเป็นอะไรที่ยากจะเดา การจับเอาข้อมูล ข่าว เอาตัวเลขต่างๆมาร่วมกันทำนาย พยากรณ์(เดา) อนาคตมันยากจะที่ถูก โดยเฉพาะคนที่ชอบนำเรื่องนี้ไปเล่นในตลาด TFEX ผมเห็นเจ็บหนักกันถ้วนทั่ว เพราะความรู้สึกมันขัดกับสิ่งเกิดขึ้น ยิ่งมีอคติ(Bias)ไปปนกันข้อมูลที่เขาฉีดมาให้เราเสพ ผลก็คือเรายิ่งเดาไปในทางที่เราต้องการ ผมมีเรื่องสนุกๆสไตล์ชาวบ้านมาเล่าให้ฟัง มีลุงคนหนึ่ง ชื่อ ดำ ที่เชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่ง

เงินน้อยๆสมองเยอะๆ

เงินมักถูกใช้เป็นตัวแสดงฐานะทางสังคมของคน เพื่อจะได้รับการยอมรับ เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องปกติที่มีมาตั้งโบราณกาล ดูจะเป็นเรื่องปกติที่เราๆท่านๆยอมรับกันได้ ไม่เว้นแม้แต่ในสังคมนักลงทุน ที่หลายคนมักจะนำเอาขนาดของจำนวนเงินในพอร์ตมาบัฟใส่หน้ากันให้เห็นบ่อยๆ จนกลายเป็นว่าถ้าฉันเงินเยอะ สิ่งที่ฉันพูด สิ่งที่ฉันคิด สิ่งที่ฉันเชื่อต้องถูกเสมอ (ไม่เชื่อดูสิพอร์ตฉัน 7 หลักนะเงินเยอะนะ) ผมพบเจอเรื่องแบบนี้ค่อนข้างบ่อยจนชินชา แมงเม่าขับเบนซ์คุยกับเพื่อนๆแมงเม่าขับวีออส บางคนก็บอกว่าวันนี้กำไรหลายแสน หลายล้าน ทั้งจริงๆอาจจะได้กำไรไม่กี่ % หรือได้แค่ 3 ช่อง 4 ช่อง แต่ด้วยเงินทุนที่มาก(รวยมาเป็นพื้นฐาน) เลยดูเหมือนผลตอบแทนที่เยอะ (เป็นความภาคภูมิใจของคนที่ได้) แต่ตอนที่เสียก็เก็บความขมขื่นไปทิ้งแม่โขง เงียบๆคนเดียว ในอีกมุมหนึ่งความแปลกของตลาดหุ้นก็คือ คนรวยบางคนมีเงินเยอะๆแยะแต่ขาดทุนจนหมดความมั่นใจ จนต้องไปหาที่พึงเช่นเรื่อง ดวง เรื่องโหรราศาสตร์ หุ้นตัวไหนจะมา หุ้นตัวไหนจะดี หุ้นตัวไหนชง มันแปลกถึงขนาดเอาชื่อย่อหุ้น มาผูกเรื่องรวมกับดวงดาวบนฟ้า และผูกโยงกับดวงวันเดือนปีเกิดของคนลงทุน บ๊ะเอาเข้านั

บทเรียนของผู้แพ้

เรามักหาอ่านเรื่องราวของคนที่ชนะ ประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้ง่าย ทั้งหนังสือพิมพ์ รายการทีวี ต่างก็มักจะนำเสนอเรื่องราวของคนเหล่านั้น ซึ่งเกือบ 80% ของเนื้อหามักจะพูดเน้นไปที่สิ่งที่เขาทำแล้วสำเร็จ ซึ่งพอนำเสนอผ่านคำถามของพิธีกร คำตอบมันดูช่างง่ายดาย ราวกับว่าคุณเองก็สามารถทำได้ แต่แท้จริงแล้วผมเชื่อมาตลอดว่ากว่าคนเหล่านั้นจะพบกับคำว่าความสำเร็จ เขาย่อมผ่านการล้มลุกและเจอความล้มเหลวมาก่อน แล้วแน่ใจว่าช่วงเวลาในวังวนแห่งความล้มเหลว กว่าที่ใครคนหนึ่งจะก้าวผ่านมาได้ ย่อมต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน แก้ไขและค้นหา เส้นทางที่จะนำเขาไปสู่ความสำเร็จได้ ส่วนตัวผมชอบที่จะฟังเรื่องราวที่ผิดพลาด เหตุการณ์ที่ล้มเหลว ในยามช่วงที่จิตใจท้อแท้ รวมถึงเหตุการณ์จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาออกจากจุดล้มเหลว ยิ่งเฉพาะวิธีการและแนวคิดที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นมากกว่า การมาสนใจว่าเขาซื้อหุ้นอะไรที่ได้กำไรหลายร้อย % หรือจริงๆแล้ว บางทีเราอาจจะลองเปลี่ยนมาสัมภาษณ์ คนที่ล้มเหลวดูบ้าง เช่นคนที่เล่นขาดทุนจนหมดเงินต้องหันหลังออกจากตลาดไป หรือคนที่ติดดอยหลายปี จนต้องเลิกเทรด การได้ฟังเรื่องคนที่ล้มเหลว จะทำให้เราเรียนร

ทําอย่างไรให้รวยหุ้น

เมื่อคืนต้องบอกว่าค่อนข้างผิดหวังกับฟอร์มของนักฟุตบอลทีมชาติไทยชุดใหญ่ที่แพ้ซาอุไปแบบหมดลุ้น 3 เม็ด ผมเริ่มเชื่อพี่โน๊ตอุดมแล้วว่า ถ้าบอลไทยจะได้ไปบอลโลกมีทางเดียวคือ เราต้องเป็นเจ้าภาพ และบอลโลกต้องมาจัดที่ประเทศไทย ถึงจะมีความน่าจะเป็นที่มากที่สุด ยิ่งหันกลับไปมองชุดเล็กที่ตอนนี้ลงเล่นทัวร์นาเมนต์ระดับทวีปแบบ ซีเกมส์ที่แต่ก่อนถ้าเราไป ยังไงก็แชมป์ สองสามปีมานี้แม้แต่จะเข้ารอบยังยากลำบากเลย เราเล่นเกมส์กับเขมร กับพม่า กับลาวได้สูสีแบบไม่โดดเด่น นี่ถ้าเจอทีมแบบระดับอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม เราก็อาจจะรอดยาก ถ้ายังรักษาฟอร์มที่กระท่อนกระแท่น แบบนี้อยู่ ก่อนเข้านอนแวะไปอ่านอีเมล์ ปรากฏว่ามีพี่ท่านหนึ่งเขียนมาปรึกษาเรื่องหุ้น ขึ้นหัวข้อมาว่า "ทำอย่างไรให้รวยหุ้น" เลยถือโอกาสนี้เอาหัวข้อนี้มาเป็นประเด็นเขียนบล็อคเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนคติกัน ผมเองเชื่อว่าทุกคนอยากรวย แน่นอนว่ารวมถึงตัวผมเองด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ปรากฏในตลาดหุ้นคือ คนที่อยากรวยมักจะไม่รวย แปลกไหมครับ?? อาการของคนที่อยากรวยคือคนที่ มุ่งจะหาวิธีการทำกำไรสูงสุดจากการเล่นหุ้นให้ได้ ในเวลาอันสั้น บางคนไปหาหุ้น 5 เด้ง 10

leverage

ช่วงนี้ดูเหมือนความกังวลเกี่ยวกับตลาดหมีน้อยจะกลับมาอีกรอบ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาหนี้สินของกรีซ และประเทศอื่นๆในยุโรป สลับกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ออกมาให้ลุ้นกันได้เรื่อยๆ เมื่อหลายคนกังวล ผลที่ตามมาคือ ตลาดหุ้นมักตอบสนองกับความกังวลนั้น จะสั้นหรือยาวก็ตามแต่สถานการณ์ รวมถึงวิธีการเล่นของผู้เล่นรายใหญ่ เดี่ยวนี้จึงได้เห็นแมงเม่าแห่ลงไปเทรด Tfex กันมากขึ้น ตามคำชวนของเพื่อน ของมาร์ ด้วยความเชื่อที่ว่า จะได้มีเครื่องมือไว้ทำกำไรในช่วงตลาดขาลง  โดยหลายคนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรดในตลาดฟิวเจอร์ ขาดระบบการเทรด ขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะหลายคนเพิ่งจะเริ่มเทรดหุ้นได้ไม่นาน และส่วนมากยังขาดทุนกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร จึงคิดที่จะมีทางลัดในการทำเงินจากตลาดฟิวเจอร์ ที่มี leverage สูงได้กำไรเยอะ เร็ว (อันนี้คำโฆษณาที่ยอดฮิต)  ผลที่ปรากฏส่วนมากก็จะขาดทุนไปตามระเบียบ บางคนเล่นไม่ต่างกับไฮโล แทงสั้น แทงยาว ไปตามการคาดเดา จับข่าว จับเรื่องราว จับดาวน์โจน ดาวน์โจนฟิวเจอร์ จับฝรั่งซื้อ-ขาย มาเป็นวัตถุดิบในการเดา สุดท้ายผิดทาง(จริงๆตัวเลขเหล่านี้ ส่วนมากใช้ประกอบกับข้อมูลอื่นๆหรือประกอบกับ

เริ่มต้นดีมีชัยไปว่าครึ่ง

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า "เริ่มต้นด้วยดีเท่ากับสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง" มันสะท้อนถึงสัจธรรมความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะทำสิ่งใด การเริ่มต้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และสามารถสะท้อนได้ถึงโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การลงทุนในหุ้น  ผมเชื่อว่าทุกคนย่อมมีก้าวแรกที่เริ่มออกเดินกันทั้งนั้น ซึ่งแต่ละคนออกอาจจะออกตัวเดินที่จุดเริ่มต้นและต้นทุนทางสังคมที่แตกต่างกันไป  คนรวยเริ่มต้นด้วยเงินถุงเงินถัง มีเงินจากครอบครัวแบ็คอัพ ก็หมือนได้ขึ้นบันไดเลื่อน ไม่ต้องกดดันมาก เหมือนเดินบนพรม ถ้าเป็นคนจนคนชั้นกลาง อาจจะต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อย กว่าจะหาเงินก้อนมาเริ่มลงทุนได้ แทบลากเลือด แต่สุดท้ายจะเริ่มต้นด้วยเงินมากหรือน้อยเท่าไหร่ก็ไม่สำคัญ เท่าทัศนคติและวิธีคิดเริ่มต้นในการลงทุน การเริ่มต้นเป็นอะไรที่ยากเสมอ เพราะในเรื่องการลงทุนหลายคนไม่ได้มีพื้นฐาน ไม่ร่ำเรียนมาโดยตรง ดังนั้นถ้าจะให้ผ่านช่วงที่ยากที่สุดไป จำเป็นที่จะต้องมีแรงบันดาลใจ ส่วนหนึ่งเราสามารถหาได้จากการอ่านบทความเรื่องราวของ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จำได้ว่าช่วงต้นปีที่ผ่านมามี บทความแนวนี้ออกมาค่อนข้างเยอะ ให้เราได้อ่าน ทั้งน