ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

ความเสี่ยง มือสังหารที่ไร้ความปราณี

เราอยู่บนโลกของการลงทุน ความเสี่ยงน่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่เราต้องเจอและต้องทำความรู้จักกับมันให้มากๆ เพราะถ้าเราไม่สนิท ไม่รู้จัก หรือประมาท ดูเบามัน วันหนึ่งความเสี่ยงก็จะเข้ามาทำร้ายเรา และนำเราไปสู่ความหายนะได้ ไม่ว่าเราจะคิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหน หรือจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ดีเท่าใด ถ้าเราไม่สามารถรับมือและควบคุมความเสี่ยงไว้ได้ ก็ไร้ประโยชน์ ปลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวที่ใหญ่ที่สุดข่าวหนึ่งของแวดวงการเงินโลก คงหนี้ไม่พ้นเรื่องการขาดทุนแบบไม่คาดฝัน ของ JP Morgan (JPM) ที่มากถึง สองพันล้านดอลล่าห์สหรัฐ( $2 billion) เงินจำนวนมหาศาลที่ขาดทุนจากลงทุนภายในระยะ 6 สัปดาห์บนตราสารอนุพันธ์ จาก hedging mechanism ของฝ่าย proprietary trading ที่ห้องค้าลอนดอนโดยทาง CEO ยืนยันว่าไม่ใช้ rogue trader หรือการทุจริตแต่อย่างใด การขาดทุนเสียหายจากโมเดลการลงทุนที่ซับซ้อนในช่วงตลาดผันผวนแต่ขาดการดูแลความเสี่ยงให้ดีพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะโลกนี้มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ การลงทุนไม่ว่าจะสั้นหรือยาว นั้นก็เป็นการเสี่ยงบนความน่าจะเป็น ที่มีโอกาสผิดพลาดเสมอ ความเสี

มือที่มองไม่เห็น

ข้อแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่ในตลาดหุ้นคือ เรื่องของ "จิตใจ" คนส่วนใหญ่เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เปรียบได้กับเด็กน้อยที่เข้าโรงเรียนในวันแรก อะไรมันก็ดูใหม่ อะไรก็ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องให้บีบหัวใจทุกวัน มือใหม่มักเน้นที่การศึกษาเรื่องของเครื่องมือ ในขณะที่มือเก่ามือเก๋าเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาเรื่องของจิตใจ เพราะจิตใจเป็นสิ่งสำคัญแต่ในมุมมองของมือใหม่แล้ว มักถูกอัตตาบดบังจนคิดว่าตัวเองเอาอยู่ รับมือกับมันได้ไม่มีปัญหา ทั้งที่แท้จริงแล้วกับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง จิตใจ เปรียบได้ประหนึ่งกับมือที่มองไม่เห็น สามารถดันเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถฉุดรั้ง กดเราให้ตกต่ำไปได้เช่นกัน การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน ยิ่งจำนวนเงินมากเท่าไหร่ จิตใจ เราก็จะยิ่งมีผลมากเท่านั้น จิตใจที่ไม่นิ่ง ปราศจากการควบคุมหรือฝึกฝน มันก็จะถูกสิ่งเล้ากระตุ้นให้ไหลไปตามอารมณ์ในขณะนั้นได้เสมอ สุดท้ายแล้วเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนที่ใช้จิตวิทยาในการชักจูงจิตใจเรา เป็นผู้พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเพราะเมื่อจิตถูกชี้นำ สมองก็จะสร้างตรรกะ สร้างวิธีคิดที่ดูเหมื

เหนือฟ้ายังมีฟ้า

สมัยเด็กผมชอบดูหนังจีนกำลังภายในมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับวัดเส้าหลิน จำได้ว่าพระวัดนี้ฝีมือยุทธ์ล้ำเลิศ ใครได้มาเรียนกังฟู ได้มาฝึกวิชาที่วัดนี้ จบไปถือว่าเป็นสุดยอดทั้งด้านฝีมือและคุณธรรม แต่แน่นอนว่ากว่าจะลงจากเขามาสู่จงหยวนได้ต้องผ่านด่านอรหันต์ทองคำหรือค่ายกลมนุษย์เส้าหลินในหอตั๊กม้อ ทดสอบฝีมือ ความอดทน แทบปางตาย ต้องพร้อมจริงๆทั้งร่างกายและจิตใจจึงสามารถจะสำเร็จออกไปได้ เมื่อผ่านแล้วยังต้องประทับตาเหล็กร้อนๆบนหลังเพื่อเป็นการันตีว่าได้สำเร็จวิชาชั้นเซียนจากวัดเส้าหลินแล้ว เปรียบดังชีวิตจริงถ้าอยากมีชื่อเสียง อยากให้คนยอมรับ เราก็ต้องเอาชนะด่านอรหันต์ทองคำ ให้ได้ก่อน ต้องผ่านการขัดเกลา ผ่านการหล่อหลอม ประสบการณ์และความสามารถ จนเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป บททดสอบที่ยากที่สุดคือการเอาชนะจิตใจของตัวเอง การเอาชนะใจของตัวเองคือการควบคุมจิตใจของเรา ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรตามต้องการ มีสติสัมปชัญญะในการพิจารณาการปรุงแต่งของจิตใจที่ไหลไปตามสิ่งเล้าจากภายนอกและก่อให้เกิดอารมณ์ต่างๆ การเอาชนะจิตใจไม่ใช่การหลอกตัวเอง การหลอกตัวเองเปรียบประหนึ่งกับการเอากระดาษมาห่อไฟ อาจจะปิดบังเพื่อไม่ให้คนภ

เทคนิคบริหารพอร์ตหุ้นเก็งกำไร

การเป็นนักเก็งกำไร หาเงินจากการเทรดหุ้นหลายคนมักคิดว่ามันง่าย ไม่เหนื่อย ได้เงินเร็ว ใช้ชีวิตชิวๆ ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องมีเจ้านายมาจิกหัวใช้ มากดดันให้เราทำอะไรตามคำสั่ง เหมือนเป็นชีวิตในฝัน แต่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ง่ายดายเช่นนั้น ต้องผ่านการฝึกฝนและการพัฒนาตนเอง ผมเองแม้ปัจจุบันไม่ได้ทำอาชีพเป็นเทรดเดอร์ แต่ก็เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตหาเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้นและอนุพันธ์อย่างเดียวมาก่อน  ผมเคยใช้เวลา เกือบ 2 ปีในการเทรดหุ้นเก็งกำไรเป็นหลัก ตั้งแต่เช้าถึงดึก ทั้งตลากหุ้นไทย tfex ตกเย็นก็ต่อด้วยการเทรดทองคำ ตอนนั้นมีความคิดเบื้องต้นที่ว่า อยากพัฒนาระบบเทรดและอยากเพิ่มความสามารถในการเทรดหุ้นของตัวเอง ถ้าเราทำงานไปด้วยเล่นหุ้นไปด้วย เวลาในการอ่านหนังสือ ในการทุ่มเทเพื่อติดตามหาข้อมูลมันอาจจะไม่พอ และอาจจะช้า ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านชีวิตการทำงาน เลยทำให้ตัดสินใจลองทำดู สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ จากการใช้ชีวิตเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้น มันไม่ใช่แค่การดูกราฟ หรือนั่งวิเคราะห์ หุ้นแต่มันเป็นมิติเรื่องการบริหารจัดการ โจทย์ที่ว่าทำอย่างอย่างไรที่จะเทรดหุ้นให้มีเงินพอเลี้ยงชีพ ห

คุณค่าและราคา

หน้าร้อนปีนี้ดูจะสาหัสเอาการทีเดียว ผมลองวัดอุณหภูมิและจดบันทึกสะสมไม่น่าเชื่อว่าแต่ละวันจะร้อนขนาด 40 องศาได้นานต่อเนื่องเกือบสองสัปดาห์มาแล้ว เดินตากแดดออกจากบ้านหรือที่ทำงานในตอนกลางวัน ตัวแทบจะละลาย นี่คงเป็นผลกรรมของมนุษย์ที่ธรรมชาติกำลังลงโทษเรา ด้วยสาเหตุจากภาวะโลกร้อน ในอนาคตอุณหภูมิในฤดูร้อนก็คงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เราทำกันได้ในวันนี้มากกว่าการบ่นว่า "ร้อน" ก็คงเป็นการปรับตัวเองให้เขากับธรรมชาติ และช่วยกันปลูกต้นไม้คนไม้คนละมือเพื่อเพิ่มความชื้น เพิ่มอากาศบริสุทธิ และเป็นร่มเงาให้กับพวกเรา นอกจากความร้อนที่จะเข้ามากวนใจเราแล้ว ยังมีบิลค่าไฟฟ้า ที่เข้ามารบกวนจิตใจอีกประการ เมื่อเราร้อนเราก็ต้องหันหน้าไปพึ่งเครื่องทำความเย็น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น ร่วมแต่เป็นอาวุธหลักที่เราใช้ในการต่อสู้กับเจ้าความร้อน อาวุธเหล่านี้ล้วนกินไฟฟ้า เป็นอาหารและเป็นอุปกรณ์ที่กินไฟฟ้าจุ เมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆในบ้าน ยิ่งรัฐบาลใจดีปรับค่า FT ซึ่งอ้างว่าให้สอดคล้องกับค่าพลังงานเชื่อเพลิง ทำให้ค่าไฟฟ้าแต่ละบ้านมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มมากขึ้นอีก 5-10% ทำให้ประชาชนต

Instagram รวยได้ด้วยไอเดีย

ถ้าเอ่ยถึงชื่อ Instagarm คนที่ใช้อินเตอร์เน็ตคงไม่มีใครไม่รู้จัก app ตกแต่งและแชร์รูปภาพชื่อดังที่วันนี้หลายคนติดอกติดใจ ชื่นชอบในภาพถ่ายแบบสีแปลกอารมณ์ยุคสไตล์โพลาลอยด์ Instagram เป็นผลิตของสองผู้ประกอบการวัยหนุ่มคือคุณ Kevin Systrom และ Michel "Mike" Krieger สองนักพัฒนาโปรแกรมเมอร์ ที่ร่วมกันปั้นบริษัทจากความฝันและความชื่นชอบในการถ่ายภาพ จนกลายเป็น app ที่โด่งดังมีผู้ใช้มากมายทั่วโลก และทำให้เขาทั้งสองได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านเพียงชั่วข้ามคืนจากดีลการซื้อกิจการจาก เฟสบุ๊ค  Kevin Systrom ได้เริ่มก่อตั้งบริษัทที่มีพนักงานเพียง 5 คนเมื่อ โดยได้รับเงินสนับสนุนจาก Baseline Ventures and Andreessen Horowitz ในตอนแรกพัฒนาโปรแกรม Burbn โปรแกรมตกแต่งภาพและแชร์สถานที่พร้อมข้อความ หลังจากนั้นไม่นาน Kevin Systrom ก็ได้รู้จักกับ Krieger ซึ่งเป็นผู้ใช้ Burbn และได้เข้ามาแลกเปลี่ยนไอเดียจนได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทและได้ช่วยกันสร้าง Instagram ในเวลาต่อมา  Kevin Systrom และ Michael "Mike" Krieger เป็นอีกส่วนผสมที่ลงตัว ทั้งคู่เรียนจบจาก สแตนฟอร์ด โดย Kevin Systrom จบมาทางด้าน

จุดบรรจบของเทคนิคคอลและพื้นฐาน C-A-N-S-L-I-M # 2

ตอนที่สอง ผมจะกล่าวถึงเทคนิคการลงทุนแบบ C - A - N - S - L - I - M ของคุณ วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) ปรมาจารย์ด้านการลงทุนของโลกอีกท่าน ผมชอบเทคนิควิธีนี้เพราะเป็นการผสมผสานทั้งเรื่องของปัจจัยพื้นฐาน การเติบโตของธุรกิจ บวกกับการพิจารณาแนวโน้มราคาหุ้นและแนวโน้มตลาด ควบคู่กันในการลงทุน ผมนำเอาเทคนิคนี้มาประยุกต์และใช้ในการลงทุนระยะยาวของตัวเอง  โดยประยุกต์เอาแนวคิดและเทคนิคบางอย่างใส่ลงไปด้วย เพื่อให้เหมาะกับสภาวะตลาดหุ้นบ้านเราและเหมาะกับจริตการลงทุนของตัวผมเอง สิ่งที่เขียนในหัวข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างการประยุกต์เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว เพื่อนๆสามารถศึกษาหลักการของ C - A - N - S - L - I - M ให้เข้าใจและลองนำไปประยุกต์ใช้ดูครับ C - A - N - S - L - I - M ประกอบด้วยตัวแปรที่ต้องพิจารณา 7 ตัวได้แก่  1. C= Current quarterly earnings per share. 2. A = Annual earnings per share. 3. N = New product/management/price high. 4. S = Supply/Demand: Small Cap + Volume 5. L = Leader 6. I = Institutional Sponsorship 7. M = Market Direction โดยจำแนกปัจจัยหลัก 5 ด้านคือ งบการเงิน,สภาพคล่อง,ผลิตภัณฑ

จุดบรรจบของเทคนิคคอลและพื้นฐาน C-A-N-S-L-I-M # 1

ผมเป็นนักลงทุนแนวเก็งกำไร เป็นเทรดเดอร์ชื่นชอบการทำกำไรตามรอบกำลังของหุ้น แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำทุกวันก็คือการติดตามราคาหุ้นเป้าหมาย(ไม่ใช่การขวนขวายซื้อขายหุ้นทุกวัน) ใน watch list ทุกวันต้องดูกราฟวันละหลายรอบต่อตัว สิริแล้วก็เป็นร้อยต่อวัน และหลาย time frame เพื่อคำนวณความน่าจะเป็นและหาจังหวะเข้าซื้อขาย สิ่งที่ทำไม่ใช่งานที่สบาย นั่งชิวๆและได้เงินเหมือนที่หลายคนเข้าใจครับ การลงทุนระยะสั้นแบบเก็งกำไร หรือใช้คำว่าเล่นหุ้น เป็นอะไรที่ใช้เวลาและความพยายามค่อนข้างมาก สำหรับผมมันคือการเอาใจใส่อย่าใกล้ชิดกับปัจจุบัน เพื่อหาจังหวะที่ดีที่สุด ที่จะสร้างผลกำไรในรอบนั้นให้เรามากที่สุด ดังนั้นมันจึงห่างไกลกับคำว่า "อิสระภาพ" หรือการปล่อยให้เงินทำงาน สร้างรายได้เข้ามาอย่างเพียงพอและตัวเราก็สามารถไปประกอบอาชีพหรือทำอย่างอื่นที่ต้องการได้ โดยปราศจากการความกังวลเรื่องราคาหุ้น เรื่องผลตอบแทน แต่เมื่อใดก็ตามที่เรายังต้องวิเคราะห์และติดตามราคาหุ้นมันตลอดนั้นก็หมายถึงเรายังต้องทำงานกับมัน ยังติดอยู่กับกรอบอีกกรอบหนึ่งแทน คำถามที่ตามมาคือ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะมาเทรดหุ้นเก็งกำไรให้เหนื่อยทำไม?

ความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอน คือ สัจจะธรรมหนึ่งของชีวิตที่ผมเองพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ชีวิตผมเองก็เคยผ่านความไม่แน่นอนหลายอย่าง หลายครั้งที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต บางเหตุการณ์เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆรอบตัวที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ก็เป็นผลจากเหตุในอดีตที่เรากระทำไว้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปปฏิเสธหรือร้องโหวกเหวกโวยวายไม่ยอมรับมัน สิ่งหนึ่งที่ทำได้คงเป็นการยอมรับความจริง ยอมรับในความไม่แน่นอนและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ความไม่แน่นอน มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะพยายามจัดการ จัดระเบียบแบบแผนอย่างไรมันก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งจะได้ยินมาเป็นเรื่องราวของพี่คนหนึ่งซึ่งร่วมงานกันมานาน ที่ต้นเดือนยังเดินสายแจกการ์ดงานแต่งงานลูกสาวให้เพื่อนๆและคนรอบข้าง แต่แค่ผ่านไปสองสัปดาห์เรื่องราวที่ไม่คาดผันก็เกิดขึ้น เมื่อลูกสาวเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากงานแต่งงานก็กลายเป็นงานศพ จากการ์ดสีชมพูกลิ่นหอมกลายเป็นการ์ดสีขาวดำ ลวดลายโศกเศร้า ความไม่นอนก็เล่นตลกกับชีวิต ทำเอาปรับตัวเกือบไม่ทัน ชีวิตมีความไม่แน่นอน ไม่เที่ยงเป็นพื้นฐานดังนั้นการยึด

ต้องรอดเท่านั้น

ชอบคำอุปมาอุปมัยของพี่คนหนึ่งมาก ที่เปรียบ "ตลาดหุ้นเหมือนสนามรบในสวนสนุก" เพราะภาพจากภายนอกของคนที่สนใจ มักจะมองตลาดหุ้นสวยงามเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะภาพของตลาดทุนที่มีเม็ดเงินสะพัดวันเป็นหมื่นล้าน มันจะยากแค่ไหนที่จะหลุดมาเป็นของเราสัก 1000 -10000 บาทต่อวัน(ได้ทุุกวันก็ไม่ต้องทำงานประจำแล้ว) แมงเม่าหน้าใหม่วัยกระเตาะต่างเคลิบเคลิมกับภาพลักษณ์ กับคำเชิญชวนให้ก้าวย่างเข้ามาในตลาดหุ้น เปรียบดั่งการเดินเข้าสวนสนุกของเด็กๆ ที่แค่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาก็จินตนาการไปถึงความสุข ความสนุกและความสมหวังอย่างเปลี่ยมล้นไปแล้ว ยิ่งก้าวแรกเจอการบิ้วอารมณ์ให้โลภ ให้อยากเทรด อยากทำกำไร บวกกับการได้กำไร เล็กๆน้อยสลับขาดทุน บวกกับผู้หวังดีที่มีหุ้นเด็ดๆมาฝากทุกวัน เห็นคนโน้นคนนี้กำไรกัน จิตใจแมงเม่าหน้าใหม่ก็เริ่มผันผวน สนุกไปกับหุ้น สนุกกับการได้ๆเสียๆ ยิ่งเมามันกับการซื้อๆขายๆเพราะความโลภ ความกลัว จนหุ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แม้แต่เวลากิน เวลานอน คุณก็ต้องนึกถึง และยิ่งบวกกับการขาดทุนหนักๆมันยิ่ง กัดกินจิตใจของเราไปเรื่อยๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีอาจจะผ่านไปปีสองปี จะพบว่าของจริงนั้นหนั

ตลาดหุ้นไม่ใช่ตู้ ATM

หัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่แสดงงานวิจัยของ มายด์แชร์เอเชียแปซิฟิคสาขาสิงคโปร์ โดยสำรวจจากกลุ่ม Gen Y ทั่วโลกและในประเทศไทย พบว่า Gen Y ไทยเด่นนักสร้างสรรค์ จำนวนมากมีทัศนคติของการไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง พบอีกว่า GenY หลายคนสนใจเล่นหุ้นจำนวนมาก และหลายคนมีเงินฝากเกิน 10 ล้านบาทในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี อ่านแล้วก็ยังงงครับว่า GenY 10 ล้านก่อนอายุ 30 ปีในเมืองไทยมีมากขนาดไหน และที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจ การเล่นหุ้น หรือมาจากมรดกของที่บ้าน แต่ที่แน่แท้และที่ผมเองประสบกับตัวคือ GenY กลุ่มอายุ 16-29 ปี สนใจเล่นหุ้นมากจริงๆ วัดได้จากคำถามจากทาง email และจากหน้าเพจที่น้องๆกลุ่มนี้ถามมาเยอะมาก แน่นอนว่าอาจจะด้วยความหอมหวานของเม็ดเงิน หรือได้เห็นภาพโฆษณาขายฝันว่าเป็นการทำเงินที่ง่ายๆไม่เหนื่อย ทำให้คนกลุ่มนี้เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่อยากทำงานประจำไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ไม่ได้มุ่งหน้าหางานทำ หรือประกอบธุรกิจแต่กับมุ่งหน้าเข้าหาเงินในตลาดหุ้นแทน โลกความเป็นจริงมันไม่มีอะไรง่ายแบบนั้น ส่วนมากคนที่ชักชวนเราให้คนเข้ามามักฉายภาพการลงทุนแบบมีหลักการ ฉายภาพความหวัง ความฝัน ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่าง

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 2

ตอนที่สองนี้ผมขอนำเอากลยุทธการเล่นโป๊กเกอร์มายกตัวอย่างเพื่อให้ได้เห็นภาพของการเล่นจริง ปกติอย่างที่ผมกล่าวอยู่เสมอการเล่นหุ้นและการเล่นโป๊กเกอร์ถ้ามีระบบ เข้าใจความเสี่ยงไม่เล่นไปตามอารมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นการพนันแต่อย่างไร โป๊กเกอร์และหุ้นเก็งกำไร จะชนะได้แบบยั่งยืนผู้เล่นต้องเข้าใจเรื่องความน่าจะเป็นและมีความอดทน เพื่อรอทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ได้เปรียบ กล่าวคือถ้าเป็นหุ้นก็คือการเล่นเสี่ยงบนแนวโน้มขาขึ้น ปล่อยให้กำไรเกิดตามแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของราคา ถ้าเป็นโป๊กเกอร์ก็คือการที่เรากล้าเสี่ยงการเพิ่มเดิมพันเมื่อไพ่ในมือและไพ่บนโต๊ะจับคู่ออกมาดี มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง และรู้จักหมอบเมื่อเห็นโอกาสที่จะแพ้ กลยุทธพื้นฐาน หลักการดังที่ผมอธิบายไปแล้ว ต้องอดทนรอไพ่ที่ดี ผมขอสรุปกลยุทธพื้นฐานที่ดังนี้  1. ประเมินไพ่สองใบที่ได้รับ ถ้าหน้าไพ่สูงมีโอกาสดี เช่นอาจจะเกิดตอง อาจจะเกิดฟลัช(Flush) อาจจะเกิดคู่สูง หรือสเตรท เป็นต้น เราก็สามารถ Call หรือวางเดิมพันเพื่อดูไพ่และเล่นต่อไป ถ้าไพ่ต่ำความน่าจะเป็นน้อยก็ควรหมอบ 2. เมื่อไพ่สามใบ กลางโต๊ะออก ให้ประเมินความน่าจะเป็นของไพ่ที่เหนือกว่า