ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

หุ้น Facebook ตอนที่ 2: ใครรวยจากหุ้น

หลังจากนำเสนอเรื่อง IPO ของ Facebook ในตอนแรกไปหลายคนสนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนประเด็นนี้กันเยอะ โดยเฉพาะกรณีที่ราคาหุ้นของ Facebook ล่วงลงอย่างแรงหลังเข้าตลาดทำให้ ใครหลายคน โดนเฉพาะนักลงทุนรายย่อยในอเมริกาผิดหวัง เพราะกระแสเชียร์ก่อนเข้าตลาดนั้นดีมาก แต่พอผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ราคาก็ดิ่งเหว ทำเอาคนที่ซื้อราคาจองขาดทุนกันถ้วนหน้า ผมขอเอาข้อมูลทรัพย์สินของผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Facebook มาเปิดเผยให้ดูกัน หลังจากหุ้น Facebook ได้เข้าสู่ตลาด NASDAQ ทันทีทีระฆังดังขึ้นและมีการเปิดขาย IPO ก็จะมีเศรษฐี มหาเศรษฐีเงินล้าน เกิดขึ้นหลายคน โดยทั้งหมดเป็นผู้ถือหุ้นใน Facebook โดยแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ผู้ก่อตั้ง กลุ่มทุน ลูกจ้างและพนักงานบริษัท หลายคนเป็นเศรษฐีป้ายแดงมาดๆจากการมีหุ้นของ facebook ผมขอยกตัวอย่างกลุ่มและคนบางส่วนที่มีบทบาทมาให้ดูเพื่อเป็นกรณีศึกษา โดยใช้ราคา IPO ที่ 38 บาทมาเป็นตัวคำนวณมูลค่าทรัพย์สินของแต่ละคน 1.  Mark Zuckerberg  คุณพี่มาร์ค ผู้ก่อตั้งและ CEO มีหุ้น facebook ถึง 28.2% คิดเป็นมูลค่า $24 billion ถ้าไม่มีมาร์คก็คงไม่มี facebook ต้องยอมรับในความสุดยอดของผู้ชายคนนี้จริงๆ ม

หุ้น Facebook ตอนที่ 1: IPO ประวัติศาสตร์

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา(18-05-2012) มีเหตการณ์ประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นอเมริกา นั้นคือมีการเปิดขายหุ้น IPO ครั้งสำคัญ โดยหุ้น IPO ของ Facebook ที่เข้าสู่ตลาดหุ้น NASDAQ อย่างเป็นทางการ โดยมีราคาจองที่ 38$ และได้รับความนิยมจากนักลงทุนจำนวนมากจนทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินการจัดการกับคำสั่งซื้อจนต้องเลือนเวลาขายหุ้นไปอีก ครึ่งชั่วโมง ท้ายสุดราคาเปิดทะยานไปถึง 42.05 และทำจุดสูงสุดที่ 45$(13%) ก่อนปิดตลาดที่ 38.28 ในวันนั้น แม้ว่าแนวโน้มของตลาดหุ้น NASDAQ จะไม่สดใสเพราะปัญหาหนี้สินจากกรีซจะกดดันตลาด แต่เฟสบุ๊คก็ปิดเขียวได้โดยไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ก่อนจะเปิดขายหุ้น IPO ก็มีนักวิเคราะห์จากสำนักหนึ่งประเมินว่าในอนาคตหุ้น Facebook มีโอกาสเติบโตได้ถึง 50 % จากราคาจอง แต่กระนั้นก็มีนักวิเคราะห์บางคนยังมองราคา IPO ของหุ้นตัวนี้ว่ามีราคาที่สูงเกินไป การเปิดขายหุ้น IPO วันนั้นทำให้ Facebook เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้รับเงินทุนจากการระดมทุนครั้งนี้ จากการขายหุ้นสามัญจำนวน 420 ล้านหุ้น สูงถึง 1.6 หมื่นล้านเหรียญ ในหนึ่งวัน นับว่าเป็นมูลค่าของ IPO ที่สูงเป็นอันดับต้นๆของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา

บันทึกเรื่องกรีซและวิกฤติหนี้ยุโรป

รอบนี้เป็นรอบที่สาม นับตั้งแต่ควันของวิกฤติหนี้สินภาครัฐของกรีซเริ่มปะทุขึ้น ซึ่งส่งผลไปสู่ตลาดหุ้นทั่วโลกเพราะกรีซเป็นหนึ่งในชาติสมาชิกของ EU ด้วยความคิดที่จะโตไปพร้อมกัน โตไปอย่างมั่นคงและยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นดาบสองคมเมื่อยามเกิดวิกฤติ ซึ่งสาเหตุหลักๆก็คือการที่ประเทศในกลุ่ม PIIGS (Portugal, Italy, Ireland, Greece และ Spain) กำลังเผชิญปัญหาหนี้ภาครัฐที่สูงมาก ในขณะเดียวกับการขยายตัวของเศรษฐกิจและการเติบโตของ GDP กับสวนทางกับหนี้สิน ทำให้เกิดปัญหาลุกลามทั้ง เจ้าหนี้และลูกหนี้ของแต่ละประเทศ ทำให้กลายเป็นปมปัญหาที่ต้องรอการแก้ไข ตัวละครตัวแรกที่เปิดฉากวิกฤติครั้งนี้ก็คือ กรีซ ประเทศของเทพเจ้ากรีกโบราณ ประเทศที่ดูหรูหรา คลาสิก แต่ตอนนี้กำลังเหลือแต่เปลือกรอวันแตกสลาย เพราะการที่ EU และ IMF ยื่นมือมาช่วยเหลือทั้งการประนอมหนี้ การสลับสนุนเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องให้รัฐบาลเพื่อช่วย นำมาใช้จ่ายในค่าสวัสดิการ ค่ารักษาพยาบาล ค่าเบี้ยงเลี้ยงและเงินเดือนแก่พนักงานของรัฐ แลกกับการทำตามแผนการลดหนี้ ซึ่งต้องบังคับให้ประชานรัดเข็มขัด ตัดสวัสดิการประชาชน ตัดเงินช่วยเหลือต่างๆ และขูดรีดภาษีเพิ่มแบบมห

ลงทุนด้วยหัวใจ ไม่ใช่อยากรวยเร็ว

ผมว่าเวลานี้คนที่เคยปรามาส ว่าตลาดหุ้นนั้นง่าย เหมือนเด็กสาวใจแตกคงต้องคิ ดใหม่กันอีกรอบ เพราะทุกวันนี้พระเอกที่เคย สร้างกำไร สร้างผลตอบแทนแบบเป็น กอบเป็นกำ ได้กลายร่างมาเป็นตัวร้ายที่จ้องสูบเงินออกจากพอร์ตขอ งเรา จากเนินเป็นดอยสูง จากกำไรเป็นขาดทุน จากสวรรค์เป็นนรก สับขาหลอกกันจนแมงเม่างงไปหมด บางคนเจ็บปวดทุกครั้งที่คนรอบข้า งถามถึงพอร์ต ถึงผลตอบแทนจากตลาดหุ้น หรือไม่ก็ต้องแกล้งโกหก ว่าตัวเองไม่เดือดร้อนจาก ภาวะเศรษฐกิจ วิกฤติหนี้ยุโรปที่มีผลต่อตลาด หุ้น จริงๆแล้ว ตลาดหุ้นไม่เคยง่าย ไม่ว่าจะมือเก่า หรือมือใหม่ เราก็คือรายย่อย วรรณะต่ำสุดในห่วงโซ่การลงทุน ด้อยทั้งอำนาจ เงินอำนาจการเข้าถึงข้อมูล และข่าว และอื่นๆ ดังนั้นเมื่อข้อจำกัดเยอะ เราต้องเรียนรู้ที่ต้องปรับ ตัวเอง ให้อยู่กับข้อจำกัดนั้น การลงทุนที่ดีไม่ว่าจะสั้นหรือยาว จะเก็งกำไรหรือเน้นปันผล จะต้องใช้ทั้ง หัว และใจ  หัวคือสมอง การคิด การวิเคราะห์ อย่าลงไปตามเกมส์ของทฤษฏีสม คบคิด ที่เขาปรุงแต่งให้เรา ไปตามเกมส์กระแสหลัก, หมั่นสังเกตและตั้งคำถามถึง สิ่งที่เกิด ,อย่าเชื่อเพียงเพราะมีหลาย คนเชื่อตามนั้น ,อย่าหลงไปกับความหวังสวยงา ม

Volatility Breakout System

Volatility คือ ค่าความผันผวนหรือค่าการแกว่งตัว โดยตามทฤษฏีหุ้นที่ได้รับความนิยม ราคาหุ้นจะมีความผันผวนและมีการเคลื่อนที่ไปมาเสมอ เราสามารถนำค่าความผันผวนมาใช้ในการกำหนดจังหวะการเข้าทำกำไรได้ โดยใช้หลักการการพิจารณาค่าความผันผวน ที่เกิดร่วมกับมิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น และใช้การ Breakout กรอบของราคามาเป็นตัวยืนยันสัญญาณซื้อขายอีกชั้นหนึ่ง เครื่องมือที่นิยมตัวหนึ่งใช้ในการวัดค่าการผันผวนและใช้สังเกตการแกว่งของราคาคือ Bollinger Band(BB) เพราะเป็นเครื่องมือที่ใช้ค่าสถิติของราคามาทำการเปรียบเทียบค่าการแกว่งตัว ณ ขณะเวลาต่างๆ โดยทำการสร้างกรอบของราคาที่แกว่งตัว เทียบกับเส้นค่าเฉลี่ยกลางเพื่อสะท้อนความผันผวนที่เกิดขึ้น  Bollinger Band ประกอบด้วยเส้นสำคัญทั้งหมด 3 เส้นคือแถบบน แถบกลาง และแถบล่าง โดยแต่ละเส้นมีการนิยามด้วยสมการคณิตศาสตร์ดังนี้  1.แถบบน(Upper Band) = SMA 20 วัน + Standard Deviation 20 วัน x 2 2.แถบกลาง(Middle Band) = Simple Moving Average (SMA) จากข้อมูล 20 วัน 3.แถบล่าง(Lower Band) =  SMA 20 วัน – Standard Deviation 20 วัน x 2  การนำไปใช้งานเราพิจารณาBand Width ของ Bollinger Band

ความเสี่ยง มือสังหารที่ไร้ความปราณี

เราอยู่บนโลกของการลงทุน ความเสี่ยงน่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่เราต้องเจอและต้องทำความรู้จักกับมันให้มากๆ เพราะถ้าเราไม่สนิท ไม่รู้จัก หรือประมาท ดูเบามัน วันหนึ่งความเสี่ยงก็จะเข้ามาทำร้ายเรา และนำเราไปสู่ความหายนะได้ ไม่ว่าเราจะคิดว่าตัวเองเก่งแค่ไหน หรือจะมีเครื่องมือวิเคราะห์ดีเท่าใด ถ้าเราไม่สามารถรับมือและควบคุมความเสี่ยงไว้ได้ ก็ไร้ประโยชน์ ปลายอาทิตย์ที่ผ่านมา ข่าวที่ใหญ่ที่สุดข่าวหนึ่งของแวดวงการเงินโลก คงหนี้ไม่พ้นเรื่องการขาดทุนแบบไม่คาดฝัน ของ JP Morgan (JPM) ที่มากถึง สองพันล้านดอลล่าห์สหรัฐ( $2 billion) เงินจำนวนมหาศาลที่ขาดทุนจากลงทุนภายในระยะ 6 สัปดาห์บนตราสารอนุพันธ์ จาก hedging mechanism ของฝ่าย proprietary trading ที่ห้องค้าลอนดอนโดยทาง CEO ยืนยันว่าไม่ใช้ rogue trader หรือการทุจริตแต่อย่างใด การขาดทุนเสียหายจากโมเดลการลงทุนที่ซับซ้อนในช่วงตลาดผันผวนแต่ขาดการดูแลความเสี่ยงให้ดีพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะโลกนี้มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตที่จะเกิดขึ้นได้ การลงทุนไม่ว่าจะสั้นหรือยาว นั้นก็เป็นการเสี่ยงบนความน่าจะเป็น ที่มีโอกาสผิดพลาดเสมอ ความเสี

มือที่มองไม่เห็น

ข้อแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่ในตลาดหุ้นคือ เรื่องของ "จิตใจ" คนส่วนใหญ่เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เปรียบได้กับเด็กน้อยที่เข้าโรงเรียนในวันแรก อะไรมันก็ดูใหม่ อะไรก็ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องให้บีบหัวใจทุกวัน มือใหม่มักเน้นที่การศึกษาเรื่องของเครื่องมือ ในขณะที่มือเก่ามือเก๋าเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาเรื่องของจิตใจ เพราะจิตใจเป็นสิ่งสำคัญแต่ในมุมมองของมือใหม่แล้ว มักถูกอัตตาบดบังจนคิดว่าตัวเองเอาอยู่ รับมือกับมันได้ไม่มีปัญหา ทั้งที่แท้จริงแล้วกับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง จิตใจ เปรียบได้ประหนึ่งกับมือที่มองไม่เห็น สามารถดันเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถฉุดรั้ง กดเราให้ตกต่ำไปได้เช่นกัน การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน ยิ่งจำนวนเงินมากเท่าไหร่ จิตใจ เราก็จะยิ่งมีผลมากเท่านั้น จิตใจที่ไม่นิ่ง ปราศจากการควบคุมหรือฝึกฝน มันก็จะถูกสิ่งเล้ากระตุ้นให้ไหลไปตามอารมณ์ในขณะนั้นได้เสมอ สุดท้ายแล้วเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนที่ใช้จิตวิทยาในการชักจูงจิตใจเรา เป็นผู้พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเพราะเมื่อจิตถูกชี้นำ สมองก็จะสร้างตรรกะ สร้างวิธีคิดที่ดูเหมื

เหนือฟ้ายังมีฟ้า

สมัยเด็กผมชอบดูหนังจีนกำลังภายในมาก โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับวัดเส้าหลิน จำได้ว่าพระวัดนี้ฝีมือยุทธ์ล้ำเลิศ ใครได้มาเรียนกังฟู ได้มาฝึกวิชาที่วัดนี้ จบไปถือว่าเป็นสุดยอดทั้งด้านฝีมือและคุณธรรม แต่แน่นอนว่ากว่าจะลงจากเขามาสู่จงหยวนได้ต้องผ่านด่านอรหันต์ทองคำหรือค่ายกลมนุษย์เส้าหลินในหอตั๊กม้อ ทดสอบฝีมือ ความอดทน แทบปางตาย ต้องพร้อมจริงๆทั้งร่างกายและจิตใจจึงสามารถจะสำเร็จออกไปได้ เมื่อผ่านแล้วยังต้องประทับตาเหล็กร้อนๆบนหลังเพื่อเป็นการันตีว่าได้สำเร็จวิชาชั้นเซียนจากวัดเส้าหลินแล้ว เปรียบดังชีวิตจริงถ้าอยากมีชื่อเสียง อยากให้คนยอมรับ เราก็ต้องเอาชนะด่านอรหันต์ทองคำ ให้ได้ก่อน ต้องผ่านการขัดเกลา ผ่านการหล่อหลอม ประสบการณ์และความสามารถ จนเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไป บททดสอบที่ยากที่สุดคือการเอาชนะจิตใจของตัวเอง การเอาชนะใจของตัวเองคือการควบคุมจิตใจของเรา ให้เป็นไปในทางที่ถูกที่ควรตามต้องการ มีสติสัมปชัญญะในการพิจารณาการปรุงแต่งของจิตใจที่ไหลไปตามสิ่งเล้าจากภายนอกและก่อให้เกิดอารมณ์ต่างๆ การเอาชนะจิตใจไม่ใช่การหลอกตัวเอง การหลอกตัวเองเปรียบประหนึ่งกับการเอากระดาษมาห่อไฟ อาจจะปิดบังเพื่อไม่ให้คนภ

เทคนิคบริหารพอร์ตหุ้นเก็งกำไร

การเป็นนักเก็งกำไร หาเงินจากการเทรดหุ้นหลายคนมักคิดว่ามันง่าย ไม่เหนื่อย ได้เงินเร็ว ใช้ชีวิตชิวๆ ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องมีเจ้านายมาจิกหัวใช้ มากดดันให้เราทำอะไรตามคำสั่ง เหมือนเป็นชีวิตในฝัน แต่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ง่ายดายเช่นนั้น ต้องผ่านการฝึกฝนและการพัฒนาตนเอง ผมเองแม้ปัจจุบันไม่ได้ทำอาชีพเป็นเทรดเดอร์ แต่ก็เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตหาเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้นและอนุพันธ์อย่างเดียวมาก่อน  ผมเคยใช้เวลา เกือบ 2 ปีในการเทรดหุ้นเก็งกำไรเป็นหลัก ตั้งแต่เช้าถึงดึก ทั้งตลากหุ้นไทย tfex ตกเย็นก็ต่อด้วยการเทรดทองคำ ตอนนั้นมีความคิดเบื้องต้นที่ว่า อยากพัฒนาระบบเทรดและอยากเพิ่มความสามารถในการเทรดหุ้นของตัวเอง ถ้าเราทำงานไปด้วยเล่นหุ้นไปด้วย เวลาในการอ่านหนังสือ ในการทุ่มเทเพื่อติดตามหาข้อมูลมันอาจจะไม่พอ และอาจจะช้า ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านชีวิตการทำงาน เลยทำให้ตัดสินใจลองทำดู สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ จากการใช้ชีวิตเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้น มันไม่ใช่แค่การดูกราฟ หรือนั่งวิเคราะห์ หุ้นแต่มันเป็นมิติเรื่องการบริหารจัดการ โจทย์ที่ว่าทำอย่างอย่างไรที่จะเทรดหุ้นให้มีเงินพอเลี้ยงชีพ ห

คุณค่าและราคา

หน้าร้อนปีนี้ดูจะสาหัสเอาการทีเดียว ผมลองวัดอุณหภูมิและจดบันทึกสะสมไม่น่าเชื่อว่าแต่ละวันจะร้อนขนาด 40 องศาได้นานต่อเนื่องเกือบสองสัปดาห์มาแล้ว เดินตากแดดออกจากบ้านหรือที่ทำงานในตอนกลางวัน ตัวแทบจะละลาย นี่คงเป็นผลกรรมของมนุษย์ที่ธรรมชาติกำลังลงโทษเรา ด้วยสาเหตุจากภาวะโลกร้อน ในอนาคตอุณหภูมิในฤดูร้อนก็คงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่เราทำกันได้ในวันนี้มากกว่าการบ่นว่า "ร้อน" ก็คงเป็นการปรับตัวเองให้เขากับธรรมชาติ และช่วยกันปลูกต้นไม้คนไม้คนละมือเพื่อเพิ่มความชื้น เพิ่มอากาศบริสุทธิ และเป็นร่มเงาให้กับพวกเรา นอกจากความร้อนที่จะเข้ามากวนใจเราแล้ว ยังมีบิลค่าไฟฟ้า ที่เข้ามารบกวนจิตใจอีกประการ เมื่อเราร้อนเราก็ต้องหันหน้าไปพึ่งเครื่องทำความเย็น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรับอากาศ พัดลม ตู้เย็น ร่วมแต่เป็นอาวุธหลักที่เราใช้ในการต่อสู้กับเจ้าความร้อน อาวุธเหล่านี้ล้วนกินไฟฟ้า เป็นอาหารและเป็นอุปกรณ์ที่กินไฟฟ้าจุ เมื่อเทียบกับเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆในบ้าน ยิ่งรัฐบาลใจดีปรับค่า FT ซึ่งอ้างว่าให้สอดคล้องกับค่าพลังงานเชื่อเพลิง ทำให้ค่าไฟฟ้าแต่ละบ้านมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มมากขึ้นอีก 5-10% ทำให้ประชาชนต