ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Average Directional Index (ADX)

ตลาดซึมๆไซด์ๆ ไร้แนวโน้มที่ชัดเจนแบบนี้ คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีเครื่องมือที่สามารถจับกำลังของแนวโน้ม เพื่อนิยาม ความชัดเจนและแข็งแรงของแนวโน้มราคาหุ้นได้ วันนี้ผมจึงขอมาเขียนถึงเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนีราคา ที่ชื่อ Average Directional Index (ADX) ดัชนีราคาตัวนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพดี สามารถใช้งานได้ทั้งกรอบเวลาเล็กและใหญ่ เป็นเครื่องมือคู่ใจเทรดเดอร์หลายคน Average Directional Index (ADX) พัฒนาโดยคุณ Welles Wilder ตั้งยุคก่อนจะมีคอมพิวเตอร์เสียอีก ADX เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกตัวที่นิยมใช้เพื่อวัดความแข็งแรงของแนวโน้ม ในระยะเล็ก กลาง ใหญ่ โดยเป็นการเฉลี่ยค่าของ Directional Movement Index(DI) ถ้าจะให้เข้าใจต้องลองเจาะลึกถึงสูตรสมการ โดย DM(Directional Movement) จะเป็นโมเดลคณิตศาสตร์ที่คำนวณจาก การเปรียบเทียบช่วงราคาสูงสุดต่ำสุดของปัจจุบัน(T) และช่วงราคาสูงสุดต่ำสุดของเวลาก่อนหน้า(T-1) โดยถ้า DM เป็นบวก(+DM)แสดงว่า ราคาของปัจจุบันสูงขึ้นกว่าราคาของช่วงเวลาก่อนหน้า และถ้า DM เป็นลบ(-DM)แสดงว่า ราคาของปัจจุบันสูงขึ้นกว่าราคาของช่วงเวลาก่อน

Trading System Idea : Red Light Green Light System

เคยตั้งคำถามกับเพื่อนๆสมาชิกที่ติดตามเว็บของผม ว่าอยากให้นำเสนอเนื้อหาแนวไหนให้อ่านบ้าง พบว่าจำนวนไม่น้อยที่อยากอ่านเรื่อง Trading System โดยอยากให้นำไอเดียมาแนะนำ โดยส่วนตัวผมศึกษาและวิจัยระบบพวกนี้อยู่แล้ว เลยคิดว่า น่าจะนำไอเดียที่เจอ มาแบ่งปันให้เพื่อนๆลองไปศึกษาหรือทดสอบต่อได้ ดังนั้นวันนี้ของเอาระบบยอดนิยมหนึ่งที่น่าสนใจมาฝาก ระบบเทรดที่ว่านี้ชื่อ "Red Light Green Light System" พัฒนาโดยคุณ vincejg327 ผมนำมาจาก "Forex Trading Systems Hall of Fame" ของ babypips.com โดยเราสามารถเรียนรู้ algorithm trade จากพวกนี้ได้ เพราะในกลุ่ม forex เป็นสังคมที่มีเทรดเดอร์เก่งๆเยอะ และมีการวิจัยพัฒนาระบบเทรดอย่างจริงจัง เราสามารถเรียนรู้และนำมาศึกษาต่อ ปรับใช้กับการลงทุนในหุ้นหรืออนุพันธ์ได้ บนพื้นฐานของความเข้าใจ (ไม่ใช้การลอกมาใช้) "Red Light Green Light System" เป็นระบบประเภท Treand Following บน Timeframe 15 นาที โดยคุณ ทำการทดสอบกับข้อมูล EUR/USD เป็นเวลา 6 เดือน ใช้เครื่องมือทางเทคนิคคือ EMA9, ADX14(level 20), ATR14 ซึ่งมีตรรกะในการเทรดดังนี้ Entry Rules

Risk Reward Ratio

คำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” เป็นคำที่ผมเชื่อว่านักลงทุนทั่วไปคุ้นหู และมักจะได้รับข้อความนี้จากการชี้ชวนการลงทุนต่างๆ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น มักละเลย เพราะมันจับต้องไม่ได้หรือมองไม่ค่อยเห็นความเสี่ยงก่อนการลงทุนจริงๆ บวกกับคำพูดทัศนคติแปลกๆที่ฝังหัวว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ไม่ขาดทุนก็ไม่เสี่ยง  มันจึงทำให้เกิดการประมาทหรือละเลยในความเสี่ยงที่จะเกิดนั้น และไดรฟ์การลงทุนด้วยกำไรที่ตนเองอยากจะได้เพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงรวมในหุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ(Systematic risk) และ ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ(Unsystematic Risk) โดยความเสี่ยงเป็นระบบ เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกตัวหุ้น ได้แก่ความผันผวนของตลาด ความผันผวนของกลุ่มอุตสาหกรรม ความผันผวนของกระแสเงินต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงตัวนี้ แสดงออกชัดเจนและมีความต่อเนื่องในรูปแบบของกราฟ มีลักษณะเป็นแนวโน้มและมีทิศทางที่ชัดเจน และเกิดในลักษณะเดียวกันกับหุ้นอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน  ความเสี่ยงไม่เป็นระบบ เป็นความเสี่ยงที่เกิดเฉพาะกับตัวธุรกิจ หรือเกิดเฉพาะกับหุ้นนั้นๆ เช่นไฟไหม้โรงงาน, ผลประกอบการขา

ควาสำเร็จในชีวิต ชัยชนะเล็กๆใกล้ตัวเรา

ปัจจุบันเรามักค่าคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจาก ตำแหน่งหน้าที่ ชื่อเสียง ทรัพย์สิน เงินทอง รถที่ขับ บ้านที่อยู่อาศัย ซึ่งใครมีมาก ยิ่งประสบความสำเร็จ ทำให้ต่างคนต่างพยายามไขว้ขว้าหามันมา ในทุกวิถีทาง จนบ่อยครั้งก็หลงผิด อยากรวยเร็วอยากได้เร็วๆ ยอมทุจริต ทำผิดกฏหมาย หรือบางครั้งก็ยอมแลกการครอบครองวัตถุ กับหน้าตา บารมี เพื่อให้ได้การยอมรับจากคนรอบข้าง แต่ข้างในจิตใจกับไม่มีความสุข ไม่มีความสงบที่แท้จริง ถ้าเราเป็นคนธรรมดาสามัญ เป็นชนชั้นกลาง เป็นมนุษย์เงินเดือน ที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับนามสกุลใหญ่โต หรือมีมรดกมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย โอกาสที่เราจะพบความสำเร็จในนิยามแบบนั้นถือว่าเป็นไปได้ยาก บางคนถึงท้อถอดใจ ยอมรับโชคชะตา ใช้ชีวิตไปวันๆแบบไม่มีเป้าหมาย บางคนก็สุดโต่งเสพวัตถุนิยมเพื่อมาเติมเต็มช่องว่างในจิตใจ แต่แท้จริงแล้วกับเผชิญกับความทุกข์จากการใช้จ่ายที่เกินตัว ผมเชื่อว่าจริงๆแล้วไม่ว่าจะเป็นคนจน เป็นคนธรรมดาสามัญแบบชนชั้นกลาง ก็สามารถประสบความสำเร็จได้ทั้งนั้น เพียงแต่การตั้งเป้าหมายของความสำเร็จ อาจจะไม่ต้องไปยึดติดกับวัตถุ แต่ควรมุ่งเน้นที่ใจความสำคัญ ของการประสบความสำเร็จ นั้นคือ กา

SET@18-06-2012

บันทึกสภาวะตลาดหุ้น รวบรวมข้อมูลกราฟดัชนี ปริมาณการซื้อขายประจำวันที่ 18-06-2012 เช้าเปิดตลาดหุ้นไทย ทะยานบวก 13 จุดทะลุแนวต้าน 1180 รับผลการเลือกตั้งของกรีซ ที่พรรค ND ฝ่ายรัฐบาลเก่า ชนะการเลือกตั้ง สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม ปิดครึ่งเช้าบวกได้ 9 จุด ครึ่งบ่ายหนังคนละม้วน แรงขายถล่มขยมหุ้นใหญ่ปิดลบ 2.32 จุดที่ 1163.41  กราฟ 30 นาทีแสดงการย่อตัวลงแบบมีนัยยปิด GAP ถึง 2 ช่องที่เคยสร้างเอาไว้โดยดัชนีหลุดแนว 1176 ร่วงลงต่อเนื่องปิด GAP แรกและหลุดแนว 1168 หลุดเส้น EMA20 ด้วยแท่งเทียนแดงยาว พร้อมแรงขายต่อเนื่อง ลงไปปิด GAP สองที่ 1161 ทดสอบแนว 1160 แล้วก่อนเด้งกลับมาปิดที่ 1163.41  กราฟรายวัน Day เกิดแท่งแดงยกตัว แต่แนวโน้มและความชันยังไม่เสีย ดัชนีทดสอบแนวต้าน 1180 เป็นครั้งแรกในรอบหลายสัปดาห์ ยืนไม่อยู่แต่ยังปิดเหนือเส้นแนวรับ 1156 ได้  โดยค่า MACD ระยะ 30 นาที ปิดใน Zone ลบ(MACD < 0) ความชันของปริมาณซื้อขายต่ำ บ่งบอกการชะลอตัวของแรงซื้อ กระแสเงินยังไม่กลับเข้าซื้อหุ้น กราฟการซื้อสะสมของต่างชาติยังเป็นลบ วันนี้ฝรั่งต่างชาติขายสุทธิ -875.46 ลบ.

เทรดหุ้นอย่างไรให้หลับสบายไร้กังวล

เมื่อเช้าผมได้คุยกับเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง บอกว่าช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของยุโรป ยิ่งเมื่อคืนรอลุ้นผลเลือกตั้งกรีซยังตีสาม จบลงด้วยดี แต่พอล้มตัวลงนอนก็นอนไม่หลับพลิกซ้าย พลิกขวา กังวลว่าตลาดหุ้นจะบวกหรือลบ หุ้นในพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุน จิตใจไม่สงบกระทบกับการดำเนินชีวิต ดูเหมือนอาการแบบนี้มือใหม่จะเคยสัมผัสมาไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะยิ่งถ้ากำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนจนจิตตก หรือความไม่แน่นอนในการทำกำไร คนที่เล่นหุ้นเก็งกำไร ไม่มีหรอกครับที่วันไหนจะไม่คิดถึงหุ้น ทั้งหุ้นในพอร์ตที่ตัวเองถือ หุ้นตัวต่างๆที่คิดว่าจะมา คิดว่าจะต้องซื้อ หรือแม้แต่หุ้นที่ขายหมู หรือขายขาดทุนไปแล้ว เมื่อเราเล่นหุ้น จิตของเราได้ผูกติดกับหุ้นไปแล้ว จะดีหรือร้ายเราก็ต้องอยู่กับมัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เราต้องควบคุมจิตให้อยู่ อย่าปล่อยให้ความกังวล ความโลภ ความกลัว หรืออารมณ์ที่เกิดจากการเล่นหุ้น เข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรา หรือเข้ามามีบทบาทกับการตัดสินใจของเรา ถ้าเกิดคิดถึงหุ้นตลอดเวลาทั้งเวลา กิน เวลานอน เวลาเดิน เวลาขับรถ เวลาอาบน้ำ แบบนี้มีปัญหาแล้ว เพราะจิตเราจะไม่ว่าง ไม่สงบ ปัญญาที่แ

ความสำคัญของการบริหารจัดการเงิน

มีคำกล่าวของนักปราชญ์จีนท่านหนึ่งว่า ปัญหาทุกอย่างจะไม่เกิด ถ้าหากมีการบริหารจัดการ แต่ถ้ามองรอบๆตัวเราจะพบว่า เรากำลังรอให้ปัญหาเกิด และหาทางแก้ปัญหา แบบเฉพาะหน้าทีละปัญหา ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ การแก้ปัญหาหนึ่งกับไปสร้างปมปัญหาที่สอง ที่สามตามมา อีกไม่รู้จบ ถ้านึกไม่ออกลองมองปัญหาต่างๆในสังคม หรือจะเอาเรื่องน้ำท่วม มาเป็นกรณีศึกษาก็ได้ครับ จะพบเลยว่า ปัญหามันไม่ได้ถูกขจัดออกไป หรือถูกจัดการโดยแท้จริง แต่กับเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อให้รอดพ้นวิกฤตไปเท่านั้น นักปราชญ์หรือคนที่มีปัญญา เขาจะให้ความสำคัญต่อการบริหารจัดการมากกว่า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผมเอาเรื่องนี้มาพูดเพราะในโลกของการลงทุน เรามีโอกาสจะพบปัญหาต่างๆมากมาย สารพัด แต่ปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราล้มเหลว นั้นคือ ความเสี่ยง ดังนั้นการบริหารจัดการเงินทุน นั้นก็คือ เครื่องมือสำคัญในการลดความเสี่ยง หรือจำกัดวงของความเสี่ยง ให้เบาบางลง (แน่นอนว่าคงไม่สามารถทำให้หมดไปได้)  ผมเองพบว่านักลงทุนในหุ้น ส่วนใหญ่มักชอบและเพลิดเพลินต่อกำไร สนุกกับการได้เงิน จนมุ่งไปหาแต่หนทางทำกำไรสูงสุด จากนั้นก็นำผลที่ได้มาอวดกัน ได้ค่ากับข้าวเท่านั้นเท่านี้

SET@14-06-2012

บันทึกสภาวะตลาดหุ้น รวบรวมข้อมูลกราฟดัชนี ปริมาณการซื้อขายประจำวันที่ 14-06-2012 วันนี้ตลาดปิดที่ 1153.01 -5.21 จุด บรรยากาศเช้าซึมๆ ค่อนข้างเงียบเหงาแต่ก็ยกตัวขึ้นมาได้ พอเปิดช่วงบ่ายตลาดเริ่มคึกคักแรงด้วยขาย มีการเทขายหุ้นใหญ่ต่อเนื่องตั้งแต่บ่ายสามโมงจนปิดตลาด กราฟ 30 นาทีภาพกรอบเล็กระหว่างวันเป็นแรงขายส่วนใหญ่ แนวโน้มระยะสั้นอ่อนตัวทิศทางลง จนดัชนีปิดทะลุเส้นค่าเฉลี่ย EMA20 แต่ยังไม่ทะลุแนวรับเดิมจุดต่ำสุดก่อนหน้าที่ 1152 กราฟ Day เกิด 2 แท่งเทียนแดง บ่งบอกการชะลอตัว โดยเฉพาะวันนี้แท่งเทียนมีไส้เทียนยาวด้านบน ปิดลบ ดัชนีปิดต่ำกว่าเส้นแนวต้าน 1156 ทำให้ดัชนีเข้ามาอยู่ในกรอบ 1156 - 1099 อีกรอบ ซึ่งเป็นกรอบ sideway เดิม MACD ยังอยู่ใน Zone ต่ำกว่าศูนย์บ่งบอกกำลังการยกตัวยังไม่มากพอ แต่ดัชนีปิดยังยืนเหนือเส้น EMA15 อยู่ได้ ลุ้นแนวรับย่อยที่ 1143 ถ้าหลุดโอกาสร่วงไปปิด GAP ล่างมีสูง ส่วนแนวต้านคือ 1156 กระแสเงินยังไหลออก ฝรั่งต่างชาติขายสุทธิ -1463.4 กราฟสะสมยังขายต่อเนื่อง

SET@12-06-2012

บันทึกสภาวะตลาดหุ้น รวบรวมข้อมูลกราฟดัชนี ปริมาณการซื้อขายประจำวันที่ 12-06-2012 วันนี้ตลาด 1162.93 +4.86 จุด ช่วงเช้าตลาดเปิดลบไปถึง 10 จุดตามตลาดอเมริกาและเอเซีย แต่ช่วงบ่ายค่อยๆไล่เด้งกลับขึ้นมาได้เรื่อยๆ และวิ่งแรงช่วงท้ายตลาดชั่วโมงสุดท้ายก่อนปิด กราฟ Day ภาพรวมยังดูดีราคาปิดทะลุแนวต้าน 1153 ทะลุยอด high ก่อนหน้าได้ ยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA15 เริ่มมีทิศทางความชันเป็นบวก แต่กำลังขับยังไม่ค่อยมีมาก กราฟ MACD ความชันเป็นบวก แต่ยังอยู่ใน Zone ต่ำกว่า 0 ระยะ Day ยังไม่เป็นแนวโน้มขาขึ้นที่ชัดเจนนัก ประกอบกับด้านล่างมี GAP ที่เปิดข้าม zone เส้นค่าเฉลี่ยมา ทำให้แนวโน้มทิศทางนี้ยัง weak อยู่ บวกกับถ้าดูกราฟ 60 นาที จะพบทิศทางของ MACD มันอ่อนตัวลง แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ลุ้น SET ขึ้นทดสอบปิด GAP บนแถว 1167  ฝรั่งยังคงขายต่อเนื่องจากเมื่อวานอีก 1286.09 ลบ เช่นเดียวกันคือ สถาบันและบล. ยังคงซื้อสุทธิ ช่วยพยุงตลาดไว้ แนวโน้มกระแสเงินต่างชาิติยังไหลออกต่อเนื่อง แม้ดัชนียังบวกขึ้น

VAD (Variable_Accumulation_Distribution)

Variable Accumulation Distribution เป็นเครื่องมือประเภทสมการคณิตศาสตร์เชิงสถิติอีกตัวที่เป็นที่นิยมในการใช้วิเคราะห์การกระจายและการสะสมของปริมาณซื้อขาย โดยสามารถช่วยให้เรามองเห็นภาพของการสะสมและการะบายของหุ้น เพื่อช่วยยืนยันการเกิดแนวโน้มทิศทางต่างๆได้ VAD เป็นการนำเอาทั้งปริมาณซื้อขาย มาคำนวณร่วมกับราคาเปิดปิด สูงสุดต่ำสุด(OCHL)ในช่วงเวลานั้นๆ เพื่อให้ได้สัญญาณในลักษณะ OSCILLATOR เพื่อใช้ในการดูจังหวะการเปลี่ยนแปลงปริมาณซื้อขายเทียบกับราคา VAD เป็นดัชนีค่าเฉลี่ยที่ใช้ในการแกว่งตัวแบบ  OSCILLATOR  ของ Volume อีกอันที่มีการนำราคาปิด ราคาเปิดมาใช้ในการคำนวณ ณ ช่วงเวลานั้นมีเป็นตัวนิยามระยะสะสมและระยะกระจายหุ้น แนวคิดระยะสะสม VAD มากกว่า 0 เนื่องจากราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ถ้า VAD น้อยกว่า 0 ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด สมการการคำนวณ   VAD = MA([( Close  -  Open ) /( High   -  Low )] * Volume) การตีความหมาย 1. กรณี VAD มากกว่า 0 เกิดสัญญาณซื้อสะสมหุ้น 2. กรณี VAD น้อยกว่า 0 บอกถึงสัญญาณการกระจายหุ้น  3. พิจารณาแนวโน้มของ VAD โดยดูจากกราฟ VAD กรณีใช้เพื่อสร้างการยืนยันทิศทางราคา VAD มีทิศทางเดียวก

ทฤษฏีตาอยู่ กินพุงปลา

สมัยเด็กๆหลายท่านคงเคยได้ยินเรื่องราวของตาอิน ตานาและตาอยู่กันมาบ้าง ทั้งในแบบเรียนระดับประถม และจากเพลงฮิตติดหูสมัยก่อนอย่างเพลง"ตาอยู่"(ตาอยู่แว่นดำ) ของพี่ป้อม พี่โต๊ะ อัสนี-วสันต์ โชติกุล ก่อนอื่นสำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่เกิดไม่ทันยุคนั้น ผมขอยกเรื่องราวแบบฉบับย่อของนิทานตาอินกับตานาและตาอยู่ นิทานคลาสสิก ที่มีในแบบเรียนหนังสือไทยของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ รศ 108 เรื่องเล่าคติสอนใจแต่อดีตมาเล่าให้ฟังกันก่อน เรื่องราวของตาอินกับตานา สองเพื่อนซี่ที่ออกหาปลาในหมู่บ้านมาด้วยกันตั้งแต่หนุ่ม จนวันหนึ่งปลาเหลือน้อย ตาอินกับตานาจึง ตัดสินใจแยกทางกันหาปลา โดยตาอินไปทางเหนือ ตานาไปทางใต้ ตกเย็นกลับมาตาอินไม่ได้ปลาเลยสักตัว ส่วนตานาได้ปลาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว ด้วยความเป็นเพื่อนตานา แบ่งปลาให้ตาอยู่ครึ่งหนึ่ง ตานาจะเอาข้างหัว ให้ข้างหางกับตาอิน แต่ตาอินไม่ยอม อยากได้ส่วนหัว ส่วนตานาก็โกรธบอกว่าตนเป็นคนหามาได้ ต้องได้ส่วนหัว เกิดการถกเถียงกันใหญ่โต จนต้องหาคนกลาง ระหว่างนั้นตาอยู่กับจากในเมืองเดินผ่านมา หอบกระดาษปึกใหญ่จะเอาไปทำว่าวจุฬาขาย ตาอินเห็นว่าตาอยู่แต่ตัวดี ถือกระดาษปึกใหญ่เลยค

"สมาธิ" วิธีการฝึกจิตสำหรับนักลงทุน

เคยมีนักลงทุนคนหนึ่ง เจอผมในงานสัมนา ด้วยความที่จำชื่อได้ เลยเข้ามาทักทาย ระหว่างการสนทนามีคำถามหนึ่งที่เขาได้ถามขึ้นมาว่า "คุณคิดว่าคุณเล่นหุ้นเก่งหรือเปล่า" ผมตอบได้ไม่ยากเลยว่ายังไม่เก่งครับ เพราะคำว่า “เก่ง” นั้นแต่ละคนจะตีความต่างกันออกไปขึ้นกับการเปรียบเทียบ หรือจุดอ้างอิงในทรรศนคติของแต่ละบุคคล ผมเองไม่ใช่คนเก่งแต่ผมเป็นคนขยันมาก ผมชอบอ่านหนังสือและทำให้เมื่อมาสนใจเรื่องหุ้น เลยได้มีโอกาสอ่านหนังสือและตำราต่างประเทศทั้งแบบเล่มและแบบ pdf ที่หาอ่านได้ฟรีเยอะพอสมควร ทำให้พอจะรู้อะไรเยอะเกี่ยวกับระบบเทรดและการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิค จึงนำมาแบ่งปันกัน  แต่เรื่องหนึ่งที่ผมยังคิดว่าตัวเองยังต้องพัฒนาอีกมากคือเรื่องของการฝึกจิตใจ และการบริหารอารมณ์ไม่ให้มันเข้ามามีผลต่อการเล่นหุ้น เพราะบ่อยครั้งผมเองก็ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองให้นิ่งได้ 100% ยังมีกิเลสที่มากวนใจทำให้เราออกนอกทางไปบ้าง แต่แน่นอนว่าขอบเขตยังชัดเจนคือยังไม่ทำให้ขาดทุนหรือเสี่ยงเกินตัว ดังนั้นถ้าจะเก่งได้จริงในมุมมองผม เราต้องฝึกหัดเรื่องของ “จิตใจ” มากๆ เรื่องนี้เราหลอกลวงหรือสร้างภาพไม่ได้ เพราะตัวเราย่อมรู้ตัวเร

การตัดขาดทุน (Cut loss)

ช่วงนี้ถ้าใครติดตามข่าวเศรษฐกิจ คงชวนให้กังวลและวิตกไม่น้อยเพราะเรื่องของ วิกฤติหนี้ยุโรป ที่กรีซก็ใกล้จะมาถึงจุดจบ และพบสัญยาณชัดเจนในการลามไปถึงสเปนและอิตาลี บวกกับแต่ละประเทศยังมีปัญหาการเมืองภายในที่เริ่มไม่สเถียร เพราะประชาชนต่างไม่ยินดีกับมาตรการรัดเข็มขัดอันแสนโหดของภาครัฐ เมื่อวิกฤติการเงินโลกกำลังจะประทุ แน่นอนว่ามันย่อมมีผลต่อการเคลื่อนไหวของกระแสเงิน(Fund flow) โลกที่ตลาดหุ้นมักจะกลายเป็นของร้อน ที่มีโอกาสเสี่ยงสูง กระแสเงินมักจะวิ่งไปหาสินทรัพย์ที่มั่นคงกว่าเช่น พันธ์บัตร ทองคำ ตลาดหุ้นทั่วโลกย่อมได้รับ ผลกระทบและมีแนวโน้มลดลงไปตามๆกัน สำหรับนักเก็งกำไร ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการขาดทุน แล้วไม่จำกัดการขาดทุนปล่อยให้เงินทุน ค่อยหายไปหรือเน่าเสียไป หลายคนอาจจะเถียงว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะหุ้นไม่ขายไม่ขาดทุน วลีที่ใช้หลอกแมงเม่าหน้าใหม่ ผมเองไม่เคยเชื่อในคำนี้ เพราะว่าการไม่ขายหุ้น นั้นไม่ได้แปลว่าไม่ขาดทุน แท้จริงแล้วคุณขาดทุนทางโอกาส มีค่าเสียโอกาสของเงิน แทนที่จะนำไปลงทุนในครั้งใหม่ให้ได้กำไรเพิ่ม ถ้าคุณคิดว่าหุ้นดีไม่ขายไม่ขาดทุน อาจจะลองไปคุยกับคนที่มี PTT ตอนปี 2007 ที่ราคา