ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Lie to Me ว่าด้วยการโกหก

ถ้ามีเวลาว่างจากการทำงาน เมื่อไม่ได้อ่านหนังสือ หรือมีกิจกรรมอื่นๆ ก็มักจะหาหนังอะไรสนุกๆ วันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ดูซีรีย์ฝรั่งเรื่อง Lie to Me จบไปทั่งสามภาค กว่าจะจบผมจะดูจบก็ใช้เวลาเป็นเดือนเหมือนกัน เรื่องนี้ค่อนข้างประทับใจเพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่สนุก ดูไปดูมามันส์แหะ โดยเฉพาะบุคลิกลักษณะ ท่าทางกวนตีน บวกกับสำเนียงอเมริกันปนอังกฤษของพระเอก Dr. Cal Lightman ที่ชอบกระตุ้นให้คนที่เขาต้องการประเมิน แสดงอารมณ์ร่วมแท้จริงออกมา ทั้งโกรธ โมโห เครียด หนังเรื่อง Lie to Me ที่ผมพูดถึงเป็นซีรีย์ฝรั่ง(ไม่ใช่หนังรักเกาหลีนะ) ซึ่งเกี่ยวกับ การจับโกหก ในการสืบสวนสอบสวนคนร้าย โดยมี Dr. Cal Lightman เป็นผู้เชื่ยวชาญด้านการจับโกหก แบบเป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์หน้าตา ท่าทาง แบบทีเรียกว่า " microexpressions" เพื่อวิเคราะห์ไปถึงจิตใจ และความคิดของคนคนนั้น ประมาณว่าแค่ดูการตอบสนองจากหน้าและท่าทาง ที่มีต่อคำถามก็รู้แล้วโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา โดย  Dr. Cal Lightman นั้นไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่เขามีเพื้่อนร่วมงานและทีมงานที่สนับสนุนการวิเคราะห์ ทั้งจิตแพทย์ นักวิเคราะห์เสียง และนักวิ

วิกฤติการเงินโลกกับตลาดหุ้นไทย # 2

วิกฤติการเงินโลก ตอนที่สองนี้ จะเป็นเรื่องราวในช่วงหลังยุค 1990 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่โลกมีความสงบ ปราศจากสงครามเป็นยุคของการแข่งขันทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และคอมพิวเตอร์ ทำให้การสื่อสาร การติดต่อระหว่างประเทศนั้นรวดเร็วและง่ายขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี แน่นอนว่าก็เป็นยุคที่มีวิกฤติการเงินโลกมากมาย และมีวัฏจักรการเกิดที่ถี่มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าสหรัฐอเมริกา 7. The Japanese asset price bubble (1986-1990) เป็นวิกฤติการเงินแรกที่รุนแรงและเกิดในทวีปเอเซีย โดยขณะนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง มีตัวเลขเศรษฐกิจ ดีโดยเฉพาะการส่งออก ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิค เป็นอันดับต้นๆของโลกในขณะนั้น มีการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกา ตลอดจนการผลิตสินค้าอื่นๆ  หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ต้องใช้จ่ายเงินด้านการสะสมอาวุธและการป้องกันประเทศ เพราะถูกสหรัฐควบคุม ทำให้มีงบประมาณเหลือในการพัฒนาประเทศ พัฒนาคนและเทคโนโลยี ประกอบกับประชาชนหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนต่างประหยัด สะสมเงินในธนาคาร เพื่อเก็บไว

วิกฤติการเงินโลกกับตลาดหุ้นไทย # 1

จับเอาประเด็นนี้มาเขียนลงรายละเอียด เพราะว่าช่วงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนมักจะใจจดใจจ่อกับเรื่องวิกฤติหนี้ของ EU โดยเฉพาะประเด็นของกรีซที่กำลังลูกผีลูกคน คำถามส่วนใหญ่คือ ถ้ามันเกิดวิกฤติจริงๆจะทำยังไง??? ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่หรือเป็นแมงเม่าหัดบิน ที่เพิ่งเข้าตลาดมาช่วงซูเปอร์บูมหลังปี 2009 กลุ่มนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นช่วงผ่านวิกฤติการเงินโลก ทำให้มีโอกาสจะบาดเจ็บล้มตายสูง หลังวิกฤติการเงินซับไพร์มปี 2008 ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET)  ร่วงลงไปจุดต่ำสุดที่ 384 จุด จากจุดสูงสุดก่อนเกิดวิกฤติที่ 916 จุด เมื่อวิกฤติผ่านพ้นดัชนีก็ฟื้นต้ว บวกกับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้า และนโยบาย QE1 และ QE2 ปัจจัยที่พาให้ตลาดหุ้นทะยานที่ 1200 จุด จนกลายมาเป็นที่นิยม เป็นสรวงสวรรค์ของคนที่อยากรวย หลายคนซื้อหุ้นถือไว้ ก็กำไรมหาศาล หลายร้อยเปอร์เซ็นต์ บ้างก็รับสมอ้างกลายเซียนหุ้น เป็นกูรู ผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนไปก็มี ตลาดหุ้นมันก็อยู่บนกฏของธรรมชาติ มีขึ้นมีลง มีเกิด และมีดับ เป็นวัฏจักร มันเป็นความไม่แน่นอนของกระแสเงินที่เขามาขับเคลื่อนตลาด จากปัจจัยต่างๆ วัฏจักรใหญ่ของการเคลื่อนไหวตลาดหุ้น

เซียนหุ้นในตำนาน: Jesse Livermore

ในโลกของนักเก็งกำไร หลายคนคงรู้จักจอร์จ โซรอส นักเก็งกำไรระดับตำนาน และอาจจะเป็นปีศาจในสายตาของใครหลายคน โดยเฉพาะกรณีวิกฤติการเงินปี 40 ที่นักการเมืองไทยเอาไปด่า สาดเสียเทเสียในสภา โทษปู้จอร์จ ราวกับเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด โดยไม่ได้บอกเล่าความจริงถึงความผิดพลาด ของภาครัฐให้ประชาชนรับรู้ ว่าต้นตอจริงๆของปัญญามันมาจากไหน และใครได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินบาทบ้าง แต่สำหรับนักลงทุนเก็งกำไร ถ้าศึกษาผลงานและศึกษาประวัติของ ปู่จอร์จ โซรอสดีๆ จะพบว่าเขาเป็นคนธรรมดาที่มาจาก ศูนย์ มีวิธีคิดและมีเทคนิคที่น่าสนใจหลายอย่าง รวมถึงบุคคลิก นิสัย ก็เป็นคนใจบุญ มีมูลนิธิ ช่วงเหลือสังคมและสนับสนุนประชาธิปไตยในประเทศโลกที่สาม เรียกว่ามีประโยชน์มีคุณค่าต่อโลกมาก กว่าพวกปากว่าตาขยิบหลายเท่า แต่แน่นอนว่านักเก็งกำไรระดับตำนาน ไม่ได้มีแค่จอร์จ โซรอส ยังมีคนเก่งๆอีกหลายคนที่มีวิธีคิดที่น่าสนใจ ผมจะทยอยสรุปนำมาเขียนให้เพื่อนๆได้อ่านกัน แต่วันนี้ของเริ่มจากคนโปรดผม Jesse Livermore เจ้าของฉายา Boy Plunger และ "Great Bear of Wall Street" Jesse Livermore อาจจะไม่ใช่นักลงทุนเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จม

มีเงินเท่าไหร่ถึงจะรวย???

นั่งกินกาแฟอยู่ที่ร้านกาแฟเจ้าประจำ ผมชอบนั่งโต๊ะติดกับกระจกหน้าร้าน ที่สามารถมองวิวจากภายนอก และมองเห็นคนใช้ชีวิตประจำวันบนถนน บางคนเดิน บางคนวิ่ง บางคนคุย บางคนทะเลาะ บางคนเดินไปโทรศัพท์ไป ดูแล้วก็เพลินไปอีกแบบ มันเหมือนกับการได้หยุดนิ่ง หยุดดูคนรอบๆตัวเราเคลื่อนไหว ในจังหวะชีวิตแบบคนเมือง จังหวะชีวิตที่เร่งรีบ เหมือนกับเราก่อนหน้าที่จะเข้ามานั่งกินกาแฟในร้าน เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมคนเราต้องรีบ?? ทำไมคนถึงต้องรีบกิน รีบเดิน รีบไปทำงาน รีบไปหมด ถ้ามองให้ลึกถึงภาพใหญ่ ผมว่าหลายคนรีบแม้กระทั่งการใช้ชีวิต รีบเรียนจบ รีบหางานทำ รีบให้ได้เลื่อนตำแหน่ง รีบแต่งงาน รีบมีลูก รีบซื้อบ้าน รีบซื้อรถ ทุกอย่างเรารีบไปหมด ราวกับว่าเวลา 24 ชั่วโมงมีไม่เคยพอ แต่ทุกวันนี้ พออายุมากขึ้น มันก็ทำให้ผมเริ่มมีคำตอบที่ชัดเจนว่า การเร่งรีบในการใช้ชีวิตนั้น เกิดจากความกลัว ความรู้สึกไม่มั่นคงในชีวิต อยากได้ อยากมี ในทุกสิ่งที่มาเติมเต็มช่องว่างทางอารมณ์ของจิตใจ เช่น อยากเลื่อนขั้นเพราะต้องการเงินเดือนเพิ่ม อยากได้เงินเดือนเพิ่มเพราะอยากมีคอนโด, อยากแต่งงานเพราะต้องการคนมาอยู่ด้วย, อยากมีรถเพราะจำเป็นต้องใ

เล่นหุ้นยังไงถึงรวย???

ทุกอาชีพล้วนมีความสำคัญ และมีบทบาท ความสำคัญในสังคมที่แตกต่างกันไป แม้ว่าแต่ละสาขาอาชีพจะได้รับการยอมรับ และได้ค่าตอบแทนหรือเงินเดือนที่ไม่เท่ากัน แต่ค่าความเป็นคน หรือ การเคารพในสิทธิพื้นฐานก็ควรจะเท่าเทียม ยกตัวอย่างเช่นในกรุงเทพ ถ้าปราศจากคนกวาดถนน เมืองนี้ก็คงไม่น่าอยู่เพราะเต็มไปด้วยขยะ ตึกสวยๆ คอนโดหรูๆก็ไม่อาจจะสร้างเสร็จถ้าปราศจากแรงงานกรรมกรจากต่างจังหวัด นำประเด็นนี้มาพูดเพราะผมมีโอกาสพบปะกับเรื่องราวเรื่องหนึ่งที่สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในสังคม ฉากนี้เกิดขึ้นในลานจอดรถอาคารแห่งหนึ่ง เมื่อชายวัยกลางคนใส่สูตผูกไทด์หรู ขับรถราคาหลายสิบล้าน ตะโกนด่ารปภ. ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ราวกับว่าเขาไม่ใช่คน เพียงเพราะ รปภ.คนนี้เลือนรถที่มาจอดขวางทางออกไม่ทันใจ จริงๆแล้วผมว่าคนเหล่านี้ถึงแม้จะเงินเดือนน้อย การศึกษาต่ำ แต่ด้วยภาระงานและหน้าที่ ที่เขาทำ มันก็ทำให้อำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยได้ไม่น้อย ผมยังจำหน้าลุงที่คอยยิ้มแย้มทักทายคนที่เข้ามาติดต่องานหรือใช้บริการในอาคารนั้นได้เสมอ ทุกอาชีพล้วนมีความสำคัญแต่การทำอาชีพที่ได้รับการยอมรับน้อยหรือต่ำต้อยไม่ได้แปลว่าคุณค่าในตัวบุคคลจะลดลงไป บ

กล้าที่จะแตกต่างแต่ต้องไม่แตกแยก

อ่านข่าวสะเทือนขวัญ คุณ เจมส์ โฮล์มส์ โจ๊กเกอร์ในชีวิตจริง ที่เปิดฉากกราดยิงในโรงหนัง เมืองออโรร่า สหรัฐอเมริกา ในช่วงกำลังฉายภาพยนต์ปฐมทัศน์ "BATMAN Dark Knight Rises" จนทำให้มีคนถูกยิง 71 คน รวมทั้งผู้เสียชีวิต 12 คน อีก 59 บาดเจ็บ ด้วยการวางแผนมาอย่างดีทำให้เกิดความเสียหายจำนวนมาก เพราะคุณ เจมส์ โฮล์มส์ เล่นใส่เสื้อเกราะ สวมหน้ากากกันเแก๊ส ก่อนโยนระเบิดควันจำนวน 2 ลูกเข้าไปในโรงหนัง เมื่อผู้คนแตกตื่นพากันลุกหนี พี่แกก็กราดยิงไม่เลือก ไปทั่ว โดยใช้ ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติของเขาที่บรรจุกระสุนได้ 100 นัด แต่ยิงไปได้ 60 นัดเกิดติด เลยใช้ปินสั้นยิงต่อ แถมยังวางระเบิดล่อเจ้าหน้าที่ไว้ที่ห้องพักอีกดอกหนึ่ง ดูจากประวัติ คุณ เจมส์ โฮล์มส์ ไม่ใช่อาชญากร ที่มีประวัตินอกกฎหมาย เป็นคนปกติ เป็นคนเก่งที่เรียนได้เกรด A มาตลอดและจบเกียรตินิยมในระดับปริญญาตรี และได้ทุนเรียนต่อจนถึงปริญญาเอก สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ สาขาที่มีคนแย่งทุนเรียนมากที่สุด สาขาหนึ่งในอเมริกา แน่นอนว่ายังไม่มีใครทราบสาเหตุของการก่อโศกนาถกรรมสังหารหมู่ครั้งนี้ ปรากฎการณ์ที่ตามมา ชาวอเมริกันจำนวนมากต่างตระหนักถึง ความรุนแร

Short against port(SAP)

อาทิตย์นี้ประเด็นเรื่องความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตการเงินยุโรป เริ่มกลับมากดดันตลาดหุ้นรอบโลกอีกครั้ง คราวนี้ประเด็นหลักไปอยู่สเปน ท่ามกลางความหวาดกลัวว่าสเปน จะเจอปัญหาแบบเดียวกับกรีซ เมื่อตัวเลขบ่งชี้ทางเศรษฐกิจหลายตัว ที่ออกมาค่อนข้างหน้าเป็นห่วง บวกกับประเด็นที่หน่วยงานที่ดูแลตลาดหุ้นของสเปนและอิตาลี ต่างออกมาห้ามการทำธุรกรรม Short Selling ในตลาดหลักทรัพย์ทั้งสองประเทศ บ่งชี้ถึง ผลกระทบของวิกฤตหนี้ที่มีผลต่อตลาดหุ้นในยุโรป แน่นอนว่าหากเกิดวิกฤติการเงินจริงอาจจะไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจในประเทศไทยมากนัก นอกจากกลุ่มที่ส่งออก แต่ประเด็นหนึ่งที่ต้องยอมรับก็คือ ระบบเงินทั่วโลกถึงกัน เมื่อประเทศในยุโรปมีปัญหา กองทุนของประเทศโซน EU และประเทศเจ้าหนี้ ย่อมต้องการดึงเงินลงทุนกลับ เพื่อมารักษาสเถียรภาพทางการเงิน หรือเสริมสภาพคล่องของตนเอง ดังนั้น จึงส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก โดยเฉพาะในโซนเอเซีย และกลุ่มประเทศ TIPS ที่เงินทุนไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมากในรอบสองปีนี้ ประเด็นนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับตอนวิกฤติการเงินซับไพรมสหรัฐ ที่ตอนแรก ทั้งเซียนและนักวิเคราะห์ หลายคนเก็งผิด คิดว่าไม่กระทบต่อประเทศไทย เ

อย่าซื้อหุ้นตามแฟชั่น

วันนี้ผมเพิ่งจะมีโอกาสได้ลองกินไอติมแท่งจากร้านสะดวกซื้อที่แพงที่สุด ในชีวิต ไม่ได้ตั้งใจจะกินแต่ด้วยความที่สมัครพรรคพวกที่ไปกินอาหารกลางวันด้วยต่างเชียร์ให้ลอง ไอติมแท่งละ 40 บาท ยอมรับว่าปล่อยใจไปตามกระแสนิดนึง ลองดูว่ามันจะสมราคาคุยหรือเปล่า หลังจากกินหมดแท่งพบว่า ด้วยความที่ไม่หล่อ ไม่คูลแบบดารา ไอติมแท่งนี้จึงไม่ค่อยเหมาะกับผม กลับไปกินไอติมเผือกกระทิแบบเดิมจะดีกว่า แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับเลยว่าการที่ไอติมแท่งยี่ห้อนี้จึงประสบความเร็จนั้นมาจาก การตลาดล้วนๆ แน่นอนว่า การใช้สื่อใช้ พรีเซ็นเตอร์ ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นยอดขาย  การสร้างความอยากรู้อยากลอง ให้กับสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโซเซียลเน็ตเวิร์ค เมื่อเป็นที่สนใจ เป็นประเด็นที่มีการพูดถึง เลย ทำให้คนอยากลอง แม้ว่าราคาจะจัดว่าสูง  การตลาดแบบนี้ เป็นเรื่องปกติ และถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุวัตถุประสงค์ อยู่เป็นประจำ ท้งในด้านการขายสินค้า และไม่เว้นแม้แต่โลกการลงทุน หุ้นหลายตัว ก็ถูกสร้างจังหวะ และมีการใช้เทคนิคการตลาด ทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อให้เป็นที่สนใจของนักลงทุน ทั้งในรูปแบบการพูดถึง โดยตรงและแบบทางอ้อม