ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

How to setup MT4 on Linux

คุณ K'aen Classic ถามไว้ ว่าจะใช้ MT4 บน Linux หรือ Mac ยังไง คิดว่ามีประโยขน์และหลายคนคงอยากรู้เลยมาเขียนบทความให้  ส่วนตัวผมใช้ Ubuntu นะ กับ Mt4 ไม่มีปัญหา การใช้งาน ผมใช้ผ่าน WINE เป็นตัว app ที่รัน eviroment ของ Microsoft Windows systems อยู่แล้ว ง่ายๆเลย คือ ติดตั้ง WINE ลงไปก่อน ล่าสุดคือ 1.7 จากนั้นก็ ติดตั้ง Meta trader4 หรือ Meta trader5 ลงไป  1. ใช้ APT Add ตัว  WineHQ PPA repository เพื่อเตรียมโหลดมาติดตั้ง  sudo add-apt-repository ppa:ubuntu-wine/ppa 2 . เรียก update sudo apt-get update 3. จากนั้นติดตั้ง WINE ผมใช้ 1.6  sudo apt-get install wine1.6 4. ติดตั้ง MT4 ก็โหลดไฟล์ mt4.exe ปกติมา ลงใน directory แล้ว รันผ่าน WINE  ** Tip อันนี้ผม set up บน vps server(Linux server) ผมใช้ Copy Floder ไปเลย ลงใน WINE ไดเรกทอรี่ ปกติของผมก็ประมาณ Home\.wine\win_c\Program Files\MetaTrader 4   เวลาใช้ก็ รัน  terminal.exe ปกติ ง่ายๆแค่นี้เองครับ ลองทำดูได้  อ้างอิงจาก http://www.wikihow.com/Install-

Anti Grid(2)

จากประเด็นสองขั่ว ของฝั่งนักพัฒนาที่เถียงกันเรื่องของ Grid และระบบแบบ Anti Grid  เขาถกประเด็นนีัมาก โดยเฉพาะเรื่อง Quadratic กับ linear growing profits นี้สองสายคุยกันไม่รู้จบ กินกันไม่ลง   ส่วนตัวผ่านอ่าน เสพทั้งสองฝั่งแบบไม่มีอคติ เพราะพอร์ตที่บริหาร ปัจจุบันก็พัฒนาโมเดลระบบเทรด แบบทั้งสองอย่าง และพบทั้งข้อดีและข้อเสีย ผมเลยมองว่า ทำไมไม่ลองหาตรงกลาง ลองออกแบบระบบ จับ Grid(Volatility grid / non martingale) มารวมกับ anti grid  ถามรวมกันยังไง ก็รวมแบบ closure system คือ ทำ loop ปิดเพื่อบริหารพอร์ตไปเลย เรากำหนดค่า Risk level เอาไว้เพื่อบริหาร Equity ผมใช้ +(USDJPY)+EURUSD-EURJPY ให้เกิด Balance ใน USD JPY และ EUR [ทดลองหน้าเดียว] จากนั้นจัดกอง 2 กอง  กองแรกเป็น Grid ปกติ [USDJPY,EURUSD]  และอีกกองเป็น Anti grid คือ EURJPY ตามธรรมเนียมของ  closure system คือเราจะสมานฉันไม่ให้มันเกิด การลดลงของ equity เยอะ ต้องคิดค่าคุณสมบัติ คือ volatility และ Correlation ไว้ก่อน พอ check ค่าได้ก็พยายามเอาไว้ track เพื่อบริหารการสะสม Order ของพอร์ต 2  กอง ผลก

คุณภาพของกำไร

ช่วงนี้เห็นคนกำลัง คลั่งกำไร เดือนละ 100% 1000% กัน บ้างก็หลงไปหาทางลัด  บ้างก็พยายาม ดิ้นรน ค้นหา ทำกำไรแบบนั้น เพื่อมาอวดมาโชว์กัน ดูแล้ว อันตรายและน่าเป็นห่วง เลยอยากเตือนกันไม่อยากให้ประมาท ถ้าเป็นนักเก็งกำไร ต้องรู้จัก "กำไร" ก่อน กำไรมีด้วยกันสองรูปแบบ คือกำไรแบบชั่วคราว/กำไรภาพลวงตา กับกำไรที่ยั่งยืน(sustainable profit) แบบแรก คือ กำไรชั่วคราว คือได้เยอะๆเร็วๆ ได้แล้วหมดไป(ได้ๆเสียๆ) มีเอาไว้อวดไว้โชว์ ทำให้จิตใจพองโต มีความสุขสั้นๆ แต่ถ้าไม่คุมจิตให้ดีจะยึดติด อยากได้ เสพติด จนเกิดเป็นปัญหา แบบที่สอง คือ กำไรยั่งยืน คือกำไรที่แน่นอน ทำได้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่มากแต่สมเหตุสมผลกับความเสี่ยง  กำไรที่ดี มันมักมีที่มาที่ไป มีกระบวนการมีระบบ แน่นอน ทำซ้ำได้ ที่สำคัญคือ มันถูกรวมเอา ปัจจัยเสี่ยง ต่างๆเข้าไปในกระบวนการสร้างกำไรแล้ว  ดังนั้น ถ้าอยากเป็นนักเก็งกำไรอาชีพ สร้างผลตอบแทน จากส่วนต่างราคา จะเทรดสั้น เทรดยาว จะรอบวัน รอบสัปดาห์ รอบเดือน เราก็ต้องหมั่น สร้างกำไรที่ยั่งยืน ไม่ใช่ประเภท กำไรชั่วคราว วันนี้กำไร 1 ล้าน เดือนต่อมาถือจนขาดทุน 5 แ

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นเทรดเดอร์

หลายต่อหลายคนที่เขียน email เข้ามาคุยกัน เมื่อเข้าสู่ตลาดหุ้นล้วนอยากจะเทรดเดอร์อาชีพกันทั้งนั้น คงเพราะภาพที่ นิยมฉายออกมาให้คนทั่วไป มองเห็นว่าเป็นเทรดเดอร์ คืองานสบายๆ นั่งๆนอนๆทำที่ไหนก็ได้ ออกแรงไม่มากไม่นานก็ได้เงินเยอะ ยิ่งเย้ายวนชวนฝันให้คนอยากเป็น กันมากขึ้น รวมไปถึงการสร้างให้เกิดการเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเป็นเทรดเดอร์

Anti grid

วันนี้ มีโอกาสคุยกับน้องคนหนึ่ง มาปรึกษาเรื่องทำ Grid system เดี่ยวนี้กลายเป็นกระแสหลัก ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง มีแต่คนอยากลอง น้องคนนี้ มันตั้งคำถามว่า พี่ครับไม่ใช้กริดได้ไหม?? (คิดในใจ ไอ้นี่แม่งโครตอินดี้ ) ได้ดิ ผมตอบไป เพราะแนะนำไปกลยุทธ์การเทรดมีทั้ง scalping ,swing trader, breakout ,momentum , contrarian สอนไปเยอะมาก น้องคนนี้มันว่า ไม่ใช่ครับ อยากลอง Anti grid แบบที่ผมเขียนในบทความไว้ พอดีค้นเจอบทความเก่า วันนี้เลยนั้งอธิบายกันยาว สนุกดีได้ทบทวนไปในตัว คนเขียนเรื่อง Grid เยอะผมว่าหลายคนคงรู้จักกันพอควร แต่อยากแนะนำอย่าไปดูด้านดีดูข้อจำกัดด้านลบมันด้วย โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจจริงๆ หรือ ฟังคนพูดผิดๆพูดต่อนี้อันตราย ส่วนใหญ่อยากใช้กริด เพราะไม่ต้องการ Stoploss และอยากลองของเล่น martingale ทำกำไรร้อยเท่า สุดท้าย ล้างพอร์ต ทั้งนั้น ตรงนี้อันตรายมาก เพราะ กริดข้อจำกัดมันก็ไม่ใช่น้อย พอๆข้อเด่นนั้น ไม่ใช่ระบบพิเศษอะไร holy grail อะไร ถ้าคุณเจอคนใช้เป็น สอนเป็นเขาจะสอนข้อจำกัดและชี้ข้อเสี่ยงให้เห็นได้ ต้องระวังหน่อยการใช้ martingale ฝรั่ง เขาไม่ได้เชื่อตามกันหมด ไม่ใช่ Grid Martigale ก

Wall Street Warriors

ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำ ซีรีย์เกี่ยวกับเทรดเดอร์ เรื่อง Million dollar trader ให้พวกเราได้ดูได้ศึกษากันไปแล้ว วันนี้ผมขอแนะนำซีรีย์แนวสารคดีแนวเรียลลิตี้ อีกเรื่อง Wall Street Warriors อีกเรื่องให้ได้รู้จักกัน Wall Street Warriors นี้ต่างจาก Million dollar trader ตรงที่ไม่ใช่การแข่งขัน ไม่ใช่การเน้นที่การตัดสินใจ การเทรดเฉพาะตัวบุคคล แต่จะเป็นสารคดี ที่ทำให้เราเห็นระบบนิเวศทางการเงินของตลาดหุ้น มองเห็นการคิดการตัดสินใจ การดำเนินกลยุทธ์ของ ผู้เล่น แต่ละกลุ่มใน money game ที่ต่างฝ่ายต่างช่วงชิง ชัยชนะ ความได้เปรียบ ในซีรีย์ติดตาม ผู้เล่นในตลาดที่หลากหลายมากครับ มีทั้ง trader , Broker , Fund Manager , Floor trader เป็นต้น ความสนุก อยู่ตรง เหตุการณ์เดียวกัน เวลาเดียวกัน ตลาดเดียวกัน ผู้เล่น แต่ละฝ่าย แต่ละกลุ่มก็จะมี action มีการตัดสินใจแตกต่างกันไป ผลลัพธ์สุดท้ายที่ออกมา ย่อมแตกต่างกันด้วย เช่นกัน นี่แหละครับที่ทำให้พวกน้องๆ ได้เรียนรู้ ได้เปิดกระโหลก เปิดมุมมองว่า ตลาดเก็งกำไร มันยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา มีผู้เล่นหลายระดับ มีกลยุทธ์ที่หลากหลาย ชิง ความได้เปรียบ ทำความเข้าใจตรงนี้ จะได้เลิกเดาค

Balance & Equity Curve

ที่ผมพบ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ หรือมือสมัครเล่น สิ่งที่ท่าน วิเคราะห์กันเอาเป็นเอาตาม คือ "กราฟแท่งเทียนราคา" ด้วยเทคนิคอล พยายามเป็นเลิศ จากการเดาอนาคตผ่านการนับเวฟ หรือนั่งเพ่งดูเส้นอินดิเคเตอร์ตัดกัน แต่เทรดเดอร์อาชีพ สิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่แค่การไปนั่งดูกราฟแท่งเทียน แต่กราฟ ที่ต้องติดตาม และวิเคราะห์อย่างยิ่งยวด คือ กราฟ Balance Curve และ Equity Curve สิ่งสำคัญ ที่ทำให้พอร์ตเขาอยู่รอดระยะยาว ไม่ใช่เน้นกำไรดอกสองดอกเยอะๆ [แบบที่นิยมอวดโชว์กัน] การทำระบบเวลาเรารัน BackTest หรือทำ Fwd Test เราจะได้กราฟ Balance Curve และ Equity Curve ออกมา เราสามารถใช้ตัวนั้นเป็นตัว ประเมินผลการทำงานของระบบเทรดได้ ผมหยิบเอาเฉพาะ balance curve pattern หลักมาแชร์วิธีการตีความให้ดู เพราะมี หลายท่านถามมาเยอะ ถือว่าผม lecture และตอบคำถามในบทความนี้ไปเลยทีเดียวแล้วกัน ครับ โดยรูปแบบ ที่เราต้องรู้จักมีดังนี้ 1. Smooth : กำไรต่อเนื่องราบเรียบ แบบนี้ very good 2. Stairway: ขั้นบันได กำไรรวม เกิดจากอิทธิพลของกำไรพิเศษก้อนใหญ่กว่าค่า stdv เกิดในลักษณะไม่เป็นระบบ ทำให้กำไรรวมที่ดูมากอาจจะมีความผันแ