ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Free Tick Data (FXCM)

ถ้าศึกษาหรือทดลองทำงานด้าน Quant หนีไม่พ้นเรื่องของ Data แน่นอนว่าถ้าหาฟรีไม่ได้ก็มีต้องซื้อจาก Data Provider ซึ่งก็จะมีต้นทุน กรณีที่เริ่มต้นมีบางแหล่งที่แจกจ่ายข้อมูลฟรีให้ได้ทดลองนำไปใช้อยู่ วันนี้มาแนะนำแหล่งข้อมูลฟรีจาก FXCM ซึ่งเป็นโบรกเกอร์ที่รองรับ Quant Trading System ล่าสุดเปิดช่องทางแจกจ่ายข้อมูลราคาในตลาดค่าเงิน(FX) จำนวน 21 คู่เงิน ระดับ Tick Data (Raw Data ละเอียดสุดยังไม่จัดกลุ่มตาม timeframe) โดยเป็นข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2015 ถึงปัจจุบันและจะมีการ Update ข้อ มูลใหม่ๆทุกๆสัปดาห์ การ Download ทำได้ผ่าน API แบบเป็น gz file ก็ได้หรือจะใช้ Python เขียนโปรแกรมสำหรับการ Download อัตโนมัติก็ได้เช่นกัน โดยเราสามารถเลือกรูปแบบ output file ที่ต้องการได้ ซึ่งผมมีโอกาสทดลองทั้งสอบแบบแล้ว พบว่าใช้งานได้ดีมาก ไฟล์ tick data ของค่าเงิน USDJPY ระยะ 1 ปีที่ดาวน์โหลดได้ เมื่อแตกไฟล์แล้วขนาดราวๆ 150 MB มี Feature ได้แก่ DateTime,Bid,Ask จำนวนราวๆ 1.8 ล้านบรรทัด หน้าตาเหมือนกับภาพด้านล่าง ตรงนี้เป็น csv สามารถนำเข้า database นำไปใช้ในการทำ data analysis ต่อได้เลย(ไม่

Stop Searching for the Holy Grail

วันนี้ได้อ่านบทความ Stop Searching for the Holy Grail ของคุณ Charlie Bilello กูรูนักกลยุทธ์ด้านการลงทุนของ Pension Partners, LLC เขาแชร์การวิจัยและเขียนเรื่องของแนวคิดการสร้างระบบเทรดไว้น่าสนใจ Charlie Bilello เอาตัวอย่างการทดลองในการเทรดด้วยการใช้เครื่องมือพื้นฐานอย่าง MA ในหลายๆซีนาริโอมาเปรียบเทียบกับ Buy & Hold Strategies ในทองคำ ช่วงเวลา 1975 -2017 ผลการทดสอบดังภาพและตาราง แต่สิ่งที่คุณ Bilello แนะนำนั้นน่าสนใจ เขาบอกว่าแทนจะไปนั่งหา Holy Grail จากโมเดลหรือจากเครื่องมื อเทคนิคอล ใช้พยากรณ์อนาคต ที่ทำไม่ได้ เราควรจะรู้จักใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจ ทำความเข้าใจในเรื่องของพื้นฐานสินค้า + พฤติกรรมราคา และเลือกวางกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องไป optimize หรือพยายามปรับแต่งระบบให้เกิด best performance แบบ over fitting เพื่อทำกำไรมากๆเสมอไป เพราะภาพรวมระยะยาวพฤติกรรมราคาเปลี่ยนได้เสมอตลาดปัจจัยต่างๆ ดังนั้นเลือกใช้กลยุทธ์การเทรดที่อยู่รอดในระยะยาวทำผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ก็ถือว่าสมควรแล้ว ที่สำคัญมีแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิด ไม่ว่าตลาดจะดี หรือเลวร้าย เพราะ

Bull/Bear Ratio

ปี 2017 นี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ S&P500 ร้อนแรงมาก +19.45% ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดกลุ่มนำตลาดส่วนใหญ่ก็ยังออกมาดี เช่นเดียวกับ story ประเด็นการลดภาษี ของโดนัล ทรัมป์ ที่ตอนนี้เหมือนจะเป็นสิ่งที่ตลาดสหรัฐ กำลังจับตามองมาก หลังจากเป็นเชื้อเพลิงจุดชนวนพลักดันดัชนีมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งปลายปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันตามรายงานข้อมูลเจ้า Bull/Bear Ratio ของตลาดสหรัฐอยู่จุดสูงสุด Bull/Bear Ratio เป็น market-sentiment indicator แนวคิดเบื้องหลังก็ไม่ซับซ้อน เป็นการหา ratio  ที่สะท้อนมุมมองของ นักวิเคราะห์ กูรู และเซียน ต่างๆ โดยเป็นการเทียบระหว่างฝั่งที่มองว่าอนาคตดัชนีตลาดจะขึ้นต่อ(Bull) หรือ ตลาดปรับตัวลง(Bear) บางสายเขานำ weight ความนิยมในการเป็นผู้นำจิตวิญญาณของ นักวิเคราะห์ หรือกูรู คนนั้นๆมาคำนวณประกอบด้วย (แนวคิดนี้มีบริษัท startup ทำ data analysis +NLP จริงจังและทำเป็น application ขายบริการเลยนะครับ) สูตรการคำนวณก็ตามภาพด้านล่างเลย ส่วนการตีความก็ตรงไปตรงมา ถ้าออกมา positive แปลว่า market sentiment ค่อนข้างดี ยังมีความคาดหวังและแรงเชียร์ต่อ ตรงนี้บางตำราแนะนำให้ใช้ร่วมกับการ

Bath bomb จากโครงงานวิทย์สู่ธุรกิจเงินล้าน

4 ปีที่แล้ว สองสาวพี่น้อง Caroline และ Isabel Bercaw วัย 10 , 11 ปีเริ่มต้นทำ Bath bomb ในโครงงานวิทยาศาสตร์ ด้วยความสนุกและรักการทดลอง ทำให้สองพี่น้องตัดสินใจ เปลี่ยนการทำ Bath bomb ให้กลายเป็นธุรกิจเล็กๆ ด้วยการยืมเงินจากคุณพ่อ $350 ลงมือผสม ผลิตพัฒนาสูตรและสร้าง Bath bomb สีสันต่างๆกลิ่นต่างๆใช้เวลาสามเดือนผลิตจำนวน 150 ลูกออกขายในบูทเล็กๆ ตามห้างสรรสินค้า และงาน art fair ทั้งสองยังคงต้องเรียนหนังสือจึงใช้เวลาว่างผลิตสินค้าเพื่อออกขายในวันหยุด ด้วยความชอบทดลองผสมสีสัน แ ละสร้างกลิ่นต่างๆ บวกกับาการสนับสนุนของ พ่อและแม่ของสองพี่น้อง เธอเปิดบริษัท DaBomb Fizzers และดำเนินธุรกิจเป็นทางการเมื่อ 2 ปีก่อน มาวันนี้ธุรกิจของเธอเติบโต ผลิตสินค้าออกขายราว 500,000 ลูกต่อเดือน ธุรกิจโตมีมูลค่าหลักหลายล้านเหรียญ(multi-million dollar) กลายเป็นเจ้าของธุรกิจเงินล้านตั้งแต่ยังไม่จบ มัธยมปลาย สองพี่น้องยังคงสนุกในการทดลอง และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาต่อเนื่อง เธอให้สัมภาษณ์ในรายการว่าแม้เรียนจบอนาคตยังคงคิดจะทำธุรกิจนี้ต่อไป ปล. มีลูกมีหลานก็สอนให้คิด ให้เห็นคุณค่าของเงิน หรือหัด

Volatility and the Alchemy of Risk

วันนี้ผมมีโอกาสได้อ่าน research paper เรื่อง “Volatility and the Alchemy of Risk” เขียนโดย Christopher Cole แห่ง Artemis Capital Management เขานำเสนอประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเสี่ยงในภาวะ low volatility ซึ่งประเด็นร้อนเรื่อง Global Short Volatility Bubble ที่อาจจะเกิดในช่วงนโยบายทางการเงิน แบบพิเศษไม่ปกติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลาง ชาติใหญ่ๆของโลก ผู้เขียนนำเสนอประเด็น ความเสี่ยงในภาวะ low volatility ใน asset ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ใช้ leverage ในการ betting  บนราคาสินทรัพย์ในทิศทางเดียวกัน จนปัจจุบันมูลค่าโตกว่า $2 trillion บทความเทียบ สถานการณ์ปัจจุบัน กับช่วงที่เกิด Black Monday 1987 ยุคตลาดขาขึ้น พร้อมกับทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว จากการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นอกจากนี้ยังโยงไปถึง 4 องค์ประกอบสำคัญของความเสี่ยงคือ การเพิ่มของ volatility, gamma risk, ค่า correlation ที่ไม่คงตัวระหว่าง asset class และการเพิ่มของ interest rates ประเด็นมันละเอียดอ่อน และเป็นมุมมองเฉพาะ ตรงนี้อาจจะไปตรงข้ามกับความคิดคนทั่วไป ดังนั้นผมไม่ขอแปล

The Trader Experience

เมื่อวานนั่งทำแบบสำรวจเบื้องต้นกับเพื่อนๆน้องๆเทรดเดอร์ ที่ร่วมโครงการโปรเจค robot fighting ด้วยกัน ผมถามทุกคนเหมือนกันว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง A. ให้เงิน 1 ล้าน B . ให้ถอยหลังย้อนเวลาชีวิตจากปัจจุบันไปได้ 1 ปี เลือกอะไร ออกตัวก่อนว่าคำตอบไม่มีผิดถูก บางคนอยากได้เงินล้าน ถวิลหาเงินล้านก็คงเลือกข้อ A กัน แต่ที่น่าสนใจคือผลสำรวจเทรดเดอร์ที่ร่วมทำแบบสอบถาม 90% เลือก B ย้อนเวลากลับไป 1 ปี ผมก็เช่นกัน ยิ่งถ้าให้ย้อนเวลาไป 10 ปี มีความรู้ ความสามารถเท่าปัจจุบันมันหาประโยชน์ สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้มากโขเลย เหตุผลเพราะการเรารู้ว่าผิดพลาดอะไรในอดีต บางทีแค่ย้อนเวลากลับไปได้ แค่1 วัน แก้ไขสิ่งผิดนั้นได้ทันมันก็ทำให้เกิด ผลลัพธ์ที่แตกต่างอาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงินล้านได้ โดยเฉพาะเทรดเดอร์ เราเรียนวิธีการ/กระบวนการ(method)สร้างเงินและรักษาเงิน(ป้องกันความเสี่ยง) ตรงนี้ระยะยาวมันมีค่ามากกว่าแค่ตัวเลขหรือตัวเงิน เพราะถ้าเราทำได้ถูกได้ดีได้แน่นอนแล้ว มันโต มันขยายได้ ตามความรู้ ตามประสบการณ์ ของเรา คำถามนี้อาจจะดูไม่ realistic แต่มองดีๆ เราอาจจะพบว่าแม้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งผิดใน

Cryptocurrencies บนดิน ความพยายามจัดการปัญหาของรัฐบาลญุี่ปุ่น

FT นำเสนอบทความและข้อมูลของ cryptocurrencies ในประเทศญุี่ปุ่นที่เป็นชาติซึ่งมีบทบาท และเข้าไปมีส่วนร่วมกับ cryptocurrencies มาอย่างต่อเนื่อง แม้ประชาชนจำนวนมากจะเจ็บหนักจาก bitcoin กรณี Mt Gox ล้มสลายตอนปี 2014 แต่ปัจจุบันก็ยังมีความนิยมมากในการเทรดซื้อขาย crypto currencies โดยเฉพาะ bitcoin Coincheck, bitcoin exchange ใน Tokyo ระบุญุี่ปุ่นมีลูกค้าที่เข้ามาเทรด bitcoin ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆถึงมากกว่า 60 ปี โดยรัฐบาลญุี่ปุ่นออกกฏชัดเจนคือ บริษัทค้าขาย bitcoin ในประเทศต้องมีการร ะบุตัวตน และบัญชีของลูกค้าอย่างชัดเจน รวมถึงมีรายละเอียด กฏเกี่ยวกับการให้เงินกู้และคุมระดับความเสี่ยงของการเทรด ที่ regulator ต้องตรวจสอบได้ ดูเหมือนจะแตกต่างจาก concept ของ Bitcoin ในการพัฒนาตอนเริ่มต้นอย่างมาก แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะคนญุี่ปุ่นส่วนใหญ่ 80% ที่เทรด Bitcoin ไม่ต่างอะไรกับ asset อื่นๆเช่นค่าเงิน คือเน้นเก็งกำไรหาประโยชน์ส่วนต่างราคา ในยุคดอกเบี้ยเงินฝากมันติดลบ ปัจจุบันดูตัวเลขปริมาณการซื้อขายของญีุ่ปุ่นเทียบกับทั้งโลก ก็จะเห็นความแตกต่างมหาศาล กลายเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีบทบาทกับการเคลื่อนไหวข

Facebook And Trader

เมื่อเช้ามีคนถามผมว่า พี่ใช้เวลาบน facebook วันละกี่ชั่วโมงครับ ?? ถ้าให้ทายคงคิดว่าเยอะ ใช่ไหมครับ เพราะอาจจะเห็นผมโพสบ่อย แต่จริงๆแล้ว ผมใช้เวลาในเฟสบุ๊คต่อวัน แค่ 1 ชม. เท่านั้นเอง(สำหรับเขียนบทความ ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยแต่ก็คุ้มค่า) เพราะเหมือนเคยบอกไปส่วนตัวใช้ facebook เป็นสมุดบันทึก เรื่องราวที่เกิดในตลาดหุ้น ตลาดทองคำ ตลาดค่าเงิน และใช้เป็นสมุดจดแชร์ความรู้ด้านการเทรด แชร์เรื่องราวเศรษฐกิจ น่าสนใจ ให้กับเพื่อนๆน้องๆได้ติดตาม พอผมอ่านเจอบทความ เรื่องราวๆดีๆก็จะนำมาเขียน แปะแชร์ไว้ให้ ซึ่งทุกวันผมจะเข้ามาโพสเรื่องราวๆ บทความ กราฟ หรือเรื่องราวแล้วก็ไป ไม่มีเวลาไปตามอ่าน ตามคอมเมนต์ ของเพื่อนๆท่านอื่นเท่าไหร่ ตรงนี้ทำให้ไม่ได้ใช้เวลาเยอะบน facebook และเป็นการอธิบายประเด็น ที่มีคนถามมาเยอะมาก ว่าทำไมผมไม่กด รับ friend ไม่ได้เลือก หรือไม่ได้หยิ่งอะไรแต่เพราะส่วนตัวไม่มีเวลา เข้าไปร่วมกิจกรรม หรือสันทนาการกับใคร ดังนั้นเลยคิดว่าไม่ขอรับ เพื่อนเพิ่มดีกว่า จะได้ไม่เป็นการหมางใจ ถ้าไม่ได้เข้าไปทักทาย ไป chat หรือติดตามกด like หรือคอมเมนต์ใดๆ ส่วนท่านอยากเรียนรู้ก็ กด follow ติดต

Alternative Data

ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา StockTwits จัดงาน Stocktoberfest 2017 ที่ San Diego มีหลายคลิปสัมนาที่น่าสนใจปล่อยออกมา ผมกำลังนั่งตามเก็บอยู่ หนึ่งในนั้นที่วันนี้มีโอกาสได้ฟังจบ คือหัวข้อ alternative data เขานำผู้เชื่ยวชาญด้าน Quant ใน wall street ได้แก่ Tim Harrington จาก Battlefin, Erik Haines จาก Guidepoint, Morgan Slade จาก CloudQuant, และ Chris Petrescu จาก WorldQuant มาแลกเปลี่ยนและให้ความรู้ ประเด็น The rise of quants and alternative data Alternative data ตอนนี้กำลังเป็น hot topic เติบโตและเป็นที่ต้องการมาก คุณ Petrescu พูดถึงคำว่า quantamental แนวทางของ Quant ผสมผสานกับ Fundamental เดิม กล่าวโดยสรุปคือ alpha model ในการลงทุน จากการใช้ทั้งข้อมูล fundamental เดิม(งบการเงิน) รวมกับข้อมูล alternative data เพื่อสร้างโมเดลประเมินกิจการ ทำนายผลประกอบการ ตัวเลขรายได้ของบริษัท Alternative data ที่พูดถึงมีตั้งแต่ข้อมูลเชิงตำแหน่ง เช่น geolocation จาก mobile ,ภาพถ่ายดาวเทียม(ตัวอย่างเช่นติดตามจำนวนรถในลานจอดรถของห้าง) , ข้อมูลการใช้บัตรเครดิต ยอดบัตรเครดิตในร้านค้า หรือสถานที่ต่างๆ ,

Deep Learning in Trading

ทำการบ้านวันนี้นั่งอ่าน paper และ slide ของ qplum llc เป็น investment firm สาย AI มี AUM ราวๆ 28 ล้านเหรียญ คุณ Gaurav Chakravorty เขานำเสนอเกี่ยวกับ Deep Learning in Trading ในงานสัมนาที่ Univ. of Pennsylvania มีประเด็นน่าสนใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของ A.I. and Deep Learning ในการเทรดและการลงทุน ใน slide เล่าถึงวิวัฒนาการของการพัฒนากลยุทธ์การเทรด จากอดีตมาถึงปัจจุบัน, HFT , แสดงการใช้เรื่องของ Data Science ในการสกัดเอา insight จาก Big Data จำนวนมหาศาลที่เกิดในแต่ละวัน( ข้อมูล,รายงาน,ข่าว,ราคา,ปริมาณการซื้อขาย,Market Data, Bid/Offer เป็นต้น) รวมถึงการนำข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนา Deep Learning Model เพื่อวิเคราะห์หารูปแบบ รวมถึงภาวะการเปลี่ยแนปลงของข้อมูลจำนวนมากและซับซ้อนที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจซื้อขาย หุ้นและอนุพันธ์ สนับสนุนกลยุทธ์การเทรดแบบ High Frequency Trading สรุปย่อๆประมาณนี้ เข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้จาก slide ด้านล่าง ปล. คลิปนี้ดีมากนะครับ คนพัฒนาระบบ มาบรรยายเอง มุมมองของจริงมาก ดังนั้นใครทำระบบด้านนี้แนะนำให้ลองฟังเลย ราวๆ 1 ชม. ดู profile ข

Do you believe in Bitcoin?

ได้อ่านบทความนี้ของ BI เป็นเรื่องราวของ Didi Taihuttu ชายผู้เป็น Bitcoin believerสาย Hardcore ที่ขายสินทรัพย์ทุกอย่างที่มี เพื่อซื้อ Bitcoin และรอให้ผลตอบแทนมันเพิ่มทวีคูณ Didi Taihuttu ชายวัย 39 ปี ภรรยา 1 ลูกสาว 3 คนหลังจากที่คุณพ่อเขาตายด้วยโรคมะเร็งในวัย 61 ปี เขาได้ขายธุรกิจ ขายบ้าน ขายรถ และสินทรัพย์ทั้งหมดที่มี ซึ่งตอนแรกเขาพยายามจะขายบ้านมูลค่า 300,000 eur เป็นบิตคอยแต่ติดปัญหาที่ระบบธนาคารและการโอนสัญญาซื้อขายอสังหา ทำให้ต้องซื้อขายเป็น สกุลเงินแบบเดิม หลังจากขายบ้าน และธุรกิจเก็บเงินบางส่วนเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก กับครอบครัว และใช้เงินส่วนใหญ่ที่เหลือ ซื้อ Bitcoin เก็บสะสมไว้ โดยมีเป้าหมายเดินทางไปยังประเทศต่างๆ ใน Asia , Australia และเขาเปลี่ยนมาเลือกใช้ชีวิตแบบ สมถะ(แตกต่างจากอดีตที่ครอบครัวเขานิยมความหรูหรา) ไปจนถึงปี 2020 โดยคาดหวังว่า Bitcoin ที่สะสมเป็นแหล่งพักเงิน มันจะโดขึ้นจากเดิม 3-4 เท่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า Minimalist คือ Key ที่ Didi Taihuttu บอกว่ามันจะช่วยทำให้เขาสำเร็จในการเดิมพันครั้งนี้ ซึ่งเขาเล่าว่าหลายคนอาจจะคิดว่าเขาบ้า แต่เขารู้จัก Cryptoc

Crypto CFDs ของร้อนที่ต้องระวัง

ความเคลื่อนไหวในตลาด cryptocurrency ในปี 2017 ที่ร้อนแรงคือ การสร้างผลิตภัณฑ์ ลูกผสม CFDs + cryptocurrency (Bitcoin) ที่เรียกว่าร้อนแรง กลายเป็นที่นิยม หลายโบรกเกอร์ต่างออกผลิตภัณฑ์นี้ออกมารับกระแส การเก็งกำไรช่วงปีที่ผ่านมา จนตอนนี้เหล่า regulator ของยุโรปทั้ง Financial Conduct Authority(FCA) และ CySEC ต่างออกมาเตือน นักเก็งกำไรและนักลงทุน ให้ระมัดระวัง ส่วนฝั่งสหรัฐนี้แบน ห้ามไม่อนุญาติให้เทรด CFDs กันอยู่แล้ว ด้านโบรกเกอร์ที่ออก Crypto CFDs ออกมาโต้แย้งว่า ทุกอ ย่าง OK ยังปลอดภัยเอาอยู่ Bitcoin เป็นสินค้าที่มีความผันผวนสูง เมื่อนำมาบวกรวมกับ Contract For Differences (CFD) ที่โบรกเกอร์พยายามออกมานำเสนอให้ลูกค้า ที่จูงใจด้วย leverage ยิ่งทำให้ความเสี่ยงมันเพิ่มขึ้น ปัจจุบันหลายโบรกเกอร์ต่างออกโปรดักช์ crypto-CFDs ออกมา เช่น IG เสนอให้ leverage 8:1 , Plus500 ให้ leverage 30:1, Ava ให้ leverage 20:1 เจ้าอื่นๆให้ leverage เฉลี่ยอยู่ราวๆ 10-50เท่า บางเจ้าเช่น bitmex ให้ 100:1 ก็มี หมายความว่า มีเงินแค่ $50 ก็สามารถซื้อสัญญา cfds bitcoin มูลค่า $5000 ได้ ซึ่งถือว่าสูงมากพอควร เทรดเ

Domeyard: Hedge fund Startup

Domeyard บริษัท Startup ที่กำลังมาแรงหลัง ระดมทุน $10 ล้านเหรียญจาก VC และนักลงทุนสายการเงินชื่อดัง เช่น Howard Morgan (co-founder of Renaissance Technologies และ Gary Bergstrom จาก Acadian Asset Management บริษัทมีผู้ร่วมก่อตั้ง 3 คน คือ Christina Qi , Jonathan Wang และ Luca Lin (อายุ 26 ปี) เริ่มสร้างตั้งแต่ในหอพักมหาวิทยาลัย เริ่มต้น Qi และ Wang สนใจการเทรดในตลาดหุ้น เขาหัดเทรดและพัฒนา algorithmic trading มาก่อนตั้งแต่ยังเรียนใน MIT โดย Wang เรียนด้าน computer science เขาสนใจการเทรด เช่นเดียวกับ Qi เพื่อนร่วมหอพักที่เริ่มเทรดจริงจัง จนมีโอกาสฝึกงานกับ Goldman Sachs ทั้งสองมีโอกาสได้ไปเจอกับ Luca Lin ซึ่งเรียนด้าน Physic จาก Harvard University และใช้เวลาว่างเป็นเทรดเดอร์ที่สนใจด้าน statistical arbitrage และทำด้าน machine learning เมื่อเรียนจบราวปี 2013 ทั้ง 3 คนร่วมกันเปิดบริษัท และพัฒนาระบบเทรด ระยะเวลากว่า 3 ปี จนปัจจุบัน Startup สามารถระดมทุน Setup ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูงและเปิดบริการรับบริหารเงินในช่วงปี 2016 บริษัทขยายตัวมีพนักงาน 14 คนมีเทรดเดอร์และ portfolio manag

GRID Money Management

สรุปผลการแข่งขัน Robot Fighting รอบที่2 เหลือทีมผ่านเข้ารอบ 6 ทีมจาก 20 ทีมในเดือนที่1 เริ่มเทรดเก็บคะแนน รอบใหม่ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยสัปดาห์ที่ 1 ตัว Vector Scalping 4x4 (Benchmark) คะแนนนำ เทรดไป 37 ครั้งเก็บคะแนน 405.0 pips การแข่งขันที่จัดเน้นการอยู่รอดระยะเวลา 2 เดือนในตลาด เทรดบัญชีจริง(micro) เน้นการเก็บ pip และคุมขนาด Draw down ให้ได้ตามเกณฑ์ จากการทำ Money Management ไม่เน้นการเร่งทำกำไรหรือการอัด lot size การแข่งขันนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์กับสมาชิก จัดรายการ live ชื่อ Robot Fighting Documentary ประกอบไปด้วย โดยสอนเรื่องของ Tactic และกลยุทธ์ ช่วยทำให้สมาชิก พัฒนาระบบเทรด แบบยั่งยืน ไม่ล้างพอร์ต  สองตอนแรก เรื่องของ GRID Money Management สามารถเข้าฟังได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=Ly0OiUi2mrA https://www.youtube.com/watch?v=PRs35bvVH-Q

Ray Dalio says 'bitcoin is a bubble'

ช่วงนี้คุณเรย์ ดาริโอ กำลังเดินสายโปรโมทหนังสือ Principles ทำให้ช่วงนี้มีคลิปการให้สัมภาษณ์เรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจและหนังสือ Principles เยอะเลย เท่าที่ไล่ฟังมาผมมองว่า คลิปที่สนทนากับ Tony Robbin แง่เนื้อหานี้น่าจะดีที่สุดแล้ว แต่กระนั้นอีกคลิปที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ก่อนซึ่งเป็นประเด็นร้อนคือเรื่อง Bitcoin เพราะคุณ ray dalio เป็นอีกคนต่อจาก Jamie Dimon จาก JPM ที่ออกมาจวกบิตคอยด้วยคำพูดที่ว่า "bitcoin is a bubble" เป็นอีกความคิดเห็นจากปากของผู้บริหารกองทุนเฮ็ดฟันด์ขนาดใหญ่อันดับต้นของโลก บริหารเงิน $160 billion ประสบการณ์กว่า 40 ปีในตลาดชื่อชั้นรับประกันไม่ต้องห่วง ดูคลิปจาก CNBC ประเด็นของคุณ Ray dalio ที่ให้ไว้ก็น่าสนใจ กล่าวคือเขาไม่ได้ปฏิเสธเทคโนโลยี Blockchain นะ แต่เขามองว่า "ราคา" ของ Bitcoin มันขึ้นมามากจนเข้าภาวะฟองสบู่ เช่นเดียวกันมีการทำ ICO ออก Cryptocurrency ใหม่ๆจำนวนมาก ราคาต่างเพิ่มขึ้นเร็วด้วย volatility สูงในช่วงปีนี้ แต่การใช้งานด้านการแลกเปลี่ยน(transaction)กลับมาน้อยมาก เมื่อเทียบกับการเก็งกำไรมูลค่าหาประโยชน์จากส่วนต่างราคา คนส่วนใหญ่เก็