ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

ครบรอบ 10 ปี Bitcoin

สิบปีที่แล้ว Satoshi Nakamoto ได้เผยแพร่เอกสารแนวความคิด “purely peer-to-peer version of electronic cash” ในนาม Bitcoin ในช่วงแรกยังไม่ได้รับการตอบรับมากเท่าไหร่ จนมาถึง May 2010 ที่นักพัฒนา Laszlo Hanyecz ได้นำ 10,000 Bitcoins ไปแลกกับ pizzas ถือเป็นครั้งแรกที่ virtual currency ได้ถูกนำมาใช้แลกเปลี่ยนซื้อสินค้าในโลกจริง คิดมูลค่า Bitcoinในปัจจุบัน พิชซ่าถาดนั้นน่าจะเป็นแพงที่สุดในโลก ทีมงานบลูมเบิรกได้รวบรวมข้อมูลเปรียบเทียบอำนาจกา รซื้อของ 10,000 Bitcoins กับสิ่งของ ในช่วงเวลาต่างๆ นับจากปี 2010 ซึ่งจะพบช่วง Peak ของ Bitcoin ปี 2017 จะพบว่า 10000 bitcoin มีค่าสูงถึง $186 million มูลค่าเทียบเท่ากับภาพเขียน Mark Rothko’s No. 6 แม้ในปี 2018 มูลค่าถดถอยลง 10000 Bitcoin ยังสามารถซื้อเรือ yacht ($87M) หรือแม้เครื่องบินรบ F-35A ($94.6 million)ได้เลยทีเดียว ด้าน Daily transactions ทะลุ $1 million ช่วง April 2011 หลังข่าวการใช้ Bitcoin ซื้อ pizza จุดสูงสุดมาเกิดช่วงปี ปลายปี 2017 โดยเฉพาะจุด peak ที่ January 2018 ที่ transactions สูงถึง $5 billion ต่อวันจากการเทรดเก็งกำไรใน exchag

Stay in the game

บทความนี้ของนักวิเคราะห์จาก Calamos Investments นำเสนอแนวคิดที่ว่า ตลาดหุ้น ในภาพระยะยาวยังไงเสียก็เป็นทางเลือกในการสร้างความมั่งคั่ง (Wealth)ทางการเงินที่ดี แม้ภาพระยะสั้นแต่ละช่วงเวลาจะดูผันผวนและน่าหวาดเสียว บทความนำเสนอผมการทดสอบกลยุทธ์ Buy&Hold ใน S&P 500 โดยเริ่มเงินต้น $10000 จากปี 1996 ไปถึงปี 2016 กินระยะเวลา 20 ปี พบว่าเงินทุนเริ่มต้น 10K จะเติบโตถึง $43,930 แม้ผ่านภาวะวิกฤติการเงินใหญ่ 2 ครั้ง(ช่วงปี 2000 และ 2008) โดยค่าเฉลี่ย an nualized return ระยะ 20 ปี ที่ 8.19% ขณะเดียวกันการรอหาจังหวะเข้าจะ buy low , sell high อย่างเดียวถ้ายืนรอและไม่ได้ทำอะไร การตกรถพลาดโอกาสทอง ก็ทำให้ผลตอบแทนรวมจาก Buy&Hold Strategies ถดถอยลงไปมากเช่นกัน จากในภาพจะพบ กรณีที่พลาดโอกาสในวันที่ตลาดสุดยอด Best return 30 sessions ผลตอบแทนรวมจากเงินต้น $10000 จะลดลงเหลือ $9,026 นั้นคือขาดทุน ในกรณีนี้ผลตอบแทนเฉลี่ยจะอยู่ที่ -0.51% (แตกต่างกันอย่างมาก) สรุปยังไงเราก็ไม่สามารถไปคาดเดาอนาคตได้แม่นยำ 100% เช่นเดียวกัน Fact คือตลาดหุ้นมีโอกาสจะ crash ได้เสมอ ขณะเดียวกันก็มีวันที่ดี (La

ครบรอบ 89 ปี Black Tuesday

เมื่อ 89 ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นสหรัฐเผชิญกับเหตุการณ์ Wall Street Crash of 1929 หรือ Black Tuesday โดยตลาดหุ้นนิวยอร์ค New York Stock Exchange หลังจากรับข่าวความตรึงเครียดในยุโรปและเกิดแรงขายมหาศาลกดดันจนตลาด ลอนดอน ถล่มในวันก่อนหน้า ความวิตกกังวลนี้ทำให้เกิด Panic sell เกิดการขายหนักกดดัชนี Dow Jones Industrial Average เปิดตลาดต้องเผชิญ การถล่มของราคารุนแรงสุดอย่างไม่เคยเกิดมาก่อนในขณะนั้น โดยดัชนีปรับตัวลง 2 วัน(28 -29 oct)รวมกันราวๆ -25% ตลาดหุ้นสูญเสียมูลค่่า $30 billion เฉพาะวันที่ 29 ดัชนีปรับลงราวๆ -12% จำนวนหุ้นกว่า 60 ล้านหุ้นถูกขายในวันเดียว ซึ่งราคาหุ้นเกือบทั้งหมดนตลาดสหรัฐปรับตัวลงรุนแรง สิ้นสุดตลาดกระทิงระยะยาว 9 ปีนับตั้งแต่ช่วงต้น 1920 และเหตุการณ์ Black Tuesday นี้นำมาซึ่งการสูญเสียความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐ การล้มละลายของธุรกิจ ธนาคาร ปัญหาหนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ Great Depression ที่กินระยะเวลายาวนาน 12 ปี เรื่องราวเหตุการณ์วิกฤติการเงิน มีหลายประเด็นที่น่าสนใจเป็นเทรดเดอร์ ลองหาข้อมูล ศึกษาเรื่องเหล่านี้ไว้ ช่วยทำให้มองเห็นสิ่

Gain to Pain Ratio

Gain to Pain Ratio เป็นการประเมินผลการเทรดแบบภาพรวม (ไม่ใช่รายออร์เดอร์) เพื่อใช้วัดประสิทธิภาพของการเทรด ในภาวะตลาดต่างๆ แบบแยกย่อย ไม่ใช่แค่การดูที่ค่ารวมสุดท้ายรายปีหรือรายเดือนอย่างเดียว แนวคิดนี้ถูกนำเสนอโดยคุณ Jack Schwager โดยการคำนวณสัดส่วนของผลรวมการเทรดที่ได้กำไร เทียบกับค่าสมบูรณ์ของผลรวมออร์เดอร์การเทรดที่ขาดทุน ซึ่งค่า GPR ที่ได้สามารถใช้วัดระดับ รายเดือน รายปี ก็ได้แล้วแต่ application ที่นำไ ปใช้ และสามารถใช้ติดตามการผลงานของระบบ แบบรายช่วงเวลาในลักษณะ time series ได้เช่นกัน(จำนวนการเปรียบเทียบควรมีมากเพียงพอทำให้เกิดนัยยะทางสถิติ) การประเมินผลค่า GPR คุณ Jack Schwager แนะนำไว้เบื้องต้นว่า GPR ควรมีค่ามากกว่า 1 และถ้าจะให้ดีที่สุดควรมีค่ามากกว่า 2-3 อิงแนวคิดว่า การเจ็บปวดจากการขาดทุน นั้นไม่เท่ากับความดีใจเมื่อได้กำไร มองอีกมุมถ้าเราประยุกต์หลักความน่าจะเป็นเข้ามาใช้ ผสมกับการเล่นกับมิติของเวลา(Time Horizon) สร้าง tactic ที่ก่อให้เกิดการขาดทุนยากขึ้น ต่อการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น ตรงนี้ทำให้เกิดประสิทธิภาพรวมที่ได้ดีขึ้น ซึ่งค่า GPR ที่ได้มีโอกาสปรับขึ้นไปในระด

Bill Eckhardt, father of the CTA

นั่งอ่านบทความ Fifty years of evolutionary trading ของ Bill Eckhardt, เจ้าของฉายา father of the CTA , อดีตเทรดเดอร์สาย Systematic ยุคแรก ผู้บริหารและผู้ก่อตั้ง Eckhardt Trading Company (ETC) ถ้าใครเคยอ่านหนังสือเก่าๆ เช่น The Complete TurtleTrader น่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงแก เป็นสมาชิกรุ่น Richard Dennis ชำนาญมากสาย volatility trend-following และ short-term trading เขาเขียนหลายประเด็นได้ดีมากเกี่ยวกับ Sys tematic trading ,Stat&Probability รวมถึงปัญหา Overfitting และอื่นๆ จุดอยากนำมาแชร์ส่วนตัวชอบเรื่อง Risk Management และ Money Management มุมมองแนวคิดเกี่ยวกับ Risk และ Return ที่ดีทำให้พอร์ตของ ETC อยู่รอดมายาวนาน ในภาพประเด็นหนึ่งที่เราน่าจะนำมาประยุกต์ได้คือเรื่องการบริหารจัดการเงินที่เขาคำนวณหา position size อิงจาก Utility function บน factor 4 ตัวหลักได้แก่ - เงินทุนที่มี - พฤติกรรมราคาสินค้า (volatility)ที่เทรด - ขนาดความเสี่ยงที่ลูกค้ารับได้ - ผลงาน(performance) ของระบบเทรดที่ผ่านมา ประเด็นเหล่านี้สำคัญ มากกว่าแค่การเทรดเข้าออกในแต่ละครั้ง ยิ่งในภาวะตลาดหุ้น ตลาดเก็ง

รีวิว TFEX Gold Online Futures

สินค้าใหม่ของ TFEX วันนี้น้องมาร์เก็ตติ้ง โทรมาแนะนำสินค้า Gold Online Futures(GO) ตัวนี้ จะเริ่มเทรด 5 พ.ย. 2561 ได้ข้อมูลเยอะพอสมควร บวกกับลองเข้าไปหาข้อมูลเพิ่มจากเว็บ TFEX ขอนำเอาจุดเด่นมาสรุปให้ดูกัน สินค้านี้ชื่อย่อ GO จุดแตกต่างจาก GF คือเทรดราคาทองคำอิงราคาสากลของโลก หน่วยในสกุล USD (หลังจากรอมานานและเคยมีการพูดถึงหลายรอบในอดีต) โดย GO ใช้สินค้าอ้างอิงเป็นทองคำบริสุทธิ์ 99.5% ราคาไม่ต้องไปเชื่อมกับค่าเงินบา ทและใช้สมการการคำนวณแบบ GF นั้นหมายความว่า ไม่ต้องไปรับความเสี่ยงจากค่าเงินบาท แถมราคาจะเคลื่อนที่ตามทิศทางตลาดโลก (แน่นอนว่าจะมี GAP ช่วงการเปิดตลาดในตอนเช้า) เช่นเดียวกับ สามารถใช้ระบบเทรดแบบเดียวกับ ราคาทองคำในตลาดโลกโดยตรง โดย GO 1 สัญญามีมูลค่า 300 เท่าของราคาทองคำ ขนาด Tick ระดับ $0.1 คิดเป็นมูลค่าจุดละ 30 บาทต่อสัญญา (ราคาทองคำขยับ $1 คิดมูลค่า 300 บาทต่อสัญญา) ตัวนี้ Trading Session เหมือนกับ GF คือมีทั้งเช้าและกลางคืน(19:00 – 23:55) รูปแบบสัญญาซีรีย์ละ 3 เดือนหมดอายุทุกๆไตรมาส และส่งมอบเป็น Cash Settlement ด้านค่าคอมค่อนข้างพอควร เทรดผ่านอินเตอร์เน็ตไปกลับ 1

40 แก่ไปไหมที่จะเริ่มเป็นเทรดเดอร์

คำถามกลุ่มหนึ่งที่พบบ่อยมากๆทาง email คือปรึกษาเรื่องอายุ เช่นอยากเข้ามาเทรดหุ้น อยากเริ่มเทรดทองคำ อายุ 40 แก่ไปไหม เริ่มช้าจะเสียเปรียบเด็กอายุน้อย จะสำเร็จยากหรือเปล่า? สำหรับผมยังไม่ 40 คงไม่ได้ตอบในฐานะคนอายุเยอะ แต่ตอบในมุมมองของข้อมูลและความเป็นจริงที่เกิด ผมมีโอกาสได้อ่านบทความ Research: The Average Age of a Successful Startup Founder Is 45 ของ Harvard Business Review ผู้เขียนเขาอ้างงานวิจัยข้อมูลจาก VC และ Media  ต่างๆพบว่า ผู้ก่อตั้งบริษัท startup ที่ประสบความสำเร็จในอเมริกา มีอายุเฉลี่ยราวๆ 40 ปี ในกลุ่ม software และอายุเฉลี่ย 47 ปีในทุกประเภทกลุ่มอุตสาหกรรม ถ้าจำแนกลงไปกลุ่ม 0.1% บริษัท Startup ที่เติบโตทำกำไรต่อเนื่องช่วง 5 ปีแรก อายุเฉลี่ยของ Founder อยู่ช่วง 45ปี นี้คือข้อมูลที่รวบรวมจากงานวิจัยของ Harvard ซึ่งพบว่าแตกต่างจากบริษัท startup ยุคแรกกลุ่ม extreme outlier ที่ประสบความสำเร็จ founder อายุช่วงต้น 20 ปี เช่น Bill Gates, Steve Jobs, Jeff Bezos, Sergey Brin และ Larry Page แต่พอวิเคราะห์แง่ market cap growth rate ของกิจการ บริษัทเหล่านี้ก็มา Peak ในช่ว

3 lessons on decision making from a poker champion

Liv Boeree นักโป๊กเกอร์อาชีพหญิงระดับโลกเจ้าของแชมป์รายการ European Poker Tour 2010 และเป็นแชมป์ WSOP 2017 ประเภท Tag Team เธอขึ้นเวที Ted Talks แชร์เรื่องราวแง่คิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ(Decision Making) ของเธอซึ่งเธอได้เรียนรู้จากการเล่นโป๊กเกอร์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา 1. Luck & Skill เธอเล่าให้ฟังเรื่องของดวงหรือโชคดี ที่บ่อยครั้งมันเข้ามามีผลต่อชีวิต ต่อเกมส์การเล่น แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ไปยึดติดหรือพึ่งพาโชคมากจนเกินไป เพราะส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเรื่องดีเรื่องร้ายในชีวิต มันล้วนย่อมเกิดจากผลการตัดสินใจและการกระทำของตัวเรา บ่อยครั้งถ้าติดกับโชค ติดกับผลที่ได้จากโชคดี(เช่นกำไรที่ได้จากช่วงตลาดกระทิงขาขึ้น เทรดที่แย่แต่ก็ยังได้กำไร) มันจะยิ่งทำให้เราประมาท มี ego และมีความเชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป ยิ่งทำให้เสี่ยงสูง สุดท้ายล้มเหลวหรือหายนะได้ นอกจากนี้ผลตอบแทนที่ได้จากโชค(Luck) มันแตกต่างจากผลตอบแทนที่ได้จากทักษะ(skill)หรือฝืมือ ซึ่งถ้าเราฝึกฝนจนชำนาญ ความสามารถในการทำซ้ำ หรือทำให้ได้ต่อเนื่องระยะยาวมันก็จะเกิดได้ สร้างความสำเร็จที่ยั่งยืนต่อไป 2. Quantification ข้อนี้เธอแนะนำใ

5 things I learned from Igor Tulchinsky

สัปดาห์นี้ได้อ่านบทความ Investing Lessons From the Top of a $7.3 Billion Quant Fund ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ของคุณ Igor Tulchinsky CEO และผู้ก่อตั้ง WorldQuant LLC (quantitative hedge fund , $7.3 billion) ออกมาในช่วงโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ The UnRules: Man, Machines and the Quest to Master Markets ผมเป็นแฟนหนังสือของคุณ Igor Tulchinsky ตั้งแต่เล่มแรก พอได้อ่านบทความนี้จบคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เลยอยากสรุปประเด็นสำคัญให้ได้ศึกษากัน 1. Take risks and to remain an optimist - คุณ Tulchinsky อพยพหลบหนีจากโซเวียตมาใช้ชีวิตในสหรัฐตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เริ่มต้นจาก 0 ใช้ชีวิตในห้องเช่าเล็กๆ ประสบการณ์สอนเขาว่าคงมีไม่กี่สิ่งที่เสี่ยงมากไปกว่านี้แล้ว ทำให้ เขากล้าเสี่ยง มองมุมบวก มุ่งมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรค ผ่านช่วงที่เลวร้ายและความไม่แน่นอนไปได้ 2. Simulation อายุ 17 ปีเขาได้เริ่มเป็น video-game programmer สิ่งที่ได้เรียนรู้คือเรื่องของการคิดสร้างสรรอย่างเป็นระบบ การหาคำตอบบนความไม่แน่นอนด้วยการโมเดลปัญหาแล้วสร้าง simulation เพื่อหาผลลัพธ์หรือทางแก้ปัญหาที่เป็นได้มากที่สุด 3. Cutting losse

Optimal trading rule without overfitting

paper ที่ผมพูดถึงเมื่อคืน ตัวอย่างการหลีกเลี่ยง Overfitting ในการทำ optimization จาก backtest แนวคิดสไตล์นี้มีเยอะมาก ลองหาอ่านได้โดยเฉพาะเทคนิคใหม่ๆ ตัวอย่างนี้คุณ Marcos López de Prado เขาใช้ discrete Ornstein-Uhlenbeck process (stochastic process) สร้าง Data เพื่อทดสอบ trading strategy และทำการ optimization ค่า Sharpe ratio โดยทำการสุ่มปรับค่าของ SL และ TP เพื่อให้ได้ที่ดีที่สุดตามเงื่อนไข บน time seri es data ที่สร้างจาก O-U process แทนการใช้ข้อมูลในอดีต(Historical data) ขอไม่ลงรายละเอียดเชิงลึกมาก แต่อยากแนะนำให้ลองศึกษาดูเพราะเป็นแนวทางที่น่าสนใจ และทดสอบกลยุทธ์การเทรดบนสภาวะ random walk ได้ดีทีเดียว ดาวน์โหลดได้จาก https://arxiv.org/abs/1408.1159

Gold and inflation Q3 2018

ทองคำช่วงนี้ราคายังอยู่โซนต่ำ แถวระดับ $1200 ความน่าสนใจช่วงนี้จะเริ่มเห็นแรงเชียร์ บทวิเคราะห์เชิงบวกมากขึ้นตลอดเดือนที่ผ่านมา อย่างล่าสุด Francisco Blanch หัวหน้า นวค.ของ Bank of America Merrill Lynch มอง Gold จะไป $1350 ในปี 2019 ท่ามกลางเหตุผลต่างๆนานาๆเชิงบวก อันนี้คงรอดูต่อไปว่าปีหน้าทองจะกลับมาได้หรือเปล่า วันนี้ผมได้อ่านบทความชิ้นหนึ่งของ Mark Rzepczynski พูดถึงความไม่ปกติแง่พฤติกรรมความสัมพันธ์ของราคาทองคำ กับเงินเฟ้อ(inflation) ที่ดูเ หมือนแตกต่างจากอดีตที่ผ่าน เนื่องจากข้อมูล CPI ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้าน Core inflation ทั้ง US และ EU ก็ปรับขึ้นมาระดับ 2% แต่ราคาทองคำในปีนี้ ยังอยู่ระดับที่ต่ำและมีสัญญาณการถดถอยอยู่ เช่นเดียวกันจากการทำ QE ที่ผ่านมาการเข้าซื้อ Bond จำนวนมหาศาลของ ECB และ Fed นั้นน่าจะทำให้ตลาด fixed income มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าช่วงเศรษฐกิจปกติ โดยสรุปคุณ Mark Rzepczynski ชี้ให้เห็นว่าราคาทองคำปัจจุบันมีบางอย่างแตกต่างไปจากพฤติกรรมในอดีต เหมือนตลาดยังเชื่อว่า inflation ยังถูกจำกัดและน่าจะกดอยู่ (ยังไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อสูงในเวลานี้) ขณะที่

It Was the Worst of Times: Diversification During a Century of Drawdowns

เช้านี้ผมเพิ่งมีโอกาสอ่าน paper ล่าสุดของ AQR จบพบว่าน่าสนใจอยากนำมาแนะนำ paper นี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับ การป้องกันความเสี่ยงและการถดถอยของพอร์ต จากตลาดหุ้นขาลงและฟองสบู่ โดยทีมวิจัยทำการวิเคราะห์ข้อมูล asset ต่างๆในรอบเกือบ 100 ปี ทดสอบประเมินผลกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยง(Diversification)แบบดั่งเดิม(ผสมหลาย asset class) และการทำ Hedging (แบบต่างๆทั้งด้านกลยุทธ์และการใช้อนุพันธ์เช่น put opt ions) เพื่อเปรียบเทียบและประเมินด้านต้นทุนและผลตอบแทนเชิงชดเชยที่ได้รับในช่วงตลาดเลวร้าย การวิจัยโฟกัสไปที่ความคุ้มค่าของการ trade off จากการทำ diversification และการ hedging เพื่อลดและป้อกัน equity drawdowns ผลการทดลองน่าสนใจมากแต่ผมคงไม่นำมาเขียนในทีนี้เพราะ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องอธิบายกันเยอะ เดี่ยวคนไม่เข้าใจจะไปตีความผิด แต่ผมแนะนำให้ลองอ่าน paper นี้อ่านแบบวิชาการไม่ต้องรีบเชื่อหรือมีธง แค่ data ที่เขารวมหรือประมวลผลออกมา มันก็มีประโยชน์มากโขแล้ว ยังไม่นับรวมเทคนิคการป้องกันความเสี่ยงในแบบต่างๆหลาย level สปอยให้นิด ผลการวิจัยค่อยข้างน่าสนใจ เช่นความเชื่อหลายอย่างในการท

You Don’t Need a Breakthrough, You Need a Microshift

ได้อ่านบทความนี้แล้วรู้สึกชอบอยากเอามาเขียนสรุปเก็บไว้ บทความนี้คุณ Brianna Wiest เขียนถึง Microshift หรือการเปลี่ยนแปลงทีละน้อยๆ แบบค่อยเป็นค่อยไป ว่ามันก็สามารถทำให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่ได้ ถ้าเราทำมันอย่างต่อเนื่อง บางคนอาจจะรู้สึกว่ากำลังติด อยู่กับวังวนชีวิต จมติดกับพฤติกรรม อะไรบางอย่างที่มันดูเหมือนจะไม่ได้มีผลดีต่อชีวิต ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัวเราต้องการ แทนที่จะไปรอโอกาส รอให้ Breakthrough รู้ solu tion ทุกอย่างเกิดความรู้สึกฮึกเหิมจะลงมือทำอะไรบางอย่างแล้วเปลี่ยนชีวิตไปทันที คุณ Wiest แนะนำว่าให้เริ่มลงมือทำเลย ทำทีละเล็กๆแล้วพยายามทำมันทุกวันต่อเนื่อง ฝืนตัวเองต่อสู้กับความขี้เกียจและข้ออ้าง จนมันเกิด passion เกิดความรู้สึกว่าเราก็ทำได้ จากนั้นสร้างวินัย จนเข้าสู่จุดที่เริ่มพัฒนาทำให้ดี ทำให้ได้มากกว่าก่อนหน้า สุดท้ายมันไปถึงเป้าหมายได้เอง ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจเช่นถ้าอยากมีเงิน $1 million ไม่ใช่ไปรอโชคจากการซื้อหวย หรือจ้องจะลาออกจากงานไปทำธุรกิจทันที ลองเริ่มจากการเก็บเงินแค่วันละ $10 ให้ได้จริงจัง แล้วขยับไปสร้างโอกาสสร้างเงินในวิธีอื่นๆควบคู่ไป กรณีเดียวกันถ้าอย

Learning From Mistakes

วันนี้กลับไปอ่าน principles ของคุณ Ray Dalio อีกรอบพร้อมเตรียมตัวอย่างงานวิจัย ที่เรานำหลักการเรียนรู้จากความผิดพลาดที่เกิด มาประยุกต์ใช้กับ machnie learning เพื่อพัฒนาระบบเทรด ส่วนตัวชอบแนวคิดข้อนี้ของคุณ ray dalio มากเพราะการบันทึก ติดตามและศึกษา mistakes ที่เกิดมันช่วยทำให้พัฒนาผลการทำงานของระบบเทรด และตัวเทรดเดอร์ ได้ดีมาก ถ้าใครกำลังอยู่ช่วงหัดเทรด พยายามจดบันทึกผลการเทรด โดยเฉพาะสิ่งที่ผิดพลาดเอาไว้ เพื่อใช้ทบทวนถึงสาเหตุที่เกิดและสร้างเป็นบทเรียนในการเทรด (เพื่อจะไม่ผิดพลาดซ้ำ)แทนที่จะรีบลืม หรือไปนั่งโฟกัสแต่ผลกำไร จำนวนเงินที่ทำได้อย่างเดียว

In the long run

อธิบายหลักการเขียน Trader Journal ให้กลุ่มเทรดเดอร์มือใหม่ฟัง มีท่านหนึ่งถามผมว่า เริ่มเขียนบทความและบันทึกมานานแค่ไหนแล้ว และเคยเบื่อไหม?? ลองมานั่งนึกกลับไป ส่วนตัวผมเริ่มจดบันทึกการเทรด มาตั้งแต่เริ่มหัดเทรด สมัยเริ่มต้นนี้จริงจังมากกับ turtle system จำได้ก่อนเกิด subprime ประมาณ 2 ปีทดสอบระบบและจดบันทึกลงสมุดขนาด A4 ได้หลายเล่มเลย ก็เขียนมาตั้งแต่ตอนนั้น ตอนนี้ก็หลายสิบปีแล้ว ยังไม่เบื่อ ใช้เวลาตอนเช้านั่งเขียนอ่าน นั่งเขียนทุกวัน เริ่มต้นเขียนแบบเอาไว้อ่านเอ ง แต่มาปรับปรุงเป็นบทความจริงจัง แบบให้คนอื่นๆอ่านได้ ก็ตอน 8-9 ปีที่แล้ว สมัยนั้นเฟสบุ๊คยังไม่ฮิต ยังเป็นยุคของ Hi5 และ Myspace ด้านหุ้นด้านเก็งกำไร ส่วนใหญ่จะอยู่บนสินธร ในพันทิป (สินธรยุคนั้นไม่เหมือนสมัยนี้นะครับ) และก็เขียนบทความลง bloggang ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับหุ้นและทองคำ สิ่งหนึ่งที่ได้รับจากการเขียนคือการได้รีวิว ผลการเทรดและสิ่งที่เกิด ทำให้เราได้เก็บประสบการณ์หลายอย่าง ที่สามารถใช้เป็น template ในการศึกษา ได้ จริงๆก็ผ่านมาแล้วหลายเรื่อง หลาย event ทำให้เราตัดสินใจและเทรดได้ดีขึ้นกว่าอดีต โดยเฉพาะเมื่อเรียนรู้จ