ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

เมื่อเงินหายไป

เหมือนดังที่อธิบายเมื่อคืนว่า "การขาดทุน" ก็คือการสูญเสียเงิน นอกจากเงินทุนจะหมดไป ยังตามมาซึ่งผลกระทบต่อจิตใจ ต่ออารมณ์ ที่เราต้องมีระบบรับมืออีกด้วย คือต้องทำ loss manamgent (การจัดการหลัง position ขาดทุน) ควบคู่ไปกับ emotion management (จัดการกับอารมณ์ที่เกิด) เขียนถึงเรื่องนี้แล้วมันทำให้ผมนึกถึงงานทดลอง ของคุณ jack ที่เขาสอบถามคนจำนวน 600 กว่าให้มาโหวตว่า "ถ้าเงินที่เรามี(personal wealth) ลดลง 10 เท่า ตัวเลขยอดเงินเท่าไร่ที่จะมีผลกระ ทบต่อความสุขของเรา(personal happiness) มากที่สุด" ผลโหวตออกมาจากเงิน 1,000,000 ลดเหลือ 100,000 เป็นตัวเลขที่คนโหวตว่ากระทบต่อความสุขมากสุด จริงๆไม่มีข้อสรุปเป็นวิชาการ แต่มันสะท้อนให้เห็นว่า ยอดเงินมาก การสูญเสียเงินยิ่งมีผลกระทบต่อจิตใจ เพราะตัวเลขที่ loss ไปมันโต และมันชัด เช่น ถ้ามีเงิน 1 ล้านแต่ขาดทุนเหลือ 5 แสน เหมือนจะหายไปแค่ 500000 หรือ ครึ่งหนึ่ง แต่เงิน 5 แสนมันเกือบเท่าราคา iPhone11 pro จำนวน 10 เครื่อง ยิ่งคิดยิ่งเปรียบเทียบเชิงวัตถุ เราก็จะยิ่งเสียดาย และรู้สึกทุกมากขึ้นครับ สุดท้าย การเสียเงิน กับ อา

2019 ปีที่ดีของกองทุน

เช้านี้เข้าไป check พอร์ตกองทุน เห็นผลตอบแทน YoY กองทุนกลุ่ม REIT &Prop Fund และ Fix income แบบเรียกว่าประทับใจมาก เดือนหน้าจบปีเรียกว่าพร้อมขายเก็บกำไรตามแผนกันทันที ถ้าเทรดยาวเล่นรอบใหญ่(เน้นปรับพอร์ต มากกว่าการ Trading ตามการเคลื่อนไหวของราคา) ไม่มีเวลาติดตามราคาหุ้นทุนวัน กองทุนที่ดีนี้เป็นอีกทางเลือกในการบริหาร asset ของคนทำงานได้เลยครับ (เพียงแต่ต้องทำการบ้าน ต้องวางแผนบริหารจัดการ portfolio สักนิด ไม่ไปซื้อแบบลอกการบ้านอย่างเดียว) ค่อนข้างจะเข้าทางที่ cway quant lab ปีนี้เรารันเงินจริงในพอร์ตกองทุน ด้วย AI ที่พัฒนาขึ้น โดยเราทดลองเอา Deep learning ไปใช้จัดพอร์ต portfolio เต็มๆทั้งการเลือก asset และการทำ weight optimization โดยเอา data จาก กองทุนรวมและ ETF เป็นหลัก ผลออกมาดีงามมาก ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เยอะ https://www.finnomena.com/fund/

ระดับตำนานเขาถกเถียงกัน

ระดับตำนานเขาถกเถียงกัน เหมือนที่เคยกล่าว pattern มันเป็นเรื่องปัจเจกที่ไม่จำเป็นว่าทุกคนต้อง เห็นเหมือนกันเสมอไป สุดท้ายการนำไปใช้ก็ขึ้นกับวิจารณญาณและการตีความของแต่ละบุคคล อ่านรายละเอียดและคอมเมนต์เพิ่ม https://twitter.com/PeterLBrandt/status/1198786623921627137

5 app (ที่ผมใช้)ประจำวัน

Trader talk Ep05 ตอนพิเศษ "5 app (ที่ผมใช้)ประจำวัน สำหรับช่วยในการเทรด" - Trading view app - Investing dot com app - Podbean เทรดหุ้นไทยแนะนำรายการเช่นของ finomena - Gap Focus : ทำการบ้านหาข้อมูล ข่าว - Clam , Meditate App :ฝึกสมาธิ ลดความเครียดระหว่างวัน ......................... นั่งคุยสบายๆ แชร์ประเด็น และมุมมองส่วนตัวจากประสบการณ์ตรง หวังว่าจะเกิดประโยชน์ หรือลองนำไปปรับใช้กัน https://www.facebook.com/chaipat.ncm/videos/10157935681949511/

asset and a liability

"พ่อรวยสอนลูก : Rich Dad Poor Dad" ของ Robert Kiyosaki นี้เป็นหนังสือการเงินเล่มแรกเลยที่ตอนนั้น อ่านแบบจริงจัง 3 รอบกว่าจะเขาใจว่าทำไมเขาสอนไม่เหมือนคนอื่น ทำไมคนอื่นทั่วไปที่คิดต่างถึงด่าความคิดของเขาในหนังสือ เล่มนี้อ่านแบบ open mind ไม่มีธงเรียกว่าคือเอาแนวคิดนี้มาใช้เป็น road map ได้ยันทุกวันนี้ พื้นฐานง่ายๆมันสอนให้เราคิดก่อนใช้ คิดก่อนเป็นหนี้(liability) แล้วรู้จักที่จะอดอ อมเพื่อสร้าง asset ของตัวเอง ต่อไป ........ You must learn the difference between an asset and a liability and buy assets.’ “Very simply, the rich invest their money in assets that put more money in their pockets, such as real estate, stocks, bonds, notes, and intellectual property,” he explained. “The middle class and poor invest their money in liabilities that take money out of their pockets such as mortgages, consumer loans and credit card debt.” https://www.youtube.com/watch?v=ECgQtEf1sU4

Good decision making

คุณเรย์ ดาริโอ กล่าวไว้ในบทความ principle ว่า 2 อุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้เรามองไม่เห็นตัวเราและมองไม่เห็นความจริงที่เกิด ได้แก่ อัตตา ยึดติดกับตัวตนของตัวเองมากไป(ego) และ จุดบอดอิงกับความเชื่อบางอย่าง(blind spots) แบบสุดโต่งไม่มีเหตุผล เมื่อมองไม่เห็นความจริงที่เกิด ไม่เข้าใจสถานการณ์ตามความเป็นจริง ย่อมทำให้ยากที่เกิดการตัดสินใจอย่างดีมีประสิทธิภาพ ในชีวิต เกือบทุกวันเรามีเรื่องให้คิด ให้ต้องตัดสินใ จจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะถ้าเป็นการตัดสินใจสำคัญในชีวิต หรือทางธุรกิจ ยิ่งต้องระมัดระวัง ดังนั้นเราจึงควรที่จะรำลึกถึง 2 อุปสรรคสำคัญนี้ก่อนที่จะ ทำการตัดสินใจเสมอ ตรวจสอบว่าทั้ง ego และ blind spots ของเรามันเข้ามามีอิทธิพล มากเกินไปหรือไม่ อ้างอิงจาก https://twitter.com/RayDalio/status/1192804195637874690

หุ้นกลุ่ม Food

เมื่อวานได้เอาประเด็นเรื่องหุ้นอาหารไปคุยกับ รุ่นพี่คนหนึ่งทำบริษัทเกี่ยวกับอาหาร แกเลยสะสมหุ้นกลุ่มอาหารไว้เยอะ ประเด็นนี้มาจากข่าว บทวิจัย “เพิ่มมูลค่าให้อาหารเท่ากับเพิ่มมูลค่าให้ธุรกิจ” ของ ตลท. ชี้ให้เห็นหุ้นผลิตและแปรรูปอาหารในตลาดหุ้นไทยหลายตัว ติดการจัดอันดับโลกในช่วงที่ผ่านมา โดยใน SET และ mai มีบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับอาหารจำนวน 56 บริษัท มูลค่าตามราคาตลาดรวม 1 ล้านล้านบาท หรือ 6.5% ของมูลค่าตลาด แบ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปอาหารจำนวน 46 บริษัท และบริษัทที่ประกอบธุรกิจร้านอาหาร 10 บริษัท 8 หุ้นไทยติดอันดับ Top 200 ของโลก ในด้านอัตราการเติบโตของกำไร ได้แก่ HTC XO และ KASET ด้านขนาดของหุ้น ได้แก่ CPF OSP และ CBG ด้านผลตอบแทนจากการลงทุน ได้แก่ ASIAN XO และ TFG ส่วนหุ้นธุรกิจร้านอาหารไทยติด Top 50 ของโลก ในด้านอัตราการเติบโตของกำไร คือ AU และด้านขนาดของหุ้น ได้แก่ M พอเอาข้อมูลพฤติกรรมราคามาดู เห็นอะไรที่น่าสนใจเยอะ แต่ไม่ขอลงรายละเอียดใน note นี้ แต่เอาภาพกราฟราคา ในกรอบใหญ่ มาแปะให้ดู ถ้าใครอยากเทรด หรือลงทุนหุ้นกลุ่มนี้แนะนำ คว

Gligtch

เรื่อง ชวนหัวประเด็นร้อนเรื่องหนึ่งใน wallstreet อเมริกา อยากนำมาเล่า เรื่องนี้เกี่ยวกับความผิดพลาด(glitch) ของ app จากโบรกเกอร์ Robinhood ที่ User ประเภท premium สามารถใช้ leverage ได้ไม่จำกัด หรือ Infinite leverage (ยืมเงินโบรกเกอร์มาเทรด เปิดสถานะได้โดยไม่มีขีดจำกัด) ความสนุกมันเกิด เมื่อ Trader คนหนึ่งทำได้ก็ทำสูตรวิธีการไปแจกต่อในกลุ่ม Wall Street Bets บน reddit ประมาณว่าเชิญผู้กล้ามาถล่ม ซึ่งมีหลายคนเข้ามาอ่าน บางคนทำตาม เพราะนั้นหมายถึงการเสี่ยงโชควัดดวงคร ั้งใหญ่ บางคนใช้ leverage 50x 100x 500x มี Trader รายหนึ่งมีเงินกว่า $3,000 อัดใช้ leverage ขยายไป $1.7 million เช่นเดียวกับหลายคน หลายเทรดเดอร์ที่รายงานเข้ามา ส่วนใหญ่เทรดคืนเดียวล้วนลอง position ขนาดใหญ่หลักล้านเหรียญเล่นกันเลย แน่นอนการใช้ leverage สูงได้ ไม่ได้การันตรีว่าจะได้กำไร หรือมี edge เสมอไป เพราะความเสี่ยงสูง ย่อมมีทั้งที่ทำเงินได้หลายหมื่นเหรียญ และขาดทุนหมดเงินต้น ก็มีเช่นกัน แต่นี้เป็นอีกหนึ่งความไม่ปกติที่เกิดและเข้ามากระทบต่อตลาด จากความผิดพลาดของซอฟท์แวร์เทรดของโบรกเกอร์ อ้างอิง ht

ทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์

การศึกษาของ Microsoft Japan ระบุว่าการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์นั้น ช่วยเพิ่ม productivity ได้เพิ่มถึง 40% โดยผลการศึกษาเทียบกับปีเดือน สค. 2018 พบว่า การทำงาน 4 วันช่วยลดค่าไฟฟ้าลง 23%, ลดจำนวนกระดาษลง 59% นอกจากนี้ข่าวระบุว่ารัฐบาลญุี่ปุ่นมีแผนปรับลดชั่วโมงทำงาน แก้ปัญหา over work บางบริษัทพนักงานต้องทำงานหนัก และต้องทำงานกว่า 6 วันต่อสัปดาห์ แผนการปรับลดเวลางาน เพิ่ม work life balance น่าจะการแก้ปัญหาสังคมผู้สูงวัยตามไปด้วย (แรงจูงใจในการมีครอบครัว มีบุตร รวมถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น) อ้างอิง https://www.theguardian.com/technology/2019/nov/04/microsoft-japan-four-day-work-week-productivity https://www.dailymail.co.uk/news/article-7644931/Microsoft-Japan-brings-three-day-weekends-sees-40-CENT-increase-productivity.html

ไทยกับสู่ยุคอัตราดอกเบี้ยขาลง

วันนี้ไทยเข้าสู่ยุคอัตราดอกเบี้ยถูก โดยผลประชุมคณะกรรมการ กนง. ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จากระดับร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ทำให้อัตราดอกเบี้ยเข้าสู่จุดต่ำสุดรอบหลายสิบปี ด้านตัวเลขน่าสนใจเพราะระดับนี้ คือระดับที่ ธปท. ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจตอนปี 2009 หลังการเกิดวิกฤติการเงิน subprime ของสหรัฐ กนง. แถลงการลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมให้เหตุผลการตัดสินใจจากเรื่องเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประเมินไว้ จำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จาก story นี้ส่งผลลบต่อ หุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่ ที่ต้องปรับลดดอกเบี้ยตามมา ทำให้รายได้จากอัตราดอกเบี้ยรับและ NIM ลดลง ส่วนหุ้นรับอานิสงค์บวกได้แก่ กลุ่มเช่าชื้อ-ลิสซิ่ง ต้นทุนการกู้ยืมต่ำลง(ผลดีโดยเฉพาะบริษัทที่มีหนี้ระยะสั้นมากกว่าหนี้ระยะยาว) อสังหาริมทรัพย์ นี้เรียกว่ารอความหวังจาก story นี้เลยซึ่งการลดดอกเบี้ยอาจจะมาช่วยกระตุ้นยอดขาย จากการขยายกำลังซื้อของลูกค้าและการระบายของ นอกจากนี้หลายโบรกยังมอง เหมือนกันคือ คิดว่าหุ้นปันผล น่าจะมีเม็ดเงินกลับเข้ามาไล่ซื้อ ชดเชยผลตอบแทนจากตราสารหนี้ , fix income ที่อัตราดอกเบี้ยลดลง

Ultimate trader career guides by Citadel

บทความจากมืออาชีพของ Citadel LLC (ฟันด์ของ Ken Griffin AUM $32 billion ) ถ่ายทอดประสบการณ์และการเตรียมตัวเป็น Trader ใน Quant Fund ระดับโลก เขาพูดถึงการเตรียมตัว ทั้งเรื่องความรู้ ประสบการณ์ และการพัฒนา skill (ทั้ง hard และ soft skills) ผมว่าน่าสนใจและมีประโยชน์มาก ลองเข้าไปอ่านบทความแบบละเอียด ที่เราสามารถเรียนรู้ได้จาก link  https://lnkd.in/eaNEqtV ชมคลิป vdo ถ่ายทอดจากประสบการณ์ของ Senior Trader at Citadel https://www.youtube.com/watch?v=6yN5eVFZ77E

Teaching traders to code in Python

บทความนี้ของ Saeed Amen ดีงามมากเขาแชร์ประสบการณ์การสอนการเขียนโปรแกรม Python ให้กับเทรดเดอร์ใน Bank / Financial firms โดยสรุปใจความสำคัญ คือมันเป็นเรื่องดีที่จะเรียนรู้ Python Programming เพราะ python เป็น tools ที่ดี แต่สิ่งเป็นปัญหาคือ การเขียนตามตัวอย่าง จากคนสอนอย่างเดียว อาจจะได้ตัวอย่าง basic การเขียนโปรแกรม Python แบบทั่วไป แต่ไม่พอเพราะส่วนใหญ่ การไปใช้จริง ต้องมาจากโจทย์/องค์ความรู้จริงจากประสบการณ์การเทรดจริงในตลาด เพื่อนำมาประยุกต์ ซึ่งเทรดเดอร์จะมีความได้เปรียบในการเข้าใจ data แบบเชิงลึกช่วยการพัฒนาระบบได้ดีกว่าโปรแกรมเมอร์สาย IT ทั่วไป ดังนั้นเทรดเดอร์ต้องทำงานหนัก ฝึกฝน หัดเขียนโปรแกรม หัดประยุกต์ (ไม่ใช่แค่ copy&paste) Saeed Amen แนะนำให้เน้นการวิเคราะห์ข้อมูล(มากกว่าการไปใช้ python เพื่อสร้างโมเดลทำนายอนาคตซึ่งมันใช้จริงไม่ได้) ทำความเข้าใจกับ market ช่วยในการพัฒนาระบบเทรด เช่นเดียวกันไม่ต้องกังวลที่จะเปลี่ยนตัวเองจากเทรดเดอร์ไปเป็น coding guru เพราะมันไม่ใช่เรื่องจำเป็น(ในบริษัทใหญ่ เขาก็จ้าง Programmer อาชีพมาทำแหละ แต่เทรดเดอร์ที่เข้าใจ logic และการลำ

Introduction to Volatility Trading

นั่งหาคลิปใน youtube ฟังไปเจออันนี้ของ Christopher Quill คนนี้เป็น Quant Analyst ของ ITPM บรรยายเรื่อง volatility ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะตลาดปัจจุบันมันไม่เหมือนอดีต Trend มันไม่ใช่พระเอกละ กลายเป็น Volatility สไตล์ volatility trading ก็กำลังมาแรงและถูกนำมาใช้กันมาขึ้นระยะ 2-3ปีที่ผ่านมา เช่น Mean reversion , Scalping เป็นต้น คลิปยาวนะแต่อธิบายดี พูดภาพรวมการใช้เทรด สอนคำนวณทั้ง Implied volatility และ Historic volatility(Time series) เข้าไปฟังได้จากคลิปด้านล่าง https://www.youtube.com/watch?v=eqmTHLgZzqQ

ทำไมความรู้ด้านการเงินและการลงทุนจึงสำคัญในโลกปัจจุบัน

DW เป็นช่องสารคดีของเยอรมนี เขาทำสารคดีชื่อว่า How the rich get richer - money in the world economy ถ่ายทอดหลายประเด็นที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะปัญหาที่คนวัยเกษียณในยุโรปเจอ ในสารคดีเล่าเรื่องชายชนชั้นกลาง คนหนึ่งทำงานกว่า 40 ปี เกษียณได้เงินบำนาญก้อนหนึ่ง แต่ปัญหาคือ อัตราดอกเบี้ยติดลบ ทำให้ความฝันที่จะไม่ต้องทำงานนอนกินดอกเบี้ยวัยเกษียณแบบที่เคยเชื่อไว้ ไม่เป็นจริง แถมเจอดอกเบี้ยติดลบทำให้เงินก้อนที่มีถดถอยไปอีก , เมื่อมารู้ มาตระหนักตอนนีั ก็สายละเพราะทางเลือกไม่มากที่ปรึกษาการเงินแนะนำให้ไปซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่นหุ้น(stock) แต่ต้องจ่ายราคา premium ที่สูง พร้อมภาวนาให้ไม่เกิด economic downturn อีกประเด็นก็น่าสนใจ เพราะนโยบายผ่อนคลาย กระตุ้นเศรษฐกิจของ ecb อัตราดอกเบี้ยต่ำทำให้ คนมีเงิน(สารคดีเรียกว่าพวกนายทุนหรือคนรวย) ใช้เงินกู้ดอกต่ำ ไปไล่ซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ดันราคาบ้านและที่อยู่ จนขึ้นสูงในช่วงหลังปี 2010 ปัญหา ตามมาคือ คนชั้นกลาง มนุษย์เงินเดือน ต้องการซื้อบ้านก็ต้องจ่ายในราคาที่แพง มหาศาล ตามด้วยการเป็นหนี้ระยะยาวกับธนาคาร(30-40 ปี) จุดนี้กลายเป็นความเสี่ย

บันทึกหุ้น Defensive stock และ REIT Q3/2019

ปีนี้มีแต่คนบ่นเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ราคาหุ้นส่วนใหญ่เจอแรงขายกดดันจนราคาถอยลงค่อนข้างหนัก ยิ่งถ้าผลประกอบการออกมาไม่ดีด้วยราคายิ่งดิ่งลงใหญ่ โดยเฉพาะหลายตัวในกลุ่ม อสังหา, ธนาคารและการเงิน ขณะที่ปัจจัยจาก โครงการ EEC ปีนี้ยังไม่ได้มีผลบวกเท่าไหร่ต่อราคาหุ้นที่เกี่ยวข้องเหมือนที่คาดหวังเอาไว้ ส่วนตัวพอร์ตปีนี้รอดได้ คาดปีนี้ return (กำไร+ปันผล) น่าจะปิดได้มากกว่า SET (return จากต้นปี +1.95%) เพราะต้นปีทำการปรับพอร์ต เปลี่ยนแผนมาเล่นเกมส์รับถือเงินสดมากพอควร+ เน้น Defensive stock (หุ้นธุรกิจปลอดภัย เช่น โรงไฟฟ้า, ประปา,สาธารณูปโภค)และ REIT ที่ปีนี้ทำผลงานค่อนข้างดี เนื่องจากชัดเจนคือกระแสเงินไหลเข้ากลุ่มนี้อย่างมาก ตั้งแต่ปลายปี 2018 , ที่น่าสังเกตกลุ่ม Defensive stock และ REIT ที่เคย low volatility ตอนนี้บางตัวค่า volatility ปรับสูงขึ้นอย่างมีนัยยะ บวกกับ volume การเทรดหุ้นกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มากกว่าค่าเฉลี่ยค่อนข้างชัด ภาพแสดงราคาหุ้นจากต้นปี 2019 เส้นสีเหลืองนั้นคือ SET จะพบว่าราคาหุ้นกลุ่ม Defensive stock และ REIT มีผลตอบแทนบวกเหนือ SET แต่ขณะเดียวกัน volatility แตกต่างจา