ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Be hustle, Be humble

ระหว่างกินข้าวเที่ยว พี่ชายที่เคารพถามเรื่องวิธีสอนการเงินให้กับลูกที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัย แนะนำไปหลายแนวทาง แต่ปัจจุบันมีทั้งหนังสือ ทั้งเว็บดีๆให้ความรู้ และมีเครื่องมือเช่น app ต่างๆมากมายช่วยอำนวยความสะดวก เหลือแค่ วินัย ในการบังคับตัวเองให้อดออม ให้ยั้งคิดในการใช้เงิน หรือบังคับอดทนรอเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน สมัยผมเริ่มต้น ผมเริ่มจากเงินสี่ด้าน(Cashflow Quadrant)จากหนังสือพ่อรวยสอนลูก แต่กว่าจะทำได้แต่ละด้าน ต้องใช้เวลาต้องรอ แถมสมัยก่ อนต้องเผชิญกับความเชื่อ ทัศนคติ ของคนรุ่นเดิมไม่น้อย ปัจจุบัน คนยุคมิลเลเนี่ยล มี leverage จากอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มโอกาส ทำให้อาจจะไม่ต้องรีบเลือก สามารถทำทั้ง 4 ด้าน พร้อมกันได้เลย(แล้วค่อยๆขยายสเกลต่อไป) เช่น -E: เรียนจบทำงานประจำไปก่อน เพื่อเก็บเงิน รักษาฐานรายได้ที่มั่นคง -S: หาเงินเพิ่มในช่วงเวลาว่าง เช่น การขายของออนไลน์, ขายขนม,รับจ้างฟรีแลนซ์,เปิดช่องยูทูป,ไกด์นำเที่ยวออนไลน์ ,ตัวแทนขายประกัน เป็นต้น -B: มีเงินพอ ลองทำธุรกิจแบบ weekend entrepreneur (ใช้เงินไม่มาก,บางส่วน outsource ได้ และใช้เวลาไม่เกินไป)ทำได้ดีพอ เก่งพอ ล

Expedition Happiness

ถ้าถามถึงนิยามของคำว่า "ความสุข" เชื่อว่าแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปร้อยแปดพันเก้า แต่สำหรับ คุณ Felix Starck (จาก Pedal The World) และคุณ Selima Taibi มันคือการเดินทาง การออกไปพบปะสิ่งใหม่ๆ ทั้งผู้คนและสถานที่ เพื่อการเรียนรู้ และทำความเข้าใจชีวิต ผมมีโอกาสได้ดู Expedition Happiness หนัง สารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของคู่รักชาวเยอรมันทั้งสอง พร้อมหมาคู่ใจ(Rudi) ที่เดินทางข้ามทวีป North America ด้วยรถโรงเรียน(American school bus) จุดเริ่มต้ นจาก North Carolina(เมืองที่ซื้อรถโรงเรียนและลงแรงสร้างให้มันกลายเป็นบ้านติดล้อ) ไป Canada, Alaska, ผ่าน U.S. West Coast, Mexico เป้าหมายปลายทางคือจะไปประเทศ Argentina ทั้งสองเผชิญอุปสรรคและประสบการณ์ต่างๆ มากมายระหว่างการเดินทาง มีทั้งรอยยิ้มและคาบน้ำตา เรียกว่าทำให้ดูสนุกและคุ้มค่ากับเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มันไม่ใช่หนัง art หรือหนัง hippy ทั่วไป แต่ภาพมุมสูง การตัดต่อ และเพลงประกอบนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถ้ากำลังมองหาความหมายในชีวิต แนะนำ "Expedition Happiness" ครับ https://www.youtube.com/watch?v=PKRvZLjkRJA

การนอน กับอาชีพเทรดเดอร์

การนอน นี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับ เทรดเดอร์ โดยเฉพาะการเทรดในตลาดค่าเงิน(FX),ทองคำ หรือตลาดต่างประเทศ(US , DAX) ยิ่งถ้าต้องรีบตื่นไปทำงานประจำ หรือทำธุรกิจส่วนตัวในตอนเช้า การเทรดดึก กว่าจะได้นอนตี 2 - 3 มันจะทำให้เหนื่อยมาก(บางวันขาดทุนหนัก เทรดพลาด หมกหมุ่นนอนไม่หลับเอาง่ายๆได้อีก) และถ้าทำต่อเนื่องหลายเดือน มันจะล้าสะสม มีผลต่อสุขภาพ บวกกับอาจจะทำให้ performance การเทรดและการตัดสินใจ ของเราแย่ลง ได้ บางวันเครื่องดับไปดื้อก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็น part-time trader ไม่มีเวลาพ ักงีบระหว่างวัน ต้องวางแผนเวลา การนอนและการเทรดให้ดี เช่น -อาจจะเลือกกลยุทธ์การเทรดรอบกว้างขึ้นที่เหมาะกับเรา, -อาจจะเทรดสินค้าบางตัวที่ active ในเฉพาะช่วงเวลา ไม่เกิน เที่ยงคืน -หรืออาจจะเทรดแบบวัน เว้นวัน เทรดตามเป้าเช่นตั้งเป้าสัปดาห์ละ 1% ทำยอดได้ ก็พัก เป็นต้น มีหลายวิธีเคยอธิบายไว้ลองอ่านบทความย้อนหลังได้ ในภาพเอาตัวอย่างตารางการนอนและเวลาตื่นที่เหมาะสมต่อสุขภาพแบบ กฎนอนหลับ 90 นาที มาฝากครับ https://health.mthai.com/howto/health-care/24127.html https://www.jeab.com/fit-firm/fit-life/sleep-90-min-rules

Trader & Financial Freedom

เมื่อวานมีน้องท่านหนึ่งถาม ว่าถ้าเป็นเทรดเดอร์จะมีอิส รภาพทางการเงิน แบบไม่ต้องทำงานได้อย่างไร เพราะต้องนั้งเทรดตลอดเวลา ไม่เทรดก็ไม่ได้เงิน ?? เป็นคำถามที่ดีเพราะมันเป็น คำถามที่ผมถามตัวเองตั้งแต่ วันแรกที่เริ่มเดินทางนี้ละ  สิ่งที่เรียนรู้ Key คือเรื่องการ management ตัวทรัพยากร เวลา(Time) และเงิน( Money) สำหรับส่วนตัวผม จำแนกโหมดการเทรดของตัวเองเ ป็น 3 แบบ ผสมกันคือ 1. Passive trading : ใช้เวลาเทรดติดตามต่อวันน้อ ย+จำนวนการเทรดน้อย (time horizon ยาว)+ payoff สองทาง(ํYiled +Capital gain) เงื่อนไขพวกนี้เราจะใช้การเ ลือก asset และ strategies ต่อไป 2. Active trading : ใช้เวลาเทรด/ ติดตามต่อวันมาก(อายุมากๆ สุขภาพไม่อำนวยหรือมีครอบคร ัว เริ่มทำให้ work ยากละ) + รอบการเทรดสูง + ระยะการเทรดสั้น + time horizon สั้นปรับตามสถานการณ์ตลาด 3. Automatic/Robot trading : ใช้เวลาติดตามต่อวันน้อย + จำนวนการเทรดสูง + ระยะการเทรดสั้น + payoff สองทาง(ํYiled +Capital gain) + time horizon สั้นปรับตาม risk factor ปัจจุบัน ดังนั้นในพอร์ตที่บริหาร จะจัดสัดส่วนเงินกระจายไปทั ้ง 3 โหมด(สัดส่วนแตกต่างกันตามช ่วง

อิสรภาพทางการเงิน

กระทู้นี้ถามถึงจำนวนเงินเท ่าไหร่ถึงจะมีอิสรภาพทางการ เงิน ไม่ต้องทำงาน มีหลายคอมเมนต์ที่น่าสนใจ แบ่ง 2 แบบหลักๆ 1-ใช้เท่าไหร่เก็บเท่านั้น ถ้าใช้เงินปีละ 500k ประเมินว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่ อหลังหยุดทำงานสัก 20 ปี ก็ต้องมีเงินก้อนสัก 500k*20 = 10 ล้าน >วิธีคิดนี้ตรงไปตรงมาแต่ อันตรายเพราะ ถ้าครบ 20 ปี เงินหมดนี้ปัญหา , อีกประการคือการเก็บเงินก้อ นขนาด 10 ล้านด้วยเงินเดือนระดับพนัก งานทั่วไป โอกาสเกิดจริงไ ม่ง่าย 2-ใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ย ความคิดเห็นแบบนี้ สไตล์ให้เงินทำงานแทนเรา แนะนำให้คิดรายจ่ายอนาคต และประเมินย้อนจาก ผลตอบแทนความเสี่ยงต่ำที่ไม ่ทำให้ เงินทุน เงินออมหาย เช่น ถ้าจะใช้ชีวิตปีละ 500k บาท, จากอัตราดอกเบี้ยความเสี่ยง ต่ำ(Risk free rate) 2% จะต้องออมเงินให้ได้ 500k*(100/2) = 25 ล้าน > วิธีนี้ถ้าออมเงินได้ก็สบาย  จะอยู่ต่อไปกี่ปีก็ได้ เพราะเงินจะงอกไปเอง แต่ข้อจำกัด การหาเงินก้อนใหญ่ไม่ง่าย + อัตราดอกเบี้ยต่ำ ถ้าอนาคตเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพแพง โอกาสจะมีเงินพอใช้ก็จะยากข ึ้น สรุป จากผมไล่อ่าน ทั้งสองประเภทขึ้นกับ 4 ปัจจัย ได้แก่ = {รายได้ ,เงินออม ,ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากเ

How (NOT) To Predict Stock Prices

การวิเคราะห์ข้อมูล มันมีประโยชน์เสมอ ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่ทำ ลองมองกลับมุม แทนจะใช้ Deep learning แบบ LSTM หรือ Variational autoencoder LSTM ไป ทำนายอนาคต ทำนายราคาหุ้น ราคา asset ในภาวะที่เราควบคุมไม่ได้ เพื่อหา upside เปลี่ยนไปใช้ทำนาย / ประเมิน anomaly ใน P/L Timeseries ประเมินระบบ ประเมิน performance ของพอร์ตเพื่อป้องกัน down side แทน (เพราะถ้าถูกเราป้องกันผลกระทบการขาดทุนได้ แต่ถ้าโมเดลผิด เราก็เสมอตัวไม่เสี่ยงเกิน) บทความนี้สรุปดี แทนที่จะไป prediction ค่า value ก็เปลี่ยนไปจำแนก movement แทน(binary classification problem) หรือไม่ก็ทำ ensemble of models แบบหลายโมเดล หลายกลยุทธ์ปรับไปตาม market behavior https://towardsdatascience.com/how-not-to-predict-stock-prices-with-lstms

New Normal ในยุคอัตราดอกเบี้ยติด 0

อ่านกระทู้นี้แล้ว มีหลายคอมเมนต์น่าสนใจ จนอยากเขียนบันทึกเก็บไว้ โดยเฉพาะมุมมองของคนทั้งใช้เวลาทั้งชีวิต ใกล้เกษียณ ทำงานเก็บเงิน 10 ล้าน หวังใช้ชีวิตอยู่จาก fix income ฝากธนาคารรอกินดอกจากเงินก้อนนี้ มาเจอภาวะปัจจุบัน ดอกเบี้ย 0-0.5% (เงินเฟ้อ 2%) ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยบนเงินทั้งก้อน 10 ล้าน ยังเท่ากับ ค่าแรงขั้นต่ำรายปี และไม่พอค่าครองชีพในเมืองใหญ่+ค่าหมอค่ายา สรุปคือ มีเงินสด 10 ล้าน ถ้าไม่มี "ระบบ/ความรู้" ที่ขยายให้เงินทำงาน สร้างผลตอบแทนเพื่อเติบโต ไม่นานก็หมดจากการใช้จ่าย(แน่นอนว่ามี service บริการแต่ก็ต้องมีความรู้จะเลือกใช้เช่นกัน เพราะบางโปรดักซ์ผลตอบแทนก็ไม่คุ้มกับค่า fee ที่จ่ายไป) จะเรียกว่า New Normal ในยุคอัตราดอกเบี้ยติด 0 ต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับเงินเฟ้อก็จะมาเงินฝืดก็น่ากลัว(นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน ประเมินความน่าจะเป็น 1-2 ปีว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเกิดได้ทั้ง inflation และ deflation) การเงินเก็บ อย่างเดียวไม่พอละ ต้องมีความรู้ในการบริหารจัดการเงิน เบื้องต้นด้วย อาจจะไม่ต้องเป็น active trader หรือซีเรียสติดตามข้อมูลข่าวสารทุกวัน แต่อย่างน้อยต้องรู้จักลงทุนเป็น เห็