ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

The Ivy Portfolio

มีคนขอให้แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการพอร์ตเข้ามา จริงๆแล้วมีหลายเล่มมาก เล่มหนึ่งที่คิดว่าอ่านง่ายและเหมาะกับมือใหม่คือ The Ivy Portfolio ของคุณ Mebane T. Faber เขาผู้บริหารพอร์ตลงทุนของ Cambria Investment Management หนังสือออกช่วงปี 2011 ทำให้มีกลิ่นไอของวิกฤติการเงินในเนื้อหา และมีตัวอย่างการบริหารเงิน บริหารความเสี่ยงเยอะ โดยเฉพาะกรณีศึกษาของพอร์ต Endowment ดังๆเช่น Yale Endowment , Harvard Endowment ที่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงกรณีศึกษาของเฮ็ดฟันด์ที่ผลงานดีเช่น Greenlight Capital , Blue Ridge Capital และกล่าวถึงแนวคิด ผลงานของเหล่า Academic Fund Managers เก่งๆที่ประสบความสำเร็จจริงๆอีกหลายคนเช่น James Simons , David E Shaw , Richard Thaler เป็นต้น ด้าน Portfolio Strategies ที่มีการยกถึงแนวทางการพัฒนา All-Weather Policy Portfolio ที่ผสานความเสี่ยงและการทำกำไรตามภาวะตลาดอีกด้วย รวมถึงการเลือกใช้กลยุทธ์ใน Quantitative System และการทำ Rotation System ผสมสร้าง Portfolio structure ขึ้นมาใน asset class ต่างๆ ค่อนค้างหนาและแน่น เหมาะสำหรับการเรียนรู้มากครับ https://www.amazon.com/I

Reinforcement Learning for Trading

ปีกว่าๆแล้วที่ใช้ Reinforcement learning ในการพัฒนาระบบเทรด(เสริมกับระบบเดิมก่อนหน้าเป็น VAE-LSTM Model ) วันนี้ใช้โอกาสเรียนฟรีของ coursera ลงเรียน หลักสูตร Reinforcement Learning for Trading Strategies ของ NYU ซึ่งครอสนี้ให้ตัวอย่างการใช้ value-based policies กับ momentum trading strategy เพิ่งเรียนได้ week ที่ 2 ยังไม่จบ ไม่รีบด้วยเพราะมันฟรี แต่เดี่ยวผมเรียนจบ จะมารีวิวให้ ส่วนน้องคนไหนพัฒนา Quant สาย AI แนะนำให้ลองเรียนครับ อาจารย์ที่สอนอธิบายเข้าใจง่ายมาก และมีเราสามารถเขียนโปรแกรมตามแบบฝึกหัดออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องติดตั้งอะไรให้ยุ่งยาก ด้วย https://www.coursera.org/learn/trading-strategies-reinforcement-learning

Commodity Super Cycle

เมื่อวานมีน้องเทรดเดอร์ คนหนึ่งถามเรื่องการลงทุนระยะยาวในสินค้าคอมโมดิตี้ ผมเลยเอาบทความ Commodity Super Cycle นี้มาแบ่งปันให้ลองอ่านเพิ่มเติม โดยสรุปมีใจความหลัก -สินค้า commodity มีหลายประเภท และมีลักษณะของ Cycle และรูปแบบของราคาที่แตกต่างกันไป -ราคาของ สินค้า commodity แปรผันตาม Demand และ supply ที่เกิดในช่วงเวลาใดๆ ซึ่งหลายชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภค จะมีความสัมพันธ์กับ ภาวะเศรษฐกิจ -บทความนี้จำแนกการแกว่งของ cycle เป็น 2 แบบคือ upswings และ downswings. - upswings รอบการการแกว่งขาขึ้น ที่มาจาก demand ที่มากกว่า supply - downswings รอบการการแกว่งขาลง ที่มาจาก supply ล้นมากกว่า demand ในตลาด -ภาวะราคาสินค้า commodity ปรับตัวเป็น cycle หรือการ swing เพราะเมื่อมี demand มาก เวลาผ่านไปผู้ผลิตมีการปรับตัวเพิ่ม supply เข้ามาในตลาด หรือความต้องการซื้อจากปัจจัยเร่งหรือภาวะทางอารมณ์หายไป จุดนั้นราคาจะมีการปรับตัว ลดลง เป็นต้น -ในคาบเวลาระยะยาว การนิยาม Commodity super cycles สามารถใช้โมเดล Bank of Canada Commodity Price Index (BCPI) เพื่อติดตามภาพให

แนะนำหนังสือ "Options, Futures, and Other Derivatives"

  เมื่อวานมีน้องเทรดเดอร์ขอให้แนะนำหนังสือเรื่องการเทรด อนุพันธ์ ความคิดเห็นส่วนตัวถ้าเริ่มต้นแนะนำให้อ่าน "Options, Futures, and Other Derivatives" ของคุณ John C. Hull ปัจจุบัน แล้ว หนังสือเล่มนี้เหมาะกับการใช้อ้างอิงและเป็นหนังสือให้แนวคิด เริ่มต้นสำหรับเทรดเดอร์ได้ดีมาก มีเนื้อหาที่ครอบคลุมและอธิบายหลายประเด็นที่เป็นเรื่องซับซ้อน ให้เข้าใจง่ายในประโยคสั้นๆ โดยเฉพาะในด้านการเทรด options ซึ่งคุณ Hull ทำได้ดีมาก เช่นเรื่อง Greeks, Volatility smiles, Value at risk, Estimatin g volatilities และ Black-Scholes-Merton model ส่วนของ Futures ก็มีบทหัวข้อ Hedging strategies using futures ที่อธิบายไว้ได้ดี จุดเด่นอีกเรื่องคือ หนังสือเล่มนี้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ปัจจุบัน 10th Edition ทำให้หลายตัวอย่างค่อนข้างทันสมัย เช่นเคสวิกฤติการเงิน 2007-2008, ด้านเนื้อหาลึกและแน่นมาก(เป็นหนังสือตำราตั้งใจเขียนจริงๆ) สนใจแนะนำลองหาซื้อมาอ่านกัน https://www.amazon.com/Options-Futures-Other-Derivatives-10th/dp/013447208X/

Inside the House of Money

 เมื่อวาน ผมพูดถึงหนังสือ Inside the House of Money วันนี้เลยอยากนำคลิปเก่าที่เคย รีวิวหนังสือ Inside the House of Money: Top Hedge Fund Traders on Profiting in the Global Markets ของ Steven Drobny มาแชร์อีกรอบ โดยคลิปนี้ผมรีวิวภาพรวมของหนังสือและไฮไลท์สำคัญ ประวัติผู้เขียน รวมถึง นำเอา Hedgefund manager สาย Global Macro economic 2 คนที่ให้สัมภาษณ์ไว้ได้น่าสนใจ มาสรุปให้ฟัง คือคุณ Jim Leitner แห่ง Falcon Management และ Scott Bessent แห่ง Bessent Capital เป็นการเรียกน้ำย่อย ให้พวกเราลองไปหาซื้อหนังสือเล่มนี้อ่านกัน ปล. เล่มนี้อ่านง่ายและได้ประเด็นแนะนำให้ลองหามาอ่านกันครับ ลองเข้าไปรับฟังได้ที่ https://youtu.be/Rd69II7_X_E

Rule of 72 กับ การพัฒนาระบบเทรด

  สำหรับผมระบบเทรดที่ดี คือระบบที่เราสามารถเทรดและทำมันได้ทุกวัน สร้างผลตอบแทนที่ต่อเนื่องและ บริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมอยู่รอดในทุกสภาวะตลาด มันอาจจะไม่ต้องเป็นระบบที่ wining rate 100%, ทำกำไร 200 300% ต่อปีขนาดนั้น เพราะยิ่งคาดหวังมาก ยิ่งพยายามจะทำอะไรให้มันเกินจริง สุดท้ายมันยิ่งเละ และใช้ไม่ได้จริง เจอมากมายระบบเทรดที่ over fiting หรือ พวก Data-Mining Bias พยายามทำให้ back testing ดีเกินจริง มาอวด มาโชว์ แต่ใช้จริงในตลาดไม่ได ้ ส่วนตัวผมทำระบบเทรด ใช้สูตร 12 * 36 พยายามจะสร้าง return เฉลี่ยให้ได้ 12% บนเงื่อนไขของการยอมให้มี max dd ที่ไม่เกิน 36% ของเงินทุน ซึ่งระบบมี 2 ส่วนงานคือส่วนทำกำไร และส่วนที่บริหารจัดการความเสี่ยง(ควบคุม DD) ดังนั้น ไม่ว่าตลาดมันจะผันผวนขนาดไหน หรือวิ่งไปทางใด ระบบมันก็รอดได้ ทำงานของมันได้ตามแผน ขณะเดียวกันบน Rule of 72 ถ้าระบบรันตามแผน ค่าเฉลี่ย 12% ต่อเนื่อง ราวๆ 6 ปีก็สามารถสร้างเงินทุนเพิ่มเป็น 1 เท่าได้ แน่นอนว่ามันอาจจะช้า แต่มั่นคง ขณะที่เวลาผ่านไป เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นได้ไปอีก ควบคู่กับการเติบโตของพอร์ต พลังของอัต

Be hustle, Be humble

ระหว่างกินข้าวเที่ยว พี่ชายที่เคารพถามเรื่องวิธีสอนการเงินให้กับลูกที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัย แนะนำไปหลายแนวทาง แต่ปัจจุบันมีทั้งหนังสือ ทั้งเว็บดีๆให้ความรู้ และมีเครื่องมือเช่น app ต่างๆมากมายช่วยอำนวยความสะดวก เหลือแค่ วินัย ในการบังคับตัวเองให้อดออม ให้ยั้งคิดในการใช้เงิน หรือบังคับอดทนรอเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืน สมัยผมเริ่มต้น ผมเริ่มจากเงินสี่ด้าน(Cashflow Quadrant)จากหนังสือพ่อรวยสอนลูก แต่กว่าจะทำได้แต่ละด้าน ต้องใช้เวลาต้องรอ แถมสมัยก่ อนต้องเผชิญกับความเชื่อ ทัศนคติ ของคนรุ่นเดิมไม่น้อย ปัจจุบัน คนยุคมิลเลเนี่ยล มี leverage จากอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มโอกาส ทำให้อาจจะไม่ต้องรีบเลือก สามารถทำทั้ง 4 ด้าน พร้อมกันได้เลย(แล้วค่อยๆขยายสเกลต่อไป) เช่น -E: เรียนจบทำงานประจำไปก่อน เพื่อเก็บเงิน รักษาฐานรายได้ที่มั่นคง -S: หาเงินเพิ่มในช่วงเวลาว่าง เช่น การขายของออนไลน์, ขายขนม,รับจ้างฟรีแลนซ์,เปิดช่องยูทูป,ไกด์นำเที่ยวออนไลน์ ,ตัวแทนขายประกัน เป็นต้น -B: มีเงินพอ ลองทำธุรกิจแบบ weekend entrepreneur (ใช้เงินไม่มาก,บางส่วน outsource ได้ และใช้เวลาไม่เกินไป)ทำได้ดีพอ เก่งพอ ล

Expedition Happiness

ถ้าถามถึงนิยามของคำว่า "ความสุข" เชื่อว่าแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปร้อยแปดพันเก้า แต่สำหรับ คุณ Felix Starck (จาก Pedal The World) และคุณ Selima Taibi มันคือการเดินทาง การออกไปพบปะสิ่งใหม่ๆ ทั้งผู้คนและสถานที่ เพื่อการเรียนรู้ และทำความเข้าใจชีวิต ผมมีโอกาสได้ดู Expedition Happiness หนัง สารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวการเดินทางของคู่รักชาวเยอรมันทั้งสอง พร้อมหมาคู่ใจ(Rudi) ที่เดินทางข้ามทวีป North America ด้วยรถโรงเรียน(American school bus) จุดเริ่มต้ นจาก North Carolina(เมืองที่ซื้อรถโรงเรียนและลงแรงสร้างให้มันกลายเป็นบ้านติดล้อ) ไป Canada, Alaska, ผ่าน U.S. West Coast, Mexico เป้าหมายปลายทางคือจะไปประเทศ Argentina ทั้งสองเผชิญอุปสรรคและประสบการณ์ต่างๆ มากมายระหว่างการเดินทาง มีทั้งรอยยิ้มและคาบน้ำตา เรียกว่าทำให้ดูสนุกและคุ้มค่ากับเวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่ง มันไม่ใช่หนัง art หรือหนัง hippy ทั่วไป แต่ภาพมุมสูง การตัดต่อ และเพลงประกอบนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ถ้ากำลังมองหาความหมายในชีวิต แนะนำ "Expedition Happiness" ครับ https://www.youtube.com/watch?v=PKRvZLjkRJA

การนอน กับอาชีพเทรดเดอร์

การนอน นี้เป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับ เทรดเดอร์ โดยเฉพาะการเทรดในตลาดค่าเงิน(FX),ทองคำ หรือตลาดต่างประเทศ(US , DAX) ยิ่งถ้าต้องรีบตื่นไปทำงานประจำ หรือทำธุรกิจส่วนตัวในตอนเช้า การเทรดดึก กว่าจะได้นอนตี 2 - 3 มันจะทำให้เหนื่อยมาก(บางวันขาดทุนหนัก เทรดพลาด หมกหมุ่นนอนไม่หลับเอาง่ายๆได้อีก) และถ้าทำต่อเนื่องหลายเดือน มันจะล้าสะสม มีผลต่อสุขภาพ บวกกับอาจจะทำให้ performance การเทรดและการตัดสินใจ ของเราแย่ลง ได้ บางวันเครื่องดับไปดื้อก็ได้ ดังนั้น ถ้าเป็น part-time trader ไม่มีเวลาพ ักงีบระหว่างวัน ต้องวางแผนเวลา การนอนและการเทรดให้ดี เช่น -อาจจะเลือกกลยุทธ์การเทรดรอบกว้างขึ้นที่เหมาะกับเรา, -อาจจะเทรดสินค้าบางตัวที่ active ในเฉพาะช่วงเวลา ไม่เกิน เที่ยงคืน -หรืออาจจะเทรดแบบวัน เว้นวัน เทรดตามเป้าเช่นตั้งเป้าสัปดาห์ละ 1% ทำยอดได้ ก็พัก เป็นต้น มีหลายวิธีเคยอธิบายไว้ลองอ่านบทความย้อนหลังได้ ในภาพเอาตัวอย่างตารางการนอนและเวลาตื่นที่เหมาะสมต่อสุขภาพแบบ กฎนอนหลับ 90 นาที มาฝากครับ https://health.mthai.com/howto/health-care/24127.html https://www.jeab.com/fit-firm/fit-life/sleep-90-min-rules

Trader & Financial Freedom

เมื่อวานมีน้องท่านหนึ่งถาม ว่าถ้าเป็นเทรดเดอร์จะมีอิส รภาพทางการเงิน แบบไม่ต้องทำงานได้อย่างไร เพราะต้องนั้งเทรดตลอดเวลา ไม่เทรดก็ไม่ได้เงิน ?? เป็นคำถามที่ดีเพราะมันเป็น คำถามที่ผมถามตัวเองตั้งแต่ วันแรกที่เริ่มเดินทางนี้ละ  สิ่งที่เรียนรู้ Key คือเรื่องการ management ตัวทรัพยากร เวลา(Time) และเงิน( Money) สำหรับส่วนตัวผม จำแนกโหมดการเทรดของตัวเองเ ป็น 3 แบบ ผสมกันคือ 1. Passive trading : ใช้เวลาเทรดติดตามต่อวันน้อ ย+จำนวนการเทรดน้อย (time horizon ยาว)+ payoff สองทาง(ํYiled +Capital gain) เงื่อนไขพวกนี้เราจะใช้การเ ลือก asset และ strategies ต่อไป 2. Active trading : ใช้เวลาเทรด/ ติดตามต่อวันมาก(อายุมากๆ สุขภาพไม่อำนวยหรือมีครอบคร ัว เริ่มทำให้ work ยากละ) + รอบการเทรดสูง + ระยะการเทรดสั้น + time horizon สั้นปรับตามสถานการณ์ตลาด 3. Automatic/Robot trading : ใช้เวลาติดตามต่อวันน้อย + จำนวนการเทรดสูง + ระยะการเทรดสั้น + payoff สองทาง(ํYiled +Capital gain) + time horizon สั้นปรับตาม risk factor ปัจจุบัน ดังนั้นในพอร์ตที่บริหาร จะจัดสัดส่วนเงินกระจายไปทั ้ง 3 โหมด(สัดส่วนแตกต่างกันตามช ่วง

อิสรภาพทางการเงิน

กระทู้นี้ถามถึงจำนวนเงินเท ่าไหร่ถึงจะมีอิสรภาพทางการ เงิน ไม่ต้องทำงาน มีหลายคอมเมนต์ที่น่าสนใจ แบ่ง 2 แบบหลักๆ 1-ใช้เท่าไหร่เก็บเท่านั้น ถ้าใช้เงินปีละ 500k ประเมินว่าจะใช้ชีวิตอยู่ต่ อหลังหยุดทำงานสัก 20 ปี ก็ต้องมีเงินก้อนสัก 500k*20 = 10 ล้าน >วิธีคิดนี้ตรงไปตรงมาแต่ อันตรายเพราะ ถ้าครบ 20 ปี เงินหมดนี้ปัญหา , อีกประการคือการเก็บเงินก้อ นขนาด 10 ล้านด้วยเงินเดือนระดับพนัก งานทั่วไป โอกาสเกิดจริงไ ม่ง่าย 2-ใช้ประโยชน์จากดอกเบี้ย ความคิดเห็นแบบนี้ สไตล์ให้เงินทำงานแทนเรา แนะนำให้คิดรายจ่ายอนาคต และประเมินย้อนจาก ผลตอบแทนความเสี่ยงต่ำที่ไม ่ทำให้ เงินทุน เงินออมหาย เช่น ถ้าจะใช้ชีวิตปีละ 500k บาท, จากอัตราดอกเบี้ยความเสี่ยง ต่ำ(Risk free rate) 2% จะต้องออมเงินให้ได้ 500k*(100/2) = 25 ล้าน > วิธีนี้ถ้าออมเงินได้ก็สบาย  จะอยู่ต่อไปกี่ปีก็ได้ เพราะเงินจะงอกไปเอง แต่ข้อจำกัด การหาเงินก้อนใหญ่ไม่ง่าย + อัตราดอกเบี้ยต่ำ ถ้าอนาคตเงินเฟ้อสูง ค่าครองชีพแพง โอกาสจะมีเงินพอใช้ก็จะยากข ึ้น สรุป จากผมไล่อ่าน ทั้งสองประเภทขึ้นกับ 4 ปัจจัย ได้แก่ = {รายได้ ,เงินออม ,ค่าใช้จ่าย และผลตอบแทนจากเ

How (NOT) To Predict Stock Prices

การวิเคราะห์ข้อมูล มันมีประโยชน์เสมอ ถ้าเราเข้าใจสิ่งที่ทำ ลองมองกลับมุม แทนจะใช้ Deep learning แบบ LSTM หรือ Variational autoencoder LSTM ไป ทำนายอนาคต ทำนายราคาหุ้น ราคา asset ในภาวะที่เราควบคุมไม่ได้ เพื่อหา upside เปลี่ยนไปใช้ทำนาย / ประเมิน anomaly ใน P/L Timeseries ประเมินระบบ ประเมิน performance ของพอร์ตเพื่อป้องกัน down side แทน (เพราะถ้าถูกเราป้องกันผลกระทบการขาดทุนได้ แต่ถ้าโมเดลผิด เราก็เสมอตัวไม่เสี่ยงเกิน) บทความนี้สรุปดี แทนที่จะไป prediction ค่า value ก็เปลี่ยนไปจำแนก movement แทน(binary classification problem) หรือไม่ก็ทำ ensemble of models แบบหลายโมเดล หลายกลยุทธ์ปรับไปตาม market behavior https://towardsdatascience.com/how-not-to-predict-stock-prices-with-lstms

New Normal ในยุคอัตราดอกเบี้ยติด 0

อ่านกระทู้นี้แล้ว มีหลายคอมเมนต์น่าสนใจ จนอยากเขียนบันทึกเก็บไว้ โดยเฉพาะมุมมองของคนทั้งใช้เวลาทั้งชีวิต ใกล้เกษียณ ทำงานเก็บเงิน 10 ล้าน หวังใช้ชีวิตอยู่จาก fix income ฝากธนาคารรอกินดอกจากเงินก้อนนี้ มาเจอภาวะปัจจุบัน ดอกเบี้ย 0-0.5% (เงินเฟ้อ 2%) ผลตอบแทนจากดอกเบี้ยบนเงินทั้งก้อน 10 ล้าน ยังเท่ากับ ค่าแรงขั้นต่ำรายปี และไม่พอค่าครองชีพในเมืองใหญ่+ค่าหมอค่ายา สรุปคือ มีเงินสด 10 ล้าน ถ้าไม่มี "ระบบ/ความรู้" ที่ขยายให้เงินทำงาน สร้างผลตอบแทนเพื่อเติบโต ไม่นานก็หมดจากการใช้จ่าย(แน่นอนว่ามี service บริการแต่ก็ต้องมีความรู้จะเลือกใช้เช่นกัน เพราะบางโปรดักซ์ผลตอบแทนก็ไม่คุ้มกับค่า fee ที่จ่ายไป) จะเรียกว่า New Normal ในยุคอัตราดอกเบี้ยติด 0 ต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับเงินเฟ้อก็จะมาเงินฝืดก็น่ากลัว(นักเศรษฐศาสตร์อเมริกัน ประเมินความน่าจะเป็น 1-2 ปีว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะเกิดได้ทั้ง inflation และ deflation) การเงินเก็บ อย่างเดียวไม่พอละ ต้องมีความรู้ในการบริหารจัดการเงิน เบื้องต้นด้วย อาจจะไม่ต้องเป็น active trader หรือซีเรียสติดตามข้อมูลข่าวสารทุกวัน แต่อย่างน้อยต้องรู้จักลงทุนเป็น เห็

strategic thinking

strategic thinking คือกระบวนการคิดเชิงกลยุทธ์ เพื่อการวางแผนดำเนินงานหรือแก้ปัญหาให้บรรลุไปตามเป้าหมายบนแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุด พอดีอ่านเรื่องนี้ "How To Master Strategic Thinking Skills" มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณาปัจจุบัน การหัดตั้งคำถามกับตัวเองเพื่อการวางแผนในอนาคต เช่น "ตอนนี้สิ่งที่เราทำ มัน work กับตัวเราหรือไม่" โดยเอา strategic thinking มาประยุกต์ใช้ ถ้าเรากำลังรู้สึก ติดหล่ม หรือ หนักใจไปต่อไม่ถูก เช่น อยากเป็นเทรดเดอร์ เทรดทุกวัน ได้กำไรสลับขาดทุนแต่รู้สึกพอร์ตยังไม่โต กำไรสุทธิต่อปียังไม่พอ ค่าไฟ ลองใช้แนวทาง strategic cycle มาวิเคราะห์ดู เริ่มจาก 1. What : ลอง list สิ่งที่กำลังทำประจำ 5 งานหลัก เพื่อรีวิวแนวทางและกระบวนการที่เราใช้ 2. Why : เขียนลงกระดาษ อธิบายสิ่งที่เราทำด้วยประโยคสั้นๆ Key คือ หาสิ่งที่เราทำแต่ไม่รู้ทำไปทำไม เพราะหลายอย่างเราทำตามคนอื่น โดยที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทำไปทำไม สิ่งพวกนี้อันตรายต้องระวัง 3. Way : ทบทวนสิ่งที่เราทำและแนวทางปฏิบัติว่า มันเป็นทางที่ดีจริงๆหรือไม่ ,ด้านผลดีและผลลบที่เกิดจากการทำมันเหมาะ

Two Sigma Financial Modeling Code Competition

เช้านี้นั่งอ่านบทความหนึ่ง ชื่อ "Two Sigma Financial Modeling Code Competition, 5th Place Winners’ Interview" เขาสัมภาษณ์ผู้ชนะอันดับ 5 ในการแข่งขันรายการ Two Sigma Financial Modeling Challenge รายการนี้แข่งขันปี 2016 -2017 ระยะยาวและ Two Sigma ซึ่งเป็น Quant Fund อันดับต้นของโลกก็จัดรางวัลให้เต็ม รวม $100,000 พร้อมโอกาสร่วมธุรกิจ ทำให้มีคนสนใจแข่งรายการนี้มากพอควรกว่า 2000 ทีม บทความนี้ยาว ผมขอสรุป key สำคัญสั้น สำหรับผมสิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ชนะอันดับ 5 ทีม Bestfitting เขาใช้เทคนิค lag-N features ในการทำ Feature Engineering ของข้อมูล Time Series , การทำ Quant โมเดล เขาเริ่มจากการทดลองสร้าง weak model ออกมาก่อน จากนั้นปรับปรุงเรื่อยๆ ให้ดีขึ้น level ต่อมาเป็น stable model แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้ปรับแบบเปลี่ยนใหม่ แต่เป็นการทำ Ensemble model ซึ่งรองรับความเป็น dynamic ของตลาดไม่ใช่การ prediction แบบโมเดลเดียว fit all , พัฒนา self-adaptive strategy สร้างตัวแปรใช้ปรับการโมเดลแปรผันตาม ค่า market volatile (volatility data) ออกแนวคล้าย reinforcement learning (แต่ไม่ได้สร้างโ