ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Rule 72 กับ Risk management ของระบบเทรด

ขยายความไอเดียที่ แชร์เมื่อคืนในห้องเทรดมือใหม่นะครับ Key สำคัญคือการออกแบบระบบ ที่มันไม่เร่งเกินไป เพื่อให้เราติดกับดักความโลภและการมโนคติ อยากให้ระบบเทพที่แม่นยำสูงๆ กำไรเยอะๆ(สุดท้ายก็ไปแต่งระบบให้สถิติดูดีจน over fitting กับข้อมูลอดีต แต่ใช้จริงไม่รอด) แทนที่จะเร่ง ก็ลองปล่อยให้ระบบมันโตแบบพอดี ผมเลยแนะนำให้ลองนำเอา Rule 72 มาใช้ตั้ง Goal ในการวางแผนระบบ โดย Rule 72 คือแนวทางการประมาณการเพิ่มของเงินต้นเป็น 2 เท่า หรือสร้างผลตอบแทน 100% จากทุนเริ่มต้นที่มี เช่นกรณีนี้ผมตั้งเป้าว่าจะปรับต้นทุนให้เหลือ 0 หรือทำกำไรให้ได้ 100%เพื่อ cover ต้นทุนในการเทรดเริ่มต้นใน 3 ปี ก็ประเมินหา rate of return ที่เหมาะสมได้จาก 72/3 = 24 หรือราวๆ 24% ต่อปี , ตัวเลข Return คาดหวังนี้ก็นำไปใช้ออกแบบ Money management และวางกลยุทธ์ในการเทรดต่อ เช่น ถ้าใช้ leverage 5x , เมื่อเทียบกับการกระจายไปบน asset ที่มี volatility ไม่สูงเกิน 10% ผสม 1-3 ตัวเพื่อลด total risk โอกาสในการทำสำเร็จได้ผลตอบแทนต่อปีตามเป้าก็มีได้จริง โดยไม่ต้องเสี่ยงหมดตัวจากการเร่ง over trading ด้วยการใช้ leverage สูงๆแบบ 50x , 100x ด้วย

The science of technical analysis vs. the art of trading

กำลังเตรียมวัตถุดิบในการเขียนหนังสือเล่มใหม่ เลยกลับไปฟังคลิป chatwithtraders เขานำคุณ Brian Shannon แห่ง Alpha Trends เทรดเดอร์ & นักวิเคราะห์ทางเทคนิค CMT ผู้มีประสบการณ์ในตลาดหุ้นมากกว่า 20 ปี มาพูดคุยหัวข้อ The science of technical analysis vs. the art of trading ผมคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับเทรดเดอร์ทั้งมือใหม่ มือเก่า ผมเลยแชร์โน๊ตสรุปมาให้ครับ 1.เส้นทางการเป็นเทรดเดอร์ -เริ่มต้นสนใจตลาดหุ้นช่วง high school เขาช่วยพ่อหาข้อมูลและนั่งอ่านนิตยสารหุ้นด้วยกัน - ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็มีโอกาสได้เทรดทำกำไรจากตลาดหุ้นได้หลายพันเหรียญ มันยิ่งทำให้เขาอยากศึกษาอยากเรียนรู้เรื่องหุ้นมากขึ้น - เรียนจบมหาวิทยาลัย เขาเลือกทำงานเป็น stock broker ให้กับบริษัทโบรกเกอร์แห่งหนึ่งด้วย ความอยากสัมผัสและเรียนรู้จักตลาดหุ้นมากขึ้น - เป็นตัวแทนซื้อขายหุ้นหลายปีและมีโอกาสย้ายไปทำงานกับโบรกเกอร์ขนาดใหญ่อย่าง leaman brother เขาก็เริ่มหันมาศึกษาเรื่องของกราฟเทคนิคอลจริงจัง - 1998 พอมีโอกาสมาเขาก็เปลี่ยนงานมาเป็น Prop Trader ให้กับ Generic Trading, LLC ในนิวยอร์ค เพราะด้วยต้องการเงินทุนมาเทรด รวมถึงมีการแบ่

Life begins at 40

บันทึกประเด็นสำคัญไว้หน่อย พอดีไปเจอคลิปนี้ของ Professor Mark Jackson เกี่ยวกับ midlife crisis บรรยายไว้น่าสนใจมาก ประเด็นหลักเป็นเรื่องของชีวิตที่ไม่เป็นดังหวัง เมื่อตื่นมาตระหนักได้ตอนช่วง 35-40 ปีก็กลายเป็น midlife crisis ที่เริ่มจาก ปัญหาแรงกดดันจากการงาน,การเงินและครอบครัว , อธิบายสั้นๆเหมือนฉากหนัง ที่ตัวละครวัย 40 ตื่นเช้ามาตระหนัก เบื่อและเหนื่อยกับการทำงานที่ต้องรับผิดชอบปัญหาไปวันๆ(ยากจะก้าวหน้า), ขณะที่ยังมีหนี้บ้าน หนี้บัตรเครดิต หนี้การศึกษา ก้อนใหญ่ต้องผ่อน, เงินเดือนยังไม่พอใช้ ครอบครัว ลูก เมียก็อยู่ไม่สะดวกสะบายหรือดีเหมือนคนอื่น ยิ่งทำงานมากไม่มีเวลาให้ครอบครัว ก็ยิ่งเกิดปัญหา ไม่มีความสุข ติดอยู่กับวังวนเดิมๆ จะทิ้งหรือหนีออกก็ไม่ได้เพราะมีภาระความรับผิดชอบค้ำคอ แต่ก็ไม่มีแรงกระตุ้นอยากเดินหน้าต่อไป สุดท้ายเครียดคิดไม่ตก เหมือนกำลังสูญเสียตัวตนในอดีต ที่เคยโดดเด่น ที่เคยมุ่งมั่นไป (สุดท้ายถ้าแก้ไม่ได้ก็นำพาไปสู่ปัญหาอื่นๆ เช่น เรื่องสุขภาพจิต สุขภาพกาย, ปัญหาการหย่าร้าง ตามมา) ผู้บรรยายชี้ประเด็นหนึ่งน่าคิดเพราะบอกว่า ใครๆตกในภาวะนี้ได้(โดยเฉพาะช่วงวิกฤติเช่นวิกฤต

Delta Neutral ????

  คลิปนี้เป็น lecture เรื่อง Options II ของ MIT สอนโดย prof. Andrew Lo , (จัดว่าเป็นอีกคลิปที่สอนเรื่องเทรด options ดีมากเพราะไม่มโนและเป็นสายอธิบาย math ได้เข้าใจชัดเจนดี) ในภาพนี้กำลังบรรยายเรื่อง option strategies ,มันตรงกับคำถามหนึ่งที่มีคนถามเข้ามาว่า ทำไมไม่ Buy ทั้ง call และ put ที่ stike price เดียวกันหรือใกล้กัน(Delta Neutral) เพื่อหา profit จาก high volatility และดักทั้งทิศทางขึ้นและลงของ ตลาด ถ้ามองในภาพจะเห็นว่า V shape ของ payoff diagram มันมี สามเหลี่ยมเล็กที่สะท้อนถึง cost จากการเปิดสัญญา เอาจริงๆถ้าเคย Buy put options ตอนภาวะความไม่แน่นอนในสภาวะตลาดและทิศทางราคาอนาคต(แบบตอนนี้ทั้งใน stock market หรือ crypto market) ต้องจ่ายค่า premium แพงกว่าปกติเสมอ , ทำให้สุดท้าย ต้นทุนในการทำ กลยุทธ์ call+put นี้อาจจะ ขาดทุน ก็เป็นได้ ดังนั้นถ้าจะทำต้องหา tactic มาเก็บ position ให้ได้ต้นทุนที่เหมาะสม แล้วต้องลองคำนวณต้นทุนในการเทรดดีๆ เพราะการเทรด options มันไม่ง่ายแบบในตำราเสมอไป, (ถ้ามือใหม่ แนะนำลอง buy ใน spot market + buy put options จะทำกลยุทธ์ได้ง่ายกว่า) เรียนรู้เพิ่ม

Shitcoin ของจริง เพื่อสิ่งแวดล้อม

อ่านเจอบทความนี้น่าสนใจดี น่าเป็นอีกไอเดียของการจะทำให้ cryptocurrency เข้ามาช่วยในการลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โมเดลนี้เป็นต้นแบบ พัฒนาโครงการโดย professor Cho Jae-weon, จาก Ulsan National Institute of Science and Technology ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งทีมวิจัยได้สร้าง eco-friendly toilet ชื่อ BeeVi toilet ระบบไม่ใช้น้ำ ใช้ vacuum pump ดูดนำกากของเสียไปเก็บใน ถังเก็บ bioreactor ใต้ดินที่ใช้ในการหมักเพื่อผลิต ก๊าซ methane นำมาใช้ในต่อเป็นพลังงานในการหุงต้มประกอบอาหารได้ ระบบแบบนี้ไม่ได้แปลกใหม่ มีมานาน แต่เพื่อให้เกิดการนำไปใช้ได้ต่อเนื่องและนิยมมากพอ ทางทีมวิจัยนำเทคโนโลยีมาช่วย โดยสร้าง token ชื่อ "Ggool" (ภาษาเกาหลีแปลว่าน้ำผึ้ง) เพื่อใช้เป็น reward สะสมทุกครั้งที่มีการใช้ห้องน้ำ BeeVi toilet ,เฉลี่ย 10 Ggool ต่อวัน นักศึกษาก็สามารถใช้ app บนมือถือในการเก็บ token ใส่ wallet แล้วสะสมนำ Digital Currency ไปแสกน QR code เพื่อซื้อสิ่งของเช่น กาแฟ, บะหมี่ ผลไม้หรือ หนังสือ จากร้านใน Ggool market ของ มหาวิทยาลัยได้ ซึ่งจากการเก็บสำรวจความคิดเห็น ผลตอบรับของนักศึกษาที่ใช้งานห้องน้ำนี้ก็ดีม

Historical Parallels to Today’s Inflationary

วันนี้ผมได้อ่านบทความฉบับหนึ่งจาก blog ของทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ whitehouseCEA เขาเขียนถึงประวัติการเกิด Inflation ไว้น่าสนใจมากและยาวมาก ประเด็น infaltion ที่สหรัฐตอนนี้มีการถกเถียงและวิเคราะห์กันมากและหลากหลาย ในมุมต่างๆ บทความนี้เขียนโดยนักวิชาการสายรัฐบาล แต่ก็มีข้อมูลอดีตที่เขารวบรวมไว้ได้ละเอียดมาก (มากพอกับในหนังสือ Big Debt Crises ของ Ray Dalio เลย) รายละเอียดเยอะมากไม่ขอแปลทั้งหมด แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงในอดีตตั้งแต่หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 บทความนี้นำเสนอมีทั้งหมด 6 episode หลายครั้งเกิดจากเหตุไม่ปกติของ supply ในระบบ (Supply chain disruption) และโยงไปกับต้นทุนการผลิตเช่น ภาวะราคาน้ำมัน ที่สูงจากการขาดแคลนเป็นต้น รวมถึงการเกิดสงครามใหญ่ เช่นสงครามเกาหลี, สงครามอิรักบุกคูเวต เป็นต้น Episode ล่าสุดที่ระดับ CPI ขึ้นมาถึง 5% เป็นช่วงปี 2008 ที่มีการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน แบบฉับพลันจาก $70 ไปจุดสูงสุด $140 ในเวลา 2 เดือนเท่านั้น ซึ่งสาเหตุต่างๆทำให้เกิด demand and supply chain disruptions ที่รุนแรงและมีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ CPI พุ่ง

Ethereum Upgrades Could Jumpstart $40 Billion Staking Industry

  Bitcoin & Altcoin Market crash รอบที่ผ่าน(May 2021) และหลังจากนั้น story หลักหนึ่งที่กดดันอารมณ์ตลาด คือเรื่องของการสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า กระทบสิ่งแวดล้อม(จุดประเด็นโดยท่าน elon musk), การปิดเหมือง Bitcoin Mining ในจีน ซึ่งประเด็นหลักโยงไปกลุ่ม proof-of-work มาสัปดาห์นี้หลังราคา cryptocurrency หลายตัว พักตัวใน zone รับยืนระยะได้ ก็มี story เชิงบวกออกมาเรื่อยๆ ที่เรียกว่าเป็นเชิง solution อันนี้ดูจะเป็นประเด็นใหญ่ช่วงนี้คือพี่ใหญ่แบบ JPM ออกมาให้ข่าวว่า Staking คือสิ่งใหม่ ที่ดึงดูดเงินนักลงทุนรายย่อยและสถาบัน ให้เข้ามาลงทุน เพื่อรับ reward ผลตอบแทน ในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ โดย JPM ชูประเด็น Ethereum 2.0 ที่กำลังจะมาถึงในช่วงปลายปีกับการอัพเกรดเปลี่ยนไปเป็น proof-of-stake ซึ่งเมื่อพี่ใหญ่อันดับ 2 ของตลาดคริปโต หันมา staking มันย่อมขับ demand ของ ETH ให้เพิ่ม(ราคา ETH ยืนเหนือ $2000 หลังลงไป $1700) รวมไปถึงจะดึงดูดให้ นักลงทุนเข้าร่วม staking เพื่อรับผลตอบแทน ผ่าน staking pool หรือรายใหญ่เข้ามาเป็น validator node นักวิเคราะห์ JPM ให้ข้อมูลในรายงานว่าปัจจุบันการลงทุนเพื่อ St

Improving Your Trading Consistency

วันนี้นั่งฟังรายการ Three Minute Trading Coach ของคุณ Brett Steenbarger เขาแนะนำเรื่องของ Trading Consistency การตัดสินใจเทรดได้ดีและต่อเนื่อง จากมุมมองของนักจิตวิทยา โดยสรุป Dr. Steenbarger บอกว่าให้เริ่มจากการรับรู้(Observation) ข้อมูล,รับรู้สภาวะของ Market เพื่อทำความเข้าใจรูปแบบของพฤติกรรมตลาด(Pattern) ที่เกิด , ส่วนใหญ่ก่อนในวันเริ่มเทรด เขาพยายามศึกษา ทำความเข้าใจ เช่นการมองการเคลื่อนที่ของราคา(Price Movement & Trend), กรอบราคาและการ Breakout สุดท้ายมองหาแนวราคาที่อาจจะเกิดการกลับตัว(Reversal) ซึ่งรูปแบบ ในภาวะตลาดจะเกิดแตกต่างกันไป Key สำคัญเพื่อให้เกิดการเทรดได้ดีและต่อเนื่อง คุณ Steenbarger เขาเน้นการเปิดใจ(open mind) เพื่อเข้าใจสิ่งที่เกิดจริง(Reality) ก่อน ที่จะไปตั้งธงมี Bias โดยจดจ่อกับกำไรหรือขาดทุนอย่างเดียว เพราะการมองแค่ผลกำไรหรือกลัว กังวลกับการขาดทุน จะทำให้ไม่สามารถมองเห็นภาพที่ควรเป็นจริง ได้ครบหรือดีเพียงพอ ยิ่งทำมากๆจะสะสมเป็นประสบการณ์ , การเข้าใจตลาดที่ดีจะทำให้เราตัดสินใจแบบ Real time ได้ดี , ซึ่งดีกว่าการตั้งฤธง หรือไปตั้งเป้าการทำนายว่า วันนี้ราคาจะต้อ

Global Inflation Data

  สินทรัพย์พวกปกป้องเงินเฟ้อเข้าภาวะขยับและทรงกันมาสักระยะ โดยเฉพาะทองคำค้างในโซน 1780 จากสัปดาห์ที่แล้ว สัปดาห์นี้ยังนิ่งอยู่ ในตลาดสหรัฐ ประเด็นเงินเฟ้อก็เป็นประเด็นใหญ่ ที่ทั้งสื่่อและนวค. กำลังพูดถึง โดยเฉพาะตัวเลขระดับ 5% ที่น่าจะมาถึง ล่าสุดมีอดีต รมค.คลังอย่างคุณ ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส ออกมาให้ความคิดเห็นเงินเฟ้อว่าปีนี้ ปลายปีโอกาสไป 5% เช่นเดียวกันการน่าจะได้เห็นทิศทางของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐในแนวโน้มขาขึ้น เขามองว่าตลาดการเงินอาจจะปั่นป่วนได้เช่นกัน ออกมาตรงข้ามกับนักเศรษฐศาสตร์ และกูรูหลายท่าน เช่น คุณ เจเน็ต เยลเลน ที่ว่าน่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อชั่วคราว ไม่นานก็ผ่านไปเข้าภาวะปกติ ภาพข้อมูลจากคุณ charlie bilello ข้อมูลเงินเฟ้อ CPI(%YoY)แต่ละประเทศ เราจะเห็นความแตกต่างค่อนข้างมากทีเดียว ต่ำสุดเป็น ญีุ่ปุ่น -0.01% (ถึงติดลบเลย) ใครจะไปคิดว่าปีนี้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเท่าไหร่แบบที่หวังเมือ 4 ปีก่อนเมื่อโดน covid เข้าไป ส่วนสิงค์โปรใกล้บ้านเรา อยู่ที่ 2.4%, ฟิลิปินที่ 4.5% ส่วนสหรัฐนี้พุ่งไป 5% ขยายตัวแรงมากจากหลังช่วงเปิดเศรษฐกิจรอบใ

Age of Samurai

  วันนี้มีโอกาสได้ดูซีรีย์เรื่อง Age of Samurai ทาง Netflix ต้องเรียกว่าเป็นอีกหนังซามูไร ที่ดีและน่าสนใจมาก เรื่องหนึ่ง ดูเรื่องนี้จบทำให้เข้าใจถึงการต่อสู่ แย้งชิงอำนาจในช่วง 1568-1603 ยุคโมโมยามะถึงต้นยุคเอโดะ ของญุี่ปุ่น แต่อดเศร้าใจและสงสารประชาชนไม่ได้ ถ้าไม่ถูกบังคับให้ทำนา ส่งส่วยส่งเสบียงสำหรับเจ้าตระกูลจนไม่มีจะกิน, ก็ต้องโดนเกณฑ์ไปเป็นทาสหรือเบี้ย เพื่อรบแนวหน้า ในสงครามแย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูลแบบไม่รู้จบ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นไดเมียวคนไหนก็เลว โหดร้าย และหวังจะเอาชนะเพื่อแสวงหาอำนาจไม่แพ้กัน โอดะ โนบูนางะ นี้โหดเหี้ยม หวังรวมประเทศปราบไดเมียวทำสงครามเป็นว่าเล่น จุดจบตายไม่สวยโดนหักหลัง พอมายุคโทโยโตมิ ฮิเดโยชิ ซามูไร ขุนศึกมือขวาของ โนบูนางะ ที่ก้าวมาจากศูนย์ชนชั้นชาวนา ล้างแค้นแทนเจ้านายและขึ้นครองอำนาจต่อประเทศ ทำสงครามปราบกบฏหลายปี จนเหมือนประเทศจะสงบไม่ต้องรบกันเอง แต่ก็ต้องมาทำสงครามกับต่างชาติอย่าง จีน และเกาหลี เพียงเพราะ ฮิเดโยชิ จิตไม่ปกติ ฟุ่งซ่านอยากเป็นใหญ่เหนืออาณาจักรอื่นๆ ทำเอาคนต้องล้มตายไปมากมายและเผชิญกับความผ่ายแพ้อย่างย่อยยับ จุดจบช่วงสุดท้าย Age of Samurai

THE NEXT LEG OF THIS BULL MARKET

  S&P500 ล่าสุดนี้ recover กลับมาได้เกือบหมด หลังจากลงไปช่วงต้นสัปดาห์กับความกังวลจากเงินเฟ้อและนโยบายของ Fed , ล่าสุดมีหลายบทความ ที่กูรูต่างประเทศเขียนถึง การปรับเพิ่มขึ้นของ ตลาดหุ้นสหรัฐ ในอนาคต ว่าจะสามารถไปต่อได้หรือไม่ ? มีบทความหนึ่งน่าสนใจชื่อ THE NEXT LEG OF THIS BULL MARKET , ของคุณ Ted Lamade โดยสรุปเขามองว่าการขับเคลื่อนตลาดขาขึ้นในอนาคตยังเกิดได้ ในลักษณะบริษัทต่างๆที่นำเอา Technology มาใช้ใน2-3 ปีข้างหน้า น่าจะเพิ่ม productivity และลดต้นทุนการผลิต ตามมาด้วยการเพิ่มของรายได้ และกำไร ของบริษัท แต่มุมมองของคุณ Ted ต่างจากคนอื่นนิดตรงไม่ได้มองว่ากลุ่ม Tech ยังคงเป็นตัวจักรสำคัญ ในการเพิ่มของราคา, แต่เขามองหุ้นกลุ่ม value stocks ที่ปรับเปลี่ยนเอา technology มาใช้ในการทำธุรกิจแล้วสำเร็จ(leverage ด้วยเทคโนโลยี) จะกลายเป็นหุ้นขยายมูลค่าและเป็นตัวนำในตลาด Bull market รอบใหม่ โดยเขายังเชื่อว่าแรงส่งจาก economic growth, อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น, และการอ่อนค่าของ USD จะยิ่งช่วยทำให้หุ้นเหล่านี้เติบโตมากไปอีก สุดท้ายคงต้องติดตามกันต่อไปครับ อ่านฉบับเต็ม https://tedlamade.substack.co

Financial Independence, Retire Early (FIRE)

  พอดีมีโอกาสได้ทำโปรเจคกับรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาเพิ่งจบ ป.โท จากอเมริกามา น้องคนนี้พอรู้ว่าสนใจเรื่องการลงทุนเหมือนกัน เจอกันทีก็คุยกันยาว เพราะเขาเป็นสาย FIRE เจ้าตัวบอกเลยถ้าเกษียณได้ก่อน 40 จะดีใจกว่าจบ ป เอก 3 ปีอีก, ระหว่างอยู่อเมริกาน้องเขาไปร่วม club ด้าน FIRE ทำให้เขาสนใจมา จากการนั่งคุยกันทำให้มีหลายประเด็นที่ผมสนใจ และลองกลับมาศึกษาเพิ่ม(ตอนแรกที่ได้รู้จัก FIRE ไม่ค่อยอินเท่าไหร่เพราะมันทำยาก) Financial Independence, Retire Early เกิดมานานแล้วจากหนังสือ "Your Money or Your Life แต่มาฮิตหลังซับไพร์มโดยเฉพาะ 4-5 ปีก่อนโด่งดังมากในโลกออนไลน์ และมีคนสนใจเยอะด้วย ประเด็นหลักถ้าจำกันได้คือเรื่อง latte factor นั้นเอง ซึ่งหลายคนมองว่าแนวคิดนี้ดีน่าสนใจ บ้างก็ว่ามันสุดโต่งและทำได้ยาก แต่ปัจจุบัน FIRE มีหลายสายมาก เช่น Fat FIRE,Lean FIRE,Barista FIRE, Coast FIRE ไม่จำเป็นต้องสุดโต่งแบบเก็บเงินเพื่อลงทุน 50%-70% ของรายรับทุกเดือน เพื่อให้ได้เงินล้านและรีบเกษียณก่อนอายุ 30 ปี อีกอย่างปัจจุบัน FIRE เริ่มเข้าใจเรื่อง DCA effect ตอนขายหุ้นมากขึ้น, รวมถึงนำค่าเงินเฟ้อไปปรับค่าเป้าหม

How To Keep Your Passion For Trading Alive

พอดีวันนี้อ่าน mail มีน้องคนหนึ่งถามเรื่อง หมดไฟ เข้ามาน้องบ่นให้ฟังเรื่องผลการเทรดที่ไม่ดี ขาดทุนบ่อยจนท้อ บวกแรงกดดันจากทางบ้าน ทำให้ทุกอย่างมันดูแย่ไปหมด คลิปนี้ของ Brett Steenbarger แนะนำหัวข้อนี้ไว้ คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับหลายคนเลยอยากนำบทสรุปภาษาไทยสั้นๆมาแชร์ไว้ โดยคุณ Steenbarger วิเคราะห์ปัญหาของการหมดไฟ ของเทรดเดอร์นั้นมักมาจากเมื่อขาดทุน บ่อยๆ กำไรไม่มากพอ ไม่เหมือนที่คาดหวังไว้ (expectation) ยิ่งเจอภาวะตลาดผันผวนเปลี่ยนไปมา เคยทำกำไรได้กลายเป็นขาดทุน กำไรหายทุนหมด หมดไฟไปในที่สุด ซึ่งปัญหาหนึ่งคือ เทรดเดอร์เริ่มต้นจาก ภาพ fantacy ที่ตัวเองคาดหวัง ภาพของการทำเงินได้เยอะๆตามที่เห็นในสื่อในโลกออนไลน์ ทำให้หลุด จากความเป็นจริง(Reality) จนมองข้ามงานหนักที่ต้องทำและกระบวนการเรียนรู้(learning curve) ในสนามจริงเพื่อพัฒนาทักษะ สะสมประสบการณ์ก่อนก้าวข้ามไปถึง จุดทำกำไรได้ต่อเนื่อง และอยู่รอดในตลาดอย่างแท้จริง โดยคุณ Steenbarger ได้ให้คำแนะนำ 3 ข้อสำหรับการรักษา passion ในการเทรดไว้ ดังนี้ 1. ค้นคว้ามั่นเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หัดสร้างตัวเองให้กล้าทดลอง ทำสิ่งใหม่ๆ มองหาโอกาส เรียนรู้

Zero cost position tactic

  ผมเคยอธิบายเทคนิคการปรับต้นทุน การขายทำกำไรลดต้นทุนการถือสถานะเพื่อลดผลกระทบที่เกิดจาก market volatility หรือการทำ Zero cost position ให้ฟังบ่อยๆ วันนี้ผมมีคลิปหนึ่งเอามาให้ดูเป็นเทคนิคของนักลงทุนระยะยาวชื่อคุณ Mark Meldrum (คนเก่ง Finance ใครที่สอบ CFA น่าจะเคยตามหรือดูคลิปช่องของเขา) รายละเอียดมีพอควรแต่ผมจะมาสรุป Key สำคัญให้ฟัง 1. การเทรด spot หรือสินค้าแบบหุ้น(ที่ดี) ไม่ใช่ leverage ได้เปรียบเรื่อง "เวลา" ซึ่งเอามาหาประโยชน์จาก volatility ที่เกิดในตลาดได้ 2. Volatility เกิดจากความอ่อนไหว จากปัจจัยเสี่ยงภายนอก(เศรษฐกิจ+ข่าว+ผลประกอบการ) ของผู้เล่นในตลาด(รายใหญ่,รายย่อย) โดยเฉพาะสายที่ margin trading, long + leverage หรือ long short strategies ที่ต้องเทรดไปตามภาวะตลาดระยะสั้นที่เกิด (โดยเฉพาะภาวะตลาดผันผวนมากๆ ยิ่งทำให้เกิดพลวัตรตลาดมากตาม เช่นจากการ sell off หรือการ deleverage) 3. แรงขับระยะยาวมาจาก นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ ที่มีเป้าหมาย long bias (บางช่วงเวลาอาจจะมีการลดสถานะได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการ long ใน investment time horizon ระยะยาว) มาร์คมองว่าความน่าจะเป็น