ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Fund flow#2 : พฤติกรรมของกระแสเงินต่างชาติ

เมื่ออาทิตย์ก่อนเปิดประเด็นเรื่องของ Fund flow ตอนที่ 1 ทิ้งไว้หลายคนให้ความสนใจ วันนี้ขอมาต่อประเด็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมและบทบาทของกระแสเงินต่างชาติ ซึ่งต้องขอออกตัวไว้ว่าสิ่งที่ผมเขียนเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาและสังเกตจากประสบการณ์ของตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง   แน่นอนว่าอนาคตอาจจะมีการแปลงได้ตามสภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกแต่พื้นฐานและแนวคิดหลักส่วนใหญ่จะไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่ผมจะเขียนเพื่อจะให้เป็นแนวคิดในการมองปริมาณการซื้อขายต่างชาติในอีกมุมหนึ่ง เพื่อผู้อ่านนำไปศึกษาต่อและปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ในการลงทุนต่อไป ความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นไทย ปกติถ้าเราดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันของต่างชาติ เราอาจจะมองไม่เห็นความสัมพันธ์โดยตรงแบบที่หลายคนพยายามเอาไปเปรียบเทียบ ว่าถ้าต่างชาติซื้อสุทธิ ตลาดหุ้นจะเขียว หรือถ้าต่างชาติขายสุทธิ ดัชนีตลาดหุ้นจะแดงติดลบ การดูยอดการซื้อขายสุทธิในแต่ละวันอาจจะทำให้เรามองไม่เห็นภาพใหญ่ ของพฤติกรรมของกระแสเงินต่างชาติ แต่ถ้าเรามอง ปริมาณการซื้อขายสะสม(Accumulated Foreign Flow)  ในคาบเวลา เราจะพบว่ามันมีทิศทางและมีแนวโน้มที่ชัดเจน ต่างจากยอดสุทธิในแต่ละวันที่วันนี้ซ

Georgia Anderson:นางฟ้า forex

วันนี้ก่อนตลาดเปิดโทรคุยเรื่องกลยุทธและมุมมองกับเพื่อนๆในกลุ่ม มีประเด็นสนุกๆให้นำมาคิดต่อนั้นคือ "ผู้หญิงกับผู้ชายใครเล่นหุ้นเก่งกว่ากัน" อ้า!!! มันเหมือนปัญหาโลกแตกเช่นเดียวกับ ไก่กับไข่อะไรเกิดก่อนกัน เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่สามารถวัดได้ในเชิงปริมาณที่ชัดเจน ซึ่งมันสามารถมองคิดคำตอบได้หลากหลายมุม หลายหลายเหตุผลที่นำมาสนับสนุนความคิดของแต่ละคน ไม่ได้นำประเด็นนี้มาเขียนครับ เพราะตัวผมเองก็ไม่กล้าสรุปว่าเพศไหนเก่งกว่ากันในเกมส์หุ้นเก็งกำไร มันยากที่จะวิเคราะห์หรือตอบคำถามนี้ แต่วันศุกร์สบายๆเลยจะขอเขียนเรื่องเบาๆคือนำเอาตัวอย่างผู้หญิงสวย เซ็กซี่ ที่มีชื่อเสียงในกลุ่มนักเก็งกำไร มาแนะนำ สาวคนนี้อาจจะไม่ใช่เซียน ไม่ใช่กูรู แต่เธอเป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะกิติศัพท์เรื่องความสวยความงามและความเซ็กซี่ เรียกว่านำหน้าตามาทำการตลาด เพื่อสร้างมูลค่าให้กับตนเองได้ด้วย Georgia Menini Anderson  สาวคนที่ผมจะเขียนถึงเธอชื่อ  Georgia Menini Anderson เธอคนนี้เคยเป็นนางแบบ  เธอจบกฏหมายจาก University of Pisa ประเทศอิตาลี   ประวัติในแวดวงการเงินและการลงทุน เธอทำงานเป็นโบรกเกอร์ futures และ forex แบบม

Naked Trading

Naked Trading คำนี้หลายคนฟังแล้วอาจจะจั๊กกะจี้ คิดลึกว่ามันหมายถึงการไม่ใส่เสื้อผ้านั่งเทรดหุ้นอยู่ในห้องหรือเปล่า ต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ครับ แต่คำนี้หมายถึงวิถี หรือรูปแบบของการเทรด ที่เปลือยเปล่า เน้นไปที่ชาร์ตแท่งเทียนหรือชาร์ตราคาหุ้นและปริมาณซื้อขาย เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความลุ่มลึกของการวิเคราะห์และตีความ เทรดเดอร์สไตล์  Naked Trading เป็นกลุ่มที่เทรดหุ้น เทรดอนุพันธ์ด้วยการใช้การวิเคราะห์ราคาและปริมาณการซื้อขาย โดยไม่ได้ใช้เครื่องมือทางคณิตศาสตร์ประเภทดัชนีราคา หรือ indicator ต่างๆ โดยมองว่าเครื่องมือเหล่านั้นมัน laggard และให้สัญญาณหลังจาก Price Action ไปแล้ว โดยพวกนี้จะมีแนวคิดที่แตกต่างจาก Momentum Trading หรือ Trend Follower ที่มองการเกิดแบบต่อเนื่องและเข้าตามแนวโน้ม สไตล์ Naked Trading ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การเล่นระยะสั้น เล่นรอบสั้น(บางส่วนก็เล่นยาวแต่จะไม่ pure naked trading) โดย จะเข้าไปเล่นกับการแกว่งของราคา ใช้กลยุทธการเทรดแบบสะสมเหรียญ (Collect Coin) ทำกำไรครั้งละไม่มากแต่เน้นความถี่ของการเข้าออก ด้วยเครื่องมือที่พวกนี้ใช้การพิจารณาการเกิดของราคาปัจจุบัน และตีความแบบความ

"การศึกษา" คือการลงทุนระยะยาว

เมื่อเช้าไปคุยงานกับรุ่นพี่คนหนึ่ง เสร็จแล้วเลยมีโอกาสคุยเรื่องสัพเพเหระ เลยไปจนถึงเรื่องครอบครัว มีประเด็นหนึ่งผมติดใจแล้วอยากนำมาเล่าต่อนั้นคือเรื่องการศึกษาของลูก สิ่งผมติดใจคือ ไม่น่าเชื่อว่าค่าเทอม์ของเด็กอนุบาลในโรงเรียนเอกชนสมัยนี้เทอมหนึ่งเกือบ 4.5 หมื่นบาท ไม่รวมค่ากิจกรรมพิเศษรายทาง เลยทำให้ย้อมกลับไปคิดถึงว่า กว่าคนเราจะเรียนจบทำงานพ่อแม่เราลงทุนไปกับค่าการศึกษาไปเท่าไหร่  ตัวผมค่อนข้างโชคดีนิดๆเพราะเรียนโรงเรียนของรัฐบาล จบมหาวิทยาลัยรัฐบาลมาตลอดเลย น่าจะถูกกว่าเด็กสมัยนี้ที่ ทัศนคติ ค่านิยมของผู้ปกครองชนชั้นกลางที่มีกำลังจ่ายมองว่าโรงเรียนรัฐบาล(อนุบาล ประถม มัธยม) นั้นด้อยกว่าโรงเรียนเอกชน ทำให้เป็นภาระหนักในการต้องลงทุนเพื่อการศึกษาให้กับลูก จริงๆแล้วต้นทุนการศึกษาที่ต้องจ่ายของแต่ละคนคงไม่เท่ากัน(ไม่นับรวมต้นแฝงอื่นๆ) แต่ถ้าดูตามตัวเลขโดยเฉลี่ยที่ ตั้งแต่ประถม มัธถม ปริญญาตรี แบบปกติธรรมดาก็น่าจะตกราวๆ 500,000 - 1,000,000 บาทแบบธรรมดาไม่รวมคนที่จบมหาวิทยาลัยเอกชน หรือโรงเรียนเอกชน แบบนั้นคงแพงขึ้นไปอีกมากมาย ต้นทุนเหล่านี้ทำให้เรามีวันนี้ มีงาน มีอาชีพ และเมื่อเราเริ่มม

Fund flow#1 : ความสำคัญของกระแสเงินต่างชาติ

ทำไมต้องสนใจกระแสเงินต่างชาติ??? คำตอบคือเพราะกระแสเงินต่างจากชาติหรือ  Fund Flow  มีบทบาทอย่างมากต่อการเกิดแนวโน้มของราคาหุ้นขนาดใหญ่และส่งผลโดยตรงต่อแนวโน้มของดัชนี ซึ่งมีแนวความคิดที่ว่ากระแสเงินนี้สามารถชักนำการเปลี่ยนแปลงดัชนีตลาดหุ้นได้  ซึ่งความเป็นจริงเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติในแต่ละวันก็อาจจะน้อยกว่าเม็ดเงินของรายย่อยในประเทศรวมกันก็เป็นได้ แต่ด้วยพฤติกรรมของรายย่อยที่ส่วนมากจะเป็นรูปแบบการเก็งกำไร ซื้อขายระยะสั้นทำให้อาจจะไม่มีผลโดยตรงต่อดัชนีตลาด เฉกเช่นกับกระแสเงินจากต่างชาติ ที่มีขนาดใหญ่และมีความต่อเนื่อง สะสมในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ดังนั้นเจ้า  Fund Flow เลยมีนัยยะสำคัญโดยตรงต่อทิศทางแนวโน้มของตลาดหุ้น  การสังเกตและวิเคราะห์ Fund flow ของต่างชาติ เพื่อดูทิศทางของตลาดเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง หนึ่งที่เทรดเดอร์สาย momentum หรือ Trend following จำเป็นจะต้องเรียนรู้ไว้ เพราะราคาหุ้นเองจะเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงได้นั้น จำเป็นต้องมีเม็ดเงินขนาดใหญ่เข้ามาซื้อ โดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ใน SET50 BigCap ที่เป็นที่นิยม(เพราะมีสภาพคล่องสูง+มีความมั่นคง)ในการลงทุนของต่างชาติทั้งที่เป็นกองทุนเก็งกำไร

เรียนรู้การวิเคราะห์เทคนิคอล ด้วย Chartgame

ข้อดีอย่างหนึ่งของการได้ทำเว็บไซต์นี้เพื่อได้แบ่งปันเรื่องราวความรู้ๆต่างๆออกสู่สังคมนักลงทุน ทำให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน หลายเรื่องที่ผมเองเขียนออกไปแล้วมี feedback กลับเข้ามาที่ทั้งการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแนะนำ และติชม ทั้งทาง email และทางหน้า fanpage นั้นเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดในการทำเว็บไซต์นี้ การที่ได้เขียนได้ถ่ายทอดเรื่องเทคนิคและองค์ความรู้ต่างๆ มันทำให้ผมพร้อมที่จะเปิดรับและเรียนรู้อะไรใหม่ๆเพิ่มเติมตลอดเวลา ทำให้ไม่ติดกับก้อนความรู้ที่ตัวเองได้ศึกษามาก่อนหน้า ผมเองก็ได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากเพื่อนๆสมาชิก อย่างเช่นเรื่องราวที่นำมาเสนอวันนี้ วันนี้ขอเขียนถึง Chartgame เป็นโปรแกรมที่คุณ @Afivesix Cgsteam เพื่อนสมาชิกแนะนำเข้ามาทาง fanpage ซึ่งเป็นโปรแกรมที่มีประโยชน์ในการเรียนรู้เทคนิคอลมาก หลังจากได้ทดลองเล่นอยู่  หลายชั่วโมง รุ่งเช้าผมจึงได้นำมาเขียนรีวิว วิธีการเล่นเบื้องต้นให้เพื่อนๆอ่าน เพื่อที่จะได้ทดลองใช้และศึกษาต่อไป  Chartgame  เป็นโปรแกรมจำลองการซื้อขายหุ้น ที่ทำให้เราได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค(Technical analysis) โดยใช้ข้อมูลหุ้น bigcap ใน

SET@28-06-2012

บันทึกสภาวะตลาดหุ้น รวบรวมข้อมูลกราฟดัชนี ปริมาณการซื้อขายประจำวันที่ 28-06-2012 ตลาดหุ้นไทย ปิดบวก 5.34 จุดที่ 1171.32 ในช่วงเช้า volume ค่อนข้างบางเบา หลังจากเปิด GAP จากราคาปิดเมื่อวาน  ภาคบ่ายมา เริ่มคึกคักไม่แพ้การแข่งขันวอลเลย์บอลของทีมสาวไทยกับสาวอเมริกัน มีแรงขายเริ่มต้นกดดัชนีลงไปที่ 1160.75 ลบไปเกือบ 7 จุดทำเอาเสียว แต่แล้วก็กลับมีแรงซื้อต่อเนื่องเกือบ 1 ชั่วโมง ลากดัชนีขึ้นมาทำบวกทำจุดสูงสุดที่ 1178 ก่อนจะย่อตัวลงปิดที่ 1171.32  กราฟ 30 นาทียังแจ่ม ราคากลับมายืนเหนือเส้น EMA15 แบบ bullish หลังจากลงไปปิด GAP ช่วงเช้าแถว 1165 จากนั้นเด้งต่อเนื่อง ความชันของเส้น EMA15 ยังเป็นบวกต่อเนื่องวันที่ 3 ค่า MACD อยู่ใน zone บวกแต่เริ่มชะลอตัว ครึ่งชัวโมงท้ายก่อนปิดตลาดมีแรงขายเข้ามาทำให้ปิดแท่งแดง พรุ่งนี้ลุ้นแนวต้าน 1175 และ 1180 มีแนวรับ 1160  ภาพรวมกราฟ Day ยกตัวราคาปิดเหนือเส้น EMA15 แต่ยังแกว่งกรอบ 1143 - 1180 MACD อยู่ใน zone บวก ปลายเส้นเริ่มผงกหัว เส้นมีความชันมากขึ้น กราฟซื้อสะสมของต่างชาติความชันยังเป็นลบแต่เริ่มมีการชะลอการลงและยกตัวทดสอบเส้น EMA10 วันนี้ฝรั่งต่างชาติกลับมาซ

ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory)

เคยได้ยินคำกล่าวของนักลงทุนรุ่นแรกที่ว่า "ถ้าจะเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้นั้น จำเป็นต้องใช้สัญชาติญาณ" เพราะสัญชาติญาณ เป็นตัวที่บอกเราว่าเมื่อไหร่ไม่น่าวางใจ เมื่อไหร่ที่อันตรายหรือ เมื่อไหร่ที่โอกาสดี แต่ทว่าสัญชาติญาณนั้นไม่ได้เกิดจากการเสียเงินไปอบรม หรือสามารถซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็จะมี แต่สัญชาติญาณเกิดจากการการสั่งสมชั่วโมงบิน หรือสะสมประสบการณ์ในตลาดหุ้น  การจะวัดว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง นั้นไม่ได้ดูที่การพูด ดูที่การนำเสนอตัวเอง ของคนนั้น จริงๆแล้วต้องดูที่ประสบการณ์ ชั่วโมงบิน ซึ่งความรู้และประสบการณ์มันจะตกผลึก ออกมาเป็นวิธีคิดและทัศนคติ มันจะฉายแสงความโดดเด่นหรือความสามารถของตัวตนออกมา เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเพิ่งหัดเล่นหุ้นได้ 1 ปีจะเก่งกว่าคนที่เล่นหุ้นทุกวัน 10 ปี ต่อให้ไอคิว 180 จะเป็นอัจริยะ จบดร. จบเมืองนอกหรืออะไรก็ตาม การเอาตัวรอดของมือใหม่ที่เพิ่งเขามาในสนามนี้ยังไงเสียก็ยังไม่ครบถ้วน ที่สำคัญยังถูกหลอก ถูกชักจูงด้วยกลวิธีต่างๆในตลาดหุ้น  ทฤษฏีหนึ่งที่ทำให้แมงเม่า โดยเฉพาะมือใหม่ขาดทุนมากๆนั้นคือ ทฤษฏีกบต้ม รูปแบบการทำให้ดูเหมือนจะช่วยเหลือ แต่เอาเปรียบ ดูเหมือนก

SET@26-06-2012

บันทึกสภาวะตลาดหุ้น รวบรวมข้อมูลกราฟดัชนี ปริมาณการซื้อขายประจำวันที่ 26-06-2012 ตลาดหุ้นไทย ปิดบวก 3.66 จุดที่ 1151.09 ในช่วงเช้า volume ค่อนข้างบางเบา ช่วงบ่ายมีแรงซื้อเข้ามาลากดัชนีให้ยกตัวขึ้น และถูกเทขายหลังปิดตลาด ภาพรวมยังดูชะลอตัวแกว่งแถว 1150  กราฟ 30 นาทีแสดงการแกว่งตัวในกรอบ sideway โดยดัชนีอยู่ในกรอบเดิมแถว 1160 - 1146 ราคาปิดเลี้ยงตัวไม่หลุด เส้นค่าเฉลี่ย EMA20 ได้ ครึ่งชั่วโมงท้ายของวันมีแรงซื้อเข้ามาสนับสนุน ยกดัชนีปิดเหนือ 1150 กราฟ Day ดัชนียังแกว่งตัวแคบในกรอบ  แนวรับ 1143 ซึ่งเป็นแนว GAP ก่อนหน้า เส้น EMA 15 ความชันต่ำ นอนนิ่ง แท่งเทียนสั้น ราคาปิด ยังอยู่ต่ำแนวเส้น EMA15 และ AVGHL ตัด EMA15  ค่า MACD มีแนวโน้มความชัดลดลง โดยค่า Histogram เข้าใกล้ 0  บ่งบอกการแกว่งตัวแคบย่อลง(sideway down) มีแนวต้านแรกที่ 1160 แนวรับที่ 1143 กราฟการซื้อสะสมของต่างชาติความชันยังเป็นลบ ทิศทางแนวโน้มขาลงต่อเนื่อง 33 วันนี้ฝรั่งต่างชาติขายสุทธิ -922.9 ลบ.

Average Directional Index (ADX)

ตลาดซึมๆไซด์ๆ ไร้แนวโน้มที่ชัดเจนแบบนี้ คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีเครื่องมือที่สามารถจับกำลังของแนวโน้ม เพื่อนิยาม ความชัดเจนและแข็งแรงของแนวโน้มราคาหุ้นได้ วันนี้ผมจึงขอมาเขียนถึงเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค ดัชนีราคา ที่ชื่อ Average Directional Index (ADX) ดัชนีราคาตัวนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยม ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพดี สามารถใช้งานได้ทั้งกรอบเวลาเล็กและใหญ่ เป็นเครื่องมือคู่ใจเทรดเดอร์หลายคน Average Directional Index (ADX) พัฒนาโดยคุณ Welles Wilder ตั้งยุคก่อนจะมีคอมพิวเตอร์เสียอีก ADX เป็นเครื่องมือสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิคอีกตัวที่นิยมใช้เพื่อวัดความแข็งแรงของแนวโน้ม ในระยะเล็ก กลาง ใหญ่ โดยเป็นการเฉลี่ยค่าของ Directional Movement Index(DI) ถ้าจะให้เข้าใจต้องลองเจาะลึกถึงสูตรสมการ โดย DM(Directional Movement) จะเป็นโมเดลคณิตศาสตร์ที่คำนวณจาก การเปรียบเทียบช่วงราคาสูงสุดต่ำสุดของปัจจุบัน(T) และช่วงราคาสูงสุดต่ำสุดของเวลาก่อนหน้า(T-1) โดยถ้า DM เป็นบวก(+DM)แสดงว่า ราคาของปัจจุบันสูงขึ้นกว่าราคาของช่วงเวลาก่อนหน้า และถ้า DM เป็นลบ(-DM)แสดงว่า ราคาของปัจจุบันสูงขึ้นกว่าราคาของช่วงเวลาก่อน