ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กุญแจ 4 ดอกสำหรับนักเก็งกำไร

สองวันนี้ จากแดดร้อนจ้า ก็กับกลายเป็น ฟ้ารั่ว ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักต่อเนื่อง ทำเอาเปียกปอนกันแบบไม่ทันตั้งตัวไปตามๆกัน ฝนมารอบนี้ทำเอาแปลกใจเพราะเชื่อว่าหลายคนตั้งหน้าตั้งตารอหน้าหนาว ฤดูกาลแห่งความเย็นสบายกันแล้ว โดยเฉพาะบรรยากาศชิวๆปลายปี สำหรับตลาดหุ้น ไตรมาสสี่ก็เป็นไตรมาสที่มีสีันความสนุกเสมอมา มีทั้งขึ้นและลงสลับกันไป แต่ปีนี้ท่าทางอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะ นักลงทุนและนักเก็งกำไรต้องเจอ กับสองปัจจัยที่มาทดสอบ sentiment ของตลาด นั้นคือเรื่องของ ภาวะ Fiscal Cliff และปัจจัยการเมืองภายในประเทศ ที่กำลังมีการชุมนุมประท้วงของกลุ่ม เสธ อ้าย ภายใต้ชื่อกลุ่ม องค์การพิทักษ์สยาม ที่จะจัดชุมนุมใหญ่ 24-25 พย. นี้ แค่เอ่ยมาสอง ปัจจัยหลักก็เริ่มสนุกแล้ว ยังไม่นับรวมเรื่องของยุโรป ที่กรีซก็มาถึงจุดสำคัญ แม้จะผ่านร่างนโยบายรัดเข็มขัดมหาโหดเพื่อรับความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อประทังชีวิตต่อไปได้ แต่นับวันประชาชนและกลุ่มสหภาพแรงงานก็ประท้วงหนัก ล่าสุดก็มีคนออกมาเดินขบวนเกือบ 15000 คนที่หน้ารัฐสภา เพื่อต่อต้านนโยบาย ขณะที่สเปน นั้นก็อาการยังไม่ปกติเช่นกัน แม้จะยังไม่รับความช่วยเหลือ แต่ตัวเลขเศรษฐกิจ

How I Made $2,000,000 in the Stock Market

ผมขอต่อจากความเดิมตอนที่แล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับคุณ Nicolas Darvas นักลงทุนคนดังที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุน จนขึ้นเป็นเซียนหุ้นอันดับต้นของโลก ผู้เขียน หนังสือที่จะนำมาแนะนำในวันนี้คือ "How I Made $2,000,000 in the Stock Market" "How I Made $2,000,000 in the Stock Market" เป็นหนังสือแนวคิด และประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นของ Nicolas Darvas นักลงทุนที่เป็น นักเต้นอาชีพควบคู่ไปด้วย เขาถ่ายทอดทฤษฏีระบบการลงทุน การเลือกหุ้น การหาจังหวะเข้าซื้อแบบTechno-Fundamental ตลอดจน ประสบการณ์การขาดทุนและข้อผิดพลาดต่างๆ ลงในหนังสือเล่มนี้ให้นักลงทุนได้อ่านกัน โดยเฉพาะระบบการลงทุน Box System วิธีการทำกำไรที่ทำให้เขาเปลี่ยนเงิน 25000 เหรียญ ไปเป็น $2 million ใน 18 เดือน ระบบการลงทุนของ Nicolas ที่เขียนในหนังสือ เน้นตั้งแต่การหาหุ้นที่ดี หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมวัฏจักรขาขึ้น เป็นหุ้นดาวรุ่งดาวเด่น ที่ราคายังไม่สูง มีสตอรี่ มีการเติบโตได้ดี เมื่อหาหุ้นแบบนั้นเจอ เขาจะรอจังหวะการเข้าซื้อจากการดูราคาและปริมาณการซื้อขาย โดยมองในลักษณะกฏอุปสงค์ อุปทาน ยิ่งความต้องการซื้อหุ้นมาก ราคาก็จะยิ่

Nicholas Darvas

มีโอกาสกลับไปอ่านหนังสือ ของ Nicholas Darvas อีกรอบเลยคิดว่าเป็นการดีถ้าจะเขียนถึงประวัติชีวิตในตลาดหุ้นบนเส้นทางการลงทุนของคุณ Nicholas Darvas นักลงทุนสาย Techno-Fundamentalist เจ้าของ Darvas BOX Theory ผู้โด่งดังสักหน่อย ผมเองศึกษาเทคนิคและวิธีคิดของ คุณ Nicholas Darvas มานานพอสมควร เขาเป็นคนที่มีแนวคิดและมุมมองที่น่าสนใจมากในการลงทุน และที่สะดุดตาต้องใจ ตรงที่คุณ Nicholas เขาไม่ได้เป็นนักลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่เขายังทำสิ่งที่ตนเองรักคือการเป็นนักเต้นรำลีราศ(Dancer) มืออาชีพ ควบคู่ไปอีกด้วย คุณ Nicholas เป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จระดับเศรษฐีเงินล้านจาก Wall Street ผู้ที่ลงทุน ทำเงิน 25000 เหรียญไปเป็น 2250000 เหรียญในเวลา 3 ปี และเขายังเป็นผู้ที่เขียนหนังสือ ยอดนิยมเล่มหนึ่งในหมวดการเงินการลงทุนหนังสือนั้นคือ "How I Made $2,000,000 in the Stock Market" ที่พิมพ์ซ้ำหลายสิบครั้งขายไปแล้ว 500000 เล่ม เป็นหนังสือที่ออกมาตั้งแต่ปี 1960 แนวคิดและระบบการลงทุนของเขา ยังคงเป็นที่นิยมและมีการนำมาใช้กันมากมายในปัจจุบัน เขา เกิดและโตที่ Hungary เรียนจบมาทางด้านเศรษฐศาสตร์จาก Univer

Impossible Project

"เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ" ผมชื่นชอบประโยคนี้มากครับ เรียบง่าย เรียบเรียงสวยติดหูและกระตุกต่อมคิดดี ด้วยความบังเอิญทำให้ผมไปพบประโยคนี้ในสมุดโน๊ตบุ๊คปกขาว ที่ใช้เป็นเทรเดอร์ไดอารี่ จดบันทึก อารมณ์ เหตุผลการซื้อขายหุ้นและเรื่องราวในโลกการลงทุนที่ผมเข้าไปผจญภัย มันเขียนด้วยปากกาสีแดง ลอยเด่น อยู่บนส่วนหัวของหน้ากระดาษ ถ้าจำกันได้ ตอนประมาณปี 2547-2548 มีโฆษณาของเหล้ายี่ห้อดังเจ้าหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ฮือฮามาก เพราะภาพยนต์โฆษณาใช้คอมพิวเตอร์กราฟิก(CG) มาเนรมิตให้หิมะตกในกรุงเทพ ทั้งที่ตอนนั้นอากาศร้อนตับแลบ เจอภาพโฆษณาแบบนี้ไป ทำเอาเรียกความสนใจได้ไม่น้อย ในภาพยนต์โฆษณานี้ ฉายเบื้องหลังการถ่ายทำฝีมือโปรดักชั่นของ คุณ วีระ แซ่อึ้ง สุดยอดมือ คอมพิวเตอร์กราฟิก และ 3D animation คนดังของวงการโฆษณาและภาพยนต์คนหนึ่งของไทย เจ้าของบริษัท ดิจิตอล เมจิก เอฟเฟ็ค เฮาส์ จำกัด ผมชอบคำพูด "เป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ" มากมันสะดุดและติดในสมอง ก้องในหู เพราะลองนำประโยคนี้มาคิดดูดีๆ มันโดนแฮะ หลายครั้งในชีวิตของเรา มักจะติดกับคำว่าเป็นไปไม่ได้ เวลาเจอปัญหา หรือเวลาเริ่มคิด

Drawdown

หลายคนรู้จักระบบเทรดกันมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจตรงที่ว่าหนังสือ "เล่นหุ้นเป็นระบบ(Trading System)" ของผมช่วย กระตุกความคิดคน เปลี่ยนความเชื่อเดิมๆที่มีในเชิงลบ ว่านักเล่นหุ้นหรือนักเก็งกำไรเป็นผีพนัน พวกนี้คิดไม่เป็นไม่โลภ หวังรวยเร็ว ทำให้เขาเห็นภาพนักเก็งกำไรมืออาชีพ ที่เล่นเก็งกำไรแบบมีระบบ โดยจำกัดความเสี่ยง และเน้นที่ผลกำไรที่ยั่งยืนระยะยาว ไม่ต่างอะไรกับนักลงทุน มีการวางแผน มีกลยุทธ มีการจัดการความเสี่ยง และการบริหารจัดการเงินที่แยบคายมีขั้นมีตอน หวังผลการเติบโตของพอร์ตระยะยาว ที่สำคัญนักเก็งกำไรคือนักฉวยโอกาสที่มองเห็นโอกาสจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น การเปลี่ยนแปลงจากภาวะอารมณ์ตลาดและความไม่เป็นเหตุเป็นผลของราคา นำจังหวะนั้นมาสร้างเป็นผลกำไร ด้วยระบบปราศจากอารมณ์ พูดถึงเรื่อง การบริหารจัดการเงิน สิ่งหนึ่งที่อยากนำมาแบ่งปันก็คือเรื่องของ การวิเคราะห์การขาดทุน เพราะเรื่องของการขาดทุนเป็นสิ่งที่นักเก็งกำไร ในตลาดไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ แต่เราสามารถควบคุมมันได้ ตัวที่บ่งบอกพฤติกรรมการขาดทุนของระบบได้ดี นั้นก็คือ Drawdown ทำไมต้องสนใจ Drawdown คือ ค่าที่ได้จากการวัดจากการว

เป้าหมายคือทุกอย่าง

เมื่อวันก่อนผมเขียนเรื่องการบริหารเวลา หลายท่านสนใจเข้่ามาแลกเปลี่ยนความคิดกันหลายคน นี่คือความสนุกของการได้เขียน เพราะมันไม่จบแค่ตัวหนังสือ แต่มันยังส่งผ่านและไหลเวียนกลับมาให้ได้ เกิดการแลกเปลี่ยน ทางความคิด ก่อให้เกิดปัญหาทั้งผู้อ่านและผู้เขียน ได้ตลอด ประเด็นหนึ่งที่ผมติดใจและอยากนำมาเขียนต่อ คือคำถามที่พี่ท่านหนึ่งโยนกลับมาว่า ถ้าตั้งเป้าหมายผิด ถึงจะบริหารเวลาดีแค่ไหนมันก็ไม่สำเร็จถูกไหม??? ถูกครับ เรื่องนี้จริงเลย เปรียบประดุจการขับรถ ต่อให้มีแผนที่ดี มี GPS ชั้นยอดแค่ไหนถ้ากำหนดพิกัด ล๊อคเป้าหมายผิด ก็ออกป่าออกทะเลหรือขับวนหลงทางได้เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่ามันจะนำมาซึ่งการเสียเวลา เสียกำลังใจ ไปเปล่าๆ เป้าหมายชัดเจน เป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่หลายคนก็ยังไม่สามารถวางเป้าหมายของตัวเองที่ชัดเจนได้ แต่วาดภาพวาดฝันไปถึงเรื่องการประสบความสำเร็จในชีวิตซะแล้ว โดยพยายามไปติดกับภาพตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จ เช่นความหรูหราของการกิน การอยู่ การใช้เงิน ทรัพย์สินเงินทองที่มากมาย ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป้าหมายความสำเร็จ มันไปจบที่เงินทองและทรัพย์สิน พอตั้งเป้าหมายผิด ก็หลงทางสิ่งที่ตา

Fibonacci Fan

วันนี้มีเครื่องมือ วิเคราะห์การเคลื่อนที่ของราคา(Price Movement) ที่ชื่อว่า Fibonacci Fan มากแนะนำกัน เป็นอีกเครื่องมือที่เราสามารถใช้ควบคู่ไปกับการอ่านแนวโน้ม หรือใช้กำหนดแนวรับแนวต้านได้อีกด้วย มาลองศึกษาดูกันนะครับ Fibonacci number นั้นมาจาก นักคณิตศาสตร์ชาวอิตาเลียน ลีโอนาโด ฟีโบนัชชี (Leonardo Fibonacci) ผู้ค้นพบลำดับฟีโบนัชชีในต้นศตวรรษที่ 13 เขาเรียนรู้ระบบเลขฐานสิบ และใช้การคำนวณตัวเลข มาอธิบายการสังเกตรูปทรงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การศึกษาจากตัวอย่างจำนวนมาก ของเขาพบว่า การเกิดของ ปรากฏการณ์เหล่านี้มีรูปแบบที่เป็นปกติ และค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยนำมาคิดเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ คือ 0, 1, 1, 2, 3, 5, 8, 13, 21, 34, 55, 89, 144, 233, 377, 610, 987, 1597, 2584, 4181, 6765, 10946, 17711, 28657, 46368, 75025, 121393, 196418, 317811 ซึ่งตัวเลขลำกับเกิดจากการนำ ตัวเลขสองตัวข้างหน้ามาบวกกัน เช่น 1+1 = 2, 1+2 = 3 ความน่าอัศจรรย์ ของลำดับเลข ฟีโบนัชชีคือ ลำดับที่จะมีอัตราส่วนจากการหารตัวเลขหลังด้วยตัวเลขหน้า แล้วได้ผลลัพธ์ที่เข้าใกล้ 1.618 ยิ่งตัวเลขมากขึ้นความใกล้เคียงยิ่งมากขึ้นแบบไม่ม

เวลา สิ่งมีค่าที่ไม่ควรถูกลืม

  เคยรู้สึกบ้างไหมครับว่าผ่านไปไม่นานก็หมดสัปดาห์ เผลอเดี๊ยวเดียวก็จะหมดปีอีกแล้ว "เวลา" เป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีจำกัด(ตามแต่อายุไขของแต่ละบุคคล) แต่ใน 1 วันทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจน ฐานะสูงส่งต่างกันแค่ไหนเราก็มีเวลาแค่ 24 ชั่วโมงเท่ากัน ประเด็นเรื่องของเวลา เคยถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นหลักในภาพยนต์เรื่อง "in time" โดยเฉพาะการวางโครงเรื่องวิธีคิดที่แตกต่างไปจากโลกปัจจุบัน คือให้เวลาเป็นสิ่งมีค่าสูงสุดของทุกคน มีเงินมากก็ซื้อเวลาได้มาก สามารถยืดเวลาตายได้ไปอีก หรือใช้เวลาในการซื้อหาสิ่งของ ใช้จับจ่ายแทนเงิน ทำงานแลกเวลา แน่นอนว่าถ้าเวลาหมดก็ต้องตายทันที แม้จะดูแฟนตาซีหลุดโลกไปบ้าง แต่สิ่งหนึ่งที่สะท้อนจากความเป็นจริงคือ "เวลา" เป็นสิ่งที่มีค่า แม้ในโลกปัจจุบันคนจำนวนมากอาจจะยังไม่เห็นค่าของมัน แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จในโลกนี้มากมาย คือคนที่ใช้เวลาเป็น ใช้เวลาอย่างคุ้มค่ากับงานที่ตนเองทำ ไม่ปล่อยเวลาให้หมดไป ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์  ดังนั้นถ้าอยากจะประสบความสำเร็จ หรืออยากจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ การเรียนรู้หลักการบริหารเวลา และใช้เวลาท

Gold@25-10-2012

บันทึกสภาวะตลาดทองคำ แนวโน้ม และรูปแบบราคา ประจำวันที่ 25-10-2012 บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อ ใช้ในการศึกษาวิจัย Gold Trading System Project  market sentiment  อาทิตย์ดูเหมือนตลาดหุ้นทั่วโลกจะไม่สดในนัก โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐ ที่หุ้นใหญ่หลายตัว เช่น Google Apple และอื่นๆ ผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาไม่สดใจต่ำกว่าคาดการณ์ บวกกับความกังวลเรื่องวิกฤติหนี้ยุโรป ที่ตอนนี้กำลังดูความชัดเจน  ของการขอรับเงินช่วยเหลือของสเปน ในขณะที่กรีซสามารถเจรจาขอเวลาเพิ่มอีก 2 ปีในการลดช่องว่างงบประมาณ 1.35 หมื่นล้านยูโรแล้ว แต่ยังเหลือการเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือ รอบถัดไปอีก 3.15 หมื่นล้านยูโร แต่สถานการณ์การเมืองภายในประเทศของกรีซ โดยเฉพาะการประท้วงของประชาชน ที่ไม่พอใจนโยบายรัดเข็มขัดของรัฐบาลก็ยังไม่มีทีว่าจะสงบลงได้ง่ายๆ ในขณะที่ค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐก็แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ จนมายืนระดับ 80 เหรียญได้อีกครั้ง ทำให้ราคาทองคำตกลงไปมากพอสมควร TF: 4 Hour ภาพใหญ่ทองคำแนวโน้มช่วงนี้หลังจากการปรับตัวลงทดสอบแนวรับ 1700 แล้วไม่ทะลุ ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามา ราคาทองคำรีบาวนด์เด้งในกรอบ 1714-1700 ต่อไป  TF: 15 min

CCI indicator

วันนี้จะขอนำเอาเรื่องของ Commodity Channel Index (CCI) มาเล่าให้ฟัง เพราะหลายคนที่อีเมลเข้ามาพูดคุย สนใจเรื่องของการเทรดหุ้นแบบเก็งกำไรรายรอบ ถ้าจะให้แนะนำเครื่องมือ ก็จะคงไม่มีอะไรพิเศษ เพียงแต่นึกขึ้นมาได้ว่า CCI ก็เป็นอีกหนึ่งตัวที่เทรดเดอร์นิยมนำไปใช้ ในการหาสัญญาณซื้อขายในระบบเทรด และตัวนี้ผมยังไม่เคยกล่าวถึงมาก่อน วันนี้จึงนำมาสรุปให้อ่านกัน Commodity Channel Index (CCI) เป็นเครื่องมือดัชนีราคา ประเภท oscillator ที่ถูกพัฒนาโดยคุณ Donald Lambert เขาออกแบบทดสอบกับข้อมูลราคาในหุ้น ดัชนีตลาด ETF และสินค้าโภคภัณฑ์ ที่มีการเคลื่อนที่แบบเป็นรอบวัฏจักร เพื่อหาจังหวะจากคาบการแกว่งตัวของราคา หลักการทำงานของ CCI คือการหาค่าการกระจายตัวและการเบี่ยงเบนของราคาปัจจุบันจากราคาค่าเฉลี่ยเทียบกับการกระจายตัวของค่ากลาง ในคาบเวลา(interval) ที่สนใจ โดยมีสมการการคำนวณดังนี้ CCI = (Typical Price - SMA(n) of TP) / (.015 x Mean Deviation)  -Typical Price (TP) = (High + Low + Close)/3  -Constant = .015 -n = time interval คาบเวลาที่เราสนใจ  การปรับปรุงโมเดลของ CCI ให้ดีขึ้นคือการหาค่าเฉพาะของคาบเวลา ที่สอด

ก้าวแรกกับความล้มเหลว

ทุกคนล้วนมีความฝันมีไอเดีย อยากทำสิ่งต่างๆมากมายตามใจต้องการ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินตามฝัน ได้ลงมือทำฝันให้เป็นจริง และไปสู่เป้าหมายความสำเร็จ บางคนเลือกที่จะรอ เลือกที่จะเก็บฝันไว้ในใจ จนสุดท้ายเมื่อเวลาผ่านเลยไป เมื่อมีภาระและมีวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง ความฝันนั้นก็ต้องถูกฝังลืมไว้ในส่วนลึกของความทรงจำ การมีความฝัน และได้ลงมือทำเป็นสิ่งที่วิเศษแต่ใช้ว่า ทุกคนที่กล้าจะเดินทางตามความฝันจะสมหวัง และจบลงแบบสวยงามเหมือนในนิยาย มีหลายคนหกล้มหกลุก ไปได้เพียงครึ่งทางก็ต้องกลับมาสู่โลกความจริง บางคนผิดพลาดแค่เพียงก้าวแรกที่ออกเดิน ก็ท้อถอยหมดกำลังใจ ไม่สามารถไปต่อได้ เพราะนี้คือโลกแห่งความจริง ที่คนธรรมดา ไม่มีต้นทุนชีวิตที่สูง ไม่มีครอบครัวที่ร่ำรวยสนับสนุน เมื่อมีความฝัน มีความตั้งใจ อาจจะไม่เพียงพอ ให้ไปสู่ยังเป้าหมาย (แต่แน่นอนว่าดีกว่าคนที่ไม่ฝัน ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไรในชีวิต หรือคนที่ฝันแต่ไม่กล้าแม้จะเริ่มลงมือทำ) สิ่งที่ต้องมีมากกว่านั้นคือ เรื่องของแผนและกลยุทธวิธีการ ที่จะพิชิตเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น ทำร้านกาแฟ ไม่ใช่มีฝันมีใจอยากทำก็จะทำแล้วสำเร็จ แต่เราต้องทำงาน

ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง

ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันด์มีขึ้นก็มีลง มีลงย่อมมีขึ้น เป็นธรรมดาไม่ได้หมายความถึงเฉพาะราคาหุ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงธุรกิจต่างๆอีกด้วย เมื่อเช้าตื่นมาอ่านข่าวต่างประเทศน่าสนใจ 2 ข่าวคือเรื่องของราคาหุ้นซุปตาร์แบบ Google inc และยุคเปลี่ยนผ่านของสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่แบบ 'นิวส์วีค' เลยอยากนำสองประเด็นนี้มาเล่าให้ฟังต่อ นิตยสารนิวสวีค เป็นอีกนิตยสารของอเมริกาที่อยู่ยงคงกระพันมาถึง 80 ปี สมัยเรียนเวลาว่างเข้าห้องสมุด ผมมักชอบหยิบนิตยสารนี้มาอ่าน ถึงแม้จะอ่านรู้เรื่้องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างในตอนนั้น แต่ได้ดูภาพสวยๆก็ม้วนใจแล้ว แถมด้วยประเด็นเด็ดแต่ละคอลัมภ์ที่น่าสนใจ ทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์เพิ่มไปอีก นิตยสารนิวสวีค เป็นนิตยสารหัวสี คู่แข่งสำคัญของ ไทม์ มาโดยตลอด วันนีั้ประกาศยุติการพิมพ์นิตยสารข่าวในรูปแบบกระดาษ แต่ปรับเปลี่ยนมาเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายผ่านช่องทางสื่อออนไลน์และดิจิตอลแทนทั้งหมด แน่นอนว่าเบื้องหลังการแข่งขันทางธุรกิจที่ดุเดือดบวกกับผลประกอบการที่ลดลงและเติบโตยากในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ทำให้ประสบปัญหาทางการเงิน นิตยสารนิวสวีค ต้องทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยลดพนักงานและเ