ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Ray Dalio estimates the corporate losses

Ray Dalio ออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับผ ลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐจากว ิกฤติการระบาดของไวรัส COVID-19 - เขาเชื่อว่าวิกฤตินี้ทำให้เ กิดการเสียหายครั้งใหญ่ ในประวัติศาสตร์ ภาคองกร์ธุรกิจ จะเสียหายถึง $4 trillion เขาประเมินทั้งโลก(Global) เสียหาย $12 trillion - ธุรกิจขนาดเล็กอาจจะล้มละลา ย เจ้าของกิ จการหมดตัว, ประชาชนจำนวนมากตกงาน - การเกิดวิกฤติยิ่งยาวและใช้ เวลานาน ทำให้ผลกระทบต่อสภาพคล่องขอ งธุรกิจ -รัฐบาลต้องอัดฉีดเงินสด ไปยังประชาชนและธุรกิจเพื่อ เสริมสภาพคล่อง + การลด/ ชะลอหนี้ในธุรกิจและประชาชน รวมไปถึงการ bailout ที่อาจจะเกิดขึ้น เขาประเมินรัฐบาลควรใช้งบ fiscal stimulus package อย่างน้อย $1.5 trillion - $2 trillion -ด้านนโยบายการเงินจาก Fed ช่วยเรื่องการลดอัตราดอกเบี ้ย ต้นทุนการกู้ยืม + QE แต่เขามองว่าเครื่องมือหรือ ประสิทธิภาพในการกระตุ้นเศร ษฐกิจของ Fed ลดต่ำลงและมีจำกัดกว่าทุกคร ั้งที่เกิดวิกฤติ (ระดับ อัตราดอกเบี้ยต่ำติด 0, การซื้อ Bond ของเฟดไม่สามารถทำให้ราคาบอ นด์ลงได้) -โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของ รัฐบาลใช้เงินเยอะ รัฐออกBond ระดมเงินมาเสริมกระตุ้นเศรษ ฐกิจ แต่ปัญหา

The Great Depression

วันนี้มีโอกาสได้ดู สารคดี Great Depression มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เลยอยากแนะนำให้ได้ดูกัน ผมสรุปประเด็นหลักมาให้ คราวๆดังนี้ -1914-1918 สงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุด เศรษฐกิจถูกกระตุ้น กลับมาฟื้นตัวและขยายตัวมาก ช่วง 1920 บนแนวคิดอเมริกันดรีม ประชาชนมีเงินเก็บมีการใช้จ ่ายซื้อบ้าน ซื้อรถ(ยุคแรกของรถยนต์) ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่นโทรทัศน์ เครื่องดูดฝุ่น -ราคาหุ้นเติบโตสร้างผลตอบแ ทนครั้งใหญ่ คนสนใจเข้ามาลงทุนใน wallstreet เช่นเดียวกับสถาบันการเงิน ทำให้เกิดการเฟื้องฟู คนส่วนมากอยากเข้ามาหาเงินจ ากตลาดกระทิง หุ้นเกือบ 80% ถูกไล่ซื้อราคาพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มใช้เงินกู้(lo an) เขามาดักซื้อหุ้นสะสมเพื่อห วังทำกำไร , ขณะเดียวกันธนาคารยินดีปล่อ ยกู้เพื่อหารายได้จากดอกเบี ้ย. สถาบันการเงินนำเงินกู้เข้า มาเทรดหุ้นเพื่อหากำไร -1929 ตลาดสหรัฐถึงจุดสูงสุดดัชนี  Downjone +218% นับจากปี 1922 คนต่างเชื่อมั่นแต่แล้วเศรษ ฐกิจเกิดชะลอตัว ยอดส่งออกสหรัฐลดลง , บริษัทเริ่มมียอดขายลดลงรุน แรง ผลประกอบการไม่ดีแบบที่คาดห วัง -ช่วงกลางปี 1929 เริ่มมีการพูดถึงการถดถอยทา งเศรษฐกิจ recession จนมาถึง 24/10/

การหาหุ้นปลอดภัยด้วย cross sectional momentum

มีคนถามประเด็นการหาหุ้นเทรด ในช่วงตลาดแบบนี้ ซึ่งบางทีเราเลือกหุ้นราคาถูกเพราะ มันลงจากปีก่อนหน้าเยอะ แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นราคาที่ดีเสมอไป เพราะส่วนใหญ่ยิ่งซื้อยิ่งไหลลง เรียกว่าถัวเฉลี่ยกันจนหมดใจไปเลย ดังนั้นการหาหุ้นราคาปรับตัวลงมาเยอะ เทรดจำเป็นต้องเลือกหุ้นที่ดีมีความแข็งแกร่งด้วย นั้นคือการใช้เทคนิค cross sectional momentum ผมขออธิบายง่ายๆ คือหุ้นมี market discount ราคาปรับตัวลง แต่ความแข็งแกร่งจะดี คือไม่ถดถอยลงมากกว่า ดัชนี SET และดัชนีกลุ่มอุตสาหกรรม (ส่วนมากพวกนี้ ลงมาสักระยะ downside จะจำกัดแล้ว การเข้าซื้อขายก็ไปหา จังหวะจาก TS-MOM ก็ได้) ยิ่งถ้าอยากถือยาวลองเลือกตัวที่เป็นพวก low beta ประกอบ จากนั้นก็เทรดกลาง ยาว รอให้ได้สักนิด หลักการเดียวกันถ้าจะ ซื้อเก็บหุ้นปันผลดี อย่าดูแค่ราคา ดูความแข็งแกร่งมันด้วย โดยหลีกหนีหุ้นขาลง ทั้งราคาและพื้นฐานกิจการ ก็ใช้ cross sectional momentum เบื้องต้นได้ โดยอย่าไปซื้อหุ้นที่ถดถอยราคาลงหนักต่อเนื่อง(-40 ขึ้น) และลงมากกว่าดัชนีหมวดอุตสาหกรรม และดัชนีตลาด ตัวอย่างหุ้นสายการบิน มาให้ดูซึ่งช่วงนี้เผชิญกับ ความเสี่ยงและปัจ

Asymmetric Returns & Black swan

บทความนี้ น่าจะช่วยอธิบายตัวอย่าง Asymmetric Returns ที่เมื่อวานผมมีโอกาสได้พูด ถึง เชื่อว่าหลายคนเคยอ่านหนังส ือ black swan ของ nassim taleb ไปแล้ว มีแปลมีสรุปไทยด้วย แต่เชื่อว่าบางทีอ่านจบยังไ ม่ get ว่านำไปใช้ในการเทรด การบริหารพอร์ตยังไง บทสัมภาษณ์นี้ เป็นกรณีศึกษา Asymmetric Returns ที่ Mark Spitznagel (ลูกศิษย์เอก ของ taleb )เขาเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บร ิหารเฮ็ดฟัน Universa Investments เขาอธิบาย  แนวคิดการใช้เงินทุนบางส่วน แบบจำกัดในพอร์ตแบ่งไปเทรดอ นุพันธ์ เช่น options (OTM) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ขนาดใ หญ่ ในกรณีเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติ  แบบ black swan (Low probability event & Huge Impact) หรือเกิดวิกฤติการเงินจนทำใ ห้ market crash (กลยุทธ์การทำนี้ไม่ง่ายนะค รับ ต้องไปศึกษาเพิ่มไม่ใช่เทรด อนุพันธ์แล้วจะจบ ยิ่งไปเทรด Options OTM มันต้องไปสู้เรื่องราคาและก ารบริหารต้นทุนค่า premium ที่จ่ายเพื่อลดผลกระทบการขา ดทุนอีก ยาวๆๆ บทความนี้ไม่ได้พูดไว้) บทความนี้คุณ Spitznagel ยกกรณีปี 2008 ที่ฟันด์เขาสามารถทำผลตอบแท นได้อย่างงาม ขณะที่เจ้าอื่นๆขาดทุนหนัก เมื่อเฉลี่ยรวมกับผลตอบแทนภ าวะตลาดปกติ

What is the Bitcoin’s Risk-Free Interest Rate?

เช้านี้อ่านบทความกลยุทธ์การเทรดของ quantpedia อันหนึ่งน่าสนใจ แต่ออกตัวก่อนว่าไม่ได้แปลว่ามันทำแล้วจะ work ง่ายๆ แต่ก็เป็นกรณีศึกษาที่น่าแกะต่อ ผู้วิจัยต้องการสร้างระบบเทรดสร้างผลตอบแทนสเถียรและจำกัดความเสี่ยงในกลุ่ม Cryptocurrencies เป็นสินทรัพย์ประเภท volatile asset class บทความมันยาวพอควร อธิบายเรื่อง Interest Rate และอื่นๆ แต่ Key หลัก คือการใช้ futures contract เพื่อสร้างความมั่นคงปิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของสินทรัพย์เช่นการโดน hack โดนโกง โดยใช้ regulated derivatives market ของ CME ร่วมกับ Arbitrage strategies ซึ่งเขาทำบนการ long บนสัญญา front-month contract ซึ่งราคาใกล้กับ BTC Spot price และมีสภาพคล่องที่ดี ร่วมกับการ short สัญญาประเภท back-month contract คล้ายการทำกำไรจาก calendar spreads ผมไม่ลงเรื่องกลยุทธ์มาก ไม่อยากให้เทรดเดอร์รีบไปทำตามเพราะมันมีอะไรลึกมาก ถ้าอยากรู้ลองไปศึกษาต่อ แต่ Key บนความนี้ที่เลือก Arbitrage strategies เพราะเขาต้องการลงทุนใน Bitcoin + ต้องการสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า อัตราดอกเบี้ยของธนาคาร แต่ไม่ต้องการความเสี่ยงที่สูงจาก volatility

ความไม่เป็นเหตุเป็นผลของตลาด

ราคาสินทรัพย์ เช่น หุ้น ทองคำ น้ำมัน ส่วนใหญ่ในภาวะไม่ปกติ มันจะยากที่จะหาความเป็นเหต ุเป็นผล(สิ่งที่เราเห็นตามส ื่อมันคือคำอธิบาย ผลที่เกิด) เพราะราคาตลาด(market price) มันเปลี่ยนแปลงไปตาม ความหวังในอนาคตของคนในตลาด  ทั้งด้านบวก(positive)และลบ (negative expectation) การพยายามไปหาคำตอบ หรือคำอธิบาย ให้ได้แท้จริงมันยาก ยิ่งพยายามจะไปคาดเดา ห รือพยากรณ์ว่าอนาคตจะเป็นอย ่างไรในภาวะแบบนี้ยิ่งยากไป อีก ช่วงนี้มีแต่คนถามเรื่อง ตลาดหุ้น ว่าทำไมวันนี้ราคาลง ทำไมพรุ่งนี้ขึ้น ส่วนตัวผมไม่มีคำตอบให้จริง ๆ ก็เทรดไปตามระบบ flow ไปกับสิ่งที่เกิด สังเกตและ ปรับตัววางแผนรับมือ สิ่งสำคัญคือ การไม่ใช้อารมณ์ เพราะช่วงนี้ อารมณ์ ถูกเล้าได้ง่าย สุดท้ายยิ่งหมกหมุ่น ยิ่งพยายามหาคำอธิบายหรือหา ความชัดเจน จะยิ่งทำให้เครียดก็จะนำมาซ ึ่งความผิดพลาด ยกตัวอย่างเคสของความไม่เป็ นเหตุเป็นผล กรณีช่วง 4 ปีที่แล้ว ราคาน้ำมัน WTI ลงมาจากปีก่อนหน้า $120 / บาร์เรลมาระดับต่ำสุด $27 /  บาร์เรล โดยปริมาณน้ำมัน 1 บาร์เรลเท่ากับ 159 ลิตร เมื่อเทียบราคากับ น้ำแร่ หรือ แม้แต่ ไวน์ เหล้าต่างประเทศ น้ำมันยังถูกกว่า แต่ตอนนั้นความก

รวบรวม บทความเทคนิคอลและการทำระบบเทรด

ต่อจากโพสก่อนหน้า ทำให้เมื่อเช้ามีคำถามว่า "ทำไมพี่ไม่เขียนบทความเกี่ยวกับการใช้เทคนิคอลบ้าง" หลายท่านอาจจะเพิ่งเริ่มหัดเทรดหุ้น/Tfex/FX อาจจะเพิ่งเริ่มติดตาม จริงๆผมเขียนบทความเทคนิคอลและการทำระบบเทรดไว้เยอะมากครับเก็บบนเว็บไซต์ บางอันอาจจะเก่าบ้างยุค 2010 แต่หลักการก็ยังใช้ได้ สำหรับคนชอบอ่าน ถ้าสนใจลองเข้าไปศึกษากันได้ ส่วน vdo ก็เข้าไปดูใน Youtube ได้เลย ------------------- 0. ทำไมเทคนิคอลใช้ไม่ได้ผล http://www.cwayinvestment.com/…/why-technical-analysis-fail… 1.เมื่อเทคนิคคอลไม่ง่ายอย่างที่คุณคิด!!!! http://www.cwayinvestment.com/2011/01/blog-post_21.html 2. เทคนิคอล เป็นแค่ “ปาหี่” แบบเขาว่าจริงหรือ??? http://www.cwayinvestment.com/2013/08/blog-post.html 3. กุญแจ 4 ดอกสำหรับนักเก็งกำไร http://www.cwayinvestment.com/2012/11/4.html 4.เรียนรู้การวิเคราะห์เทคนิคอล ด้วย Chartgame http://www.cwayinvestment.com/2012/06/chartgame.html 5. 10 golden rule http://www.cwayinvestment.com/…/10-golden-trading-rules.html 6. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเทคนิคอล http://www.cwayinvestment.com/20

Volatility: how ‘algos’ changed the rhythm of the market

บทความนี้นะครับ ที่ได้พูดถึงเมือวาน แม้จะเป็นของเก่าของปีที่แล้วแต่ก็สามารถอธิบาย ประเด็นการใช้ technical analysis ในตลาดปัจจุบันทำไมแตกต่างหรือได้ผลลัพธ์ ไม่เหมือนในตำรา ที่เขียนกันมาเมื่อ 50 ปีที่(1970) แล้ว เครื่องมือพวกนี้ ผู้พัฒนาเขาก็คิดค้นทดลองวิจัย กับข้อมูลตลาดในยุคหนึ่ง พอพฤติกรรมตลาดเปลี่ยน ผลการทำงานของเครื่องมือหรือความแม่นยำ มันย่อมเปลี่ยนตาม แต่ไม่ได้แปลว่า ใช้ไม่ได้  แต่เทรดเดอร์ต้องใช้ให้เป็น ต้องใช้ data driven strategy แทนการมโน หรือการยึดติดกับเครื่องมือ ราวกับว่ามันเป็นลูกแก้ววิเศษ ลองอ่านบทความนี้ได้จาก link ด้านล่าง ยาวมากแต่จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมตลาดในยุคปัจจุบันและอนาคตดีขึ้น โดยเฉพาะพฤติกรรมราคาที่มีความผันผวนสูง เกิดบ่อยและอ่อนไหวต่อ sentimental factor ทุกอย่างทั้งพฤติกรรมราคาและ volume ต่างเปลี่ยนแปลงได้เร็ว อันเกิดจากการเทรดพวก computer trading (กลายเป็นกลุ่มที่ครอง volume การเทรดอันดับต้นในหลายตลาด) หรือพวก HFT ซึ่งจากข้อมูลปัจจุบันพวกนี้มีบทบาทขึ้นเรื่อยๆ ในตลาด (และยุคนี้ไม่ใช่แค่เร็ว HFT ยังฉลาดเพราะ +AI ที่เทรนมาเพื่อ หาจุดเข้าออกบนการวิเ

ตัวอย่างระบบ GRID Trading Sytem

ระบบ GRID Trading Sytem มันยืดหยุ่นมีหลายลักษณะในการนำไปใช้เทรด ทั้งความแตกต่างในด้าน Entry&Exit Strategies และด้าน Money Management (ซึ่งเราต้องแยกกัน เพราะ level ความเสี่ยงมันไม่ได้ขึ้นกับกลยุทธ์ GRID แต่มันขึ้นกับการบริหารจัดการเงินและใช้ leverage) ถ้าเราศึกษาเยอะๆจะพบถึงตัวอย่างการใช้งานที่หลากหลาย ยิ่งถ้านำมาทดลองเทรด จะสังเคราะห์ถึงข้อได้เปรียบและข้อจำกัด ของมัน จะช่วยให้ต่อยอดพัฒนา ระบบเทรดของตัวเองได้ดี ผมยกตัวอย่างเรื่องนี้ เพราะไปเจอบทความหนึ่งเกี่ยวกับการพัฒนา GR ID Trading คุณ Klymenko เขานำเสนอ บทความชื่อ RANGE-BASED GRID IN TREND DIRECTION และ CORRECTION-BASED GRID WITH MARTINGALE (เขาใจว่าไอเดียเขาเอามาจากหนังสือ GRID ของรัสเซีย) มันคืองานวิจัย ทดลอง อ่านแล้วไม่ได้แปลว่าต้องไปเห็นด้วยหรือทำตาม ขณะเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่า EA ของเขาจะ work แต่เราสามารถสกัดไอเดีย การพยายามจะลด risk ของการใช้ระบบ GRID ในการเทรดได้ คือไม่ได้ไปนั่งอม loss หรือ martingale สะสม Drawdown รอวันล้างพอร์ตอย่างเดียว การใช้ระบบ GRID มารับกับ market volatie เป็นเรื่องไม่ง่าย ขณะเดียวกัน

REIT และ Property Fund

เมื่อวานสอนเรื่อง REIT และ Property Fund เทคนิคการวิเคราะห์ธุรกิจและการเลือกกองหลักที่จัดเข้า WL กลุ่ม D (low beta และมี Yield เฉลี่ย 3Y ที่ดี) จากธุรกิจอสังหาแต่ละประเภท มีคำถามต่อ ว่าแล้ว REIT ของอเมริกาเป็นยังไง เอา ข้อมูล Performance Chart นี้มาให้ดู จะเห็นว่าเฉลี่ย REITs ปี 2019 ของอเมริกา บวกกระจาย +28.9% เฉลี่ย 10 ปีที่ 12.0% นวค.อเมริกา บอกว่า ตลาดอสังหา ของอเมริกากำลังบูมขึ้นเต็มตัว หลังวิกฤติการเงินปี 2008 แต่ต้องไม่ลืมว่า  volatility ของเขาก็สูงกว่า กองในไทยหลายเท่าด้วย บ้านเรา volatility เฉลี่ยราวๆ 6-7 กว่าๆ ยิ่งบางกองเป็น free hold ที่ทำเลดี ธุรกิจดียิ่งต่ำไปอีก ถ้าผสมกับเทคนิคการจัดพอร์ตที่ดี กระจายเงินไปในกองที่มีคุณลักษณะเฉพาะต่างกัน(ท่องเที่ยว,ศูนย์การค้าและค้าปลีก,คลังสินค้า เป็นต้น) ก็จะลด Risk ลงไปได้อีก การเทรดให้ดีให้แม่น ก็สำคัญแต่ภาวะตลาดที่มีความเสี่ยงและความไม่แน่นอน การใช้แผนใช้กลยุทธ์บริหารความเสี่ยงและจัด asset allocation ที่เหมาะสม ก็ช่วยให้เกิดความมั่นคงและความต่อเนื่องของผลตอบแทนรวมได้ดีด้วยเช่นกันครับ ปล. คนอื่นอาจจะซื้อคอนโดหลายล้านเพื่

Bitcoin is going to disrupt payments.??

บทความจากคุณ charlie อธิบายถึงตอนปี 2010 กระแสสกุลเงินคริปโตและบิตคอย มาแรงมาก ท่ามกลางการก้าวกระโดดของราคาตลอดหลายปี บนความเชื่อที่ว่า จะมาแทน หรือดิสรัป โมเดลการจ่ายเงินแบบเดิม ซึ่งกระทบโดยตรงต่อ digital และ online payment แต่สิ่งที่เกิด ค่อนข้างจะไม่เป็นไปตรามความเชื่อหรือสมมติฐานนั้น คุณ charlie bilello นำเสนอข้อมูล return ของราคาหุ้น VISA และ Mastercard ตั้งแต่ช่วงปี Jan 2009 ที่เริ่มมีการแลกเปลี่ยนและใช้ Bitcoin จนถึงปัจจุบันราว10 ปี กว่า ผลคือ Visa: +1,462% และราคาหุ้น Mastercard: +2,139% (ครับอ่านไม่ผิด ไม่ใช่หลักร้อยแต่เป็นหลักพันเปอร์เซนต์ ในขณะที่ความผันผวนต่ำกว่าบิตคอยหลายเท่านัก) ธุรกิจของสองบริษัท ยังมีกำไรและขยายตัวได้ต่อเนื่อง เช่นเดียวกับนักลงทุน ที่ถือหุ้นในบริษัทเหล่านี้ สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่การ disruption แต่น่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนโมเดลธุรกิจ ทำให้สอดคล้องกับโลกออนไลน์และสังคมไร้เงินสด ในอนาคตมากกว่า ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์อ้างถึงตัวเลขการใช้ สกุลเงินคริปโต สำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยน สินค้า ในโลกจริง ที่ยังมีปริมาณน้อยมากในการนำไปใช้เมื่อเทียบก

การเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพียง $1 สามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มคนทำงานได้ถึงเฉลี่ย 4%

ผลงานวิจัยเผยแพร่ใน Journal of Epidemiology and Community Health ระบุการเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพียง $1 สามารถลดอัตราการฆ่าตัวตายในกลุ่มคนทำงานอายุระหว่าง 18 - 64 ปีที่จบการศึกษาระดับมัธยมปลายลงไป ได้ราว 3.4% to 5.9% (เทียบเท่ากับประชากรหลายพันคนต่อปี) งานวิจัยนี้ดูเหมือนจะถูกใช้เป็นแรงกระตุ้นในภาคการเมืองและผู้กำหนดนโยบายหันมาเพิ่มอัตราค่าแรงขั้นต่ำให้เหมาะสม (สอดคล้องกับการปรับเพิ่มของค่าครองชีพในเมืองใหญ่) ดูจากการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของค่าแรงกับความสุขในชีวิตของคนในประ เทศที่เจริญแล้ว หรือกำลังพัฒนาก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เงินรายได้ ที่เพียงพอ นั้นมีบทบาทสำคัญต่อความสุขที่จะเกิด ขณะเดียวกันค่าครองชีพของอเมริกา ก็มีแนวโน้มปรับสูงขึ้น จากภาพล่าสุดจะเห็นค่ารักษาพยาบาล, ต้นทุนการเลี้ยงดูบุตร และอื่นๆ ล้วนมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา อ้างอิง https://www.nytimes.com/2020/01/14/health/minimum-wage-suicide.html