ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Andy Bechtolsheim วิศวกรไฟฟ้าที่รวยอันดับต้นของโลก

พอดีกำลังศึกษาเรื่อง Cloud และ Data center ETFs ทำให้ไปเจอกับบทความสัมภาษณ์หนึ่งของคุณ Andy Bechtolsheim เป็นคนสำคัญอีกคนในวงการทำให้พบว่าชายคนนี้เป็นอีกคนที่มีวิธีคิด และมุมมองธุรกิจที่ น่าสนใจมาก Andy Bechtolsheim วัย 67 ปี เป็นอีกบุคคลที่อาจจะไม่เป็นกระแสมากบนหน้าสื่อ แต่เขาเป็น วิศวกรไฟฟ้า ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ที่รวยอันดับต้นของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ $9.2 billion , Bechtolsheim เป็น co-founded Sun Microsystems ในปี 1982 เป็นอีกคนที่บุกเบิกธุรกิจและการพัฒนาด้าน Computer & IT ของโลกอีกคน สิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยได้ น่าเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ และการกล้าคิดกล้าทำสิ่งใหม่ๆ(เขาไม่ได้เป็นสายวิชาการแบบหัวสูงติดกรอบ เขาไม่ได้จบ phd แต่เป็นคนที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ ,การมองหา solution ใหม่ๆที่พัฒนาให้ดีขึ้น) ซึ่งการลงทุนที่เป็นชัยชนะ อันหนึ่งของ Bechtolsheim คือ เขาเป็นคนแรกๆที่่รับฟังและมองเห็นโอกาสจาก Larry และ Sergey ในแผนการก่อตั้ง Google ตอนปี 1998 เริ่มต้นโดย Andy Bechtolsheim ได้เขียนเช็ค 100,000 เหรียญให้ทันทีเพื่อเริ่มดำเนินการและเข้าเป็นหุ้นส่วนของ Google ตั้งแต่เริ่มต้นบริษ

การทดลองให้ ChatGPT สอนมือใหม่เทรดหุ้น

 วันนี้เรียนรู้และทดลองใช้งาน ChatGPT ของ OpenAI , เจ้าตัว chatbot นี้มีอะไรที่น่าสนใจเยอะดี , โจทย์ที่ทดลองคือ ChatGPT สอนให้คนทั่วไป หัดเทรดได้ไหม? การทดลองคือ นำเอาหัวข้อบทเรียนการเทรด จากหนังสือต่างประเทศ สร้างเป็นชุดคำถามราวๆ 50 คำถามทั้งไทยและอังกฤษ ไปถามเจ้า Chatbot ตัวนี้ แล้วให้ น้องที่กำลังหัดเทรดหุ้น มาฟังคำตอบและช่วยลงคะแนนว่า พอเข้าใจได้ไหม ผลการทดลอง พบว่าส่วนใหญ่ สามารถตอบคำถาม และให้คำแนะนำได้ไม่เลวทีเดียว โดยเฉพาะหัวข้อประเด็นใหญ่ๆ สามัญที่มีข้อมูล บทความบนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก เรียกว่าถามได้ทุกประเด็น เช่น Grid Trading , Money management และอื่นๆ ส่วนเรื่องสามัญเช่น Technicle analysis นี้เรียกว่าสามารถ หาข้อมูล เรียบเรียงมาตอบได้เกือบหมดทุกคำถาม (ทดลองไป 30 ชุดคำถาม) ที่น่าสนใจคือสามารถใช้ภาษาไทยได้ด้วย, อันนี้ลองกับคำถามไม่ยาก ก็เรียบเรียงประโยคตอบออกมาแบบพอเข้าใจได้ แต่คำตอบอาจจะไม่ละเอียดมากพอ เมื่อเทียบกับคำถามเดียวกัน ในภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่คำอธิบาย แต่เป็นชุดคำตอบแบบสั้นๆกระชับๆ ไม่ได้ลงรายละเอียด ซึ่งหลายเรื่อง พบว่ามันมีประเด็นรายละเอียดที่ขึ้นกับ แ

Long History of US 10-year Treasury Yields

 ปี 2022 น่าจะแน่นอนแล้วว่า S&P500 ปิดติดลบ(ถ้าปาฏิหารย์ไม่เกิด ส่วนจะลบเท่าไหร่ติดตามช่วงตลาดท้ายปีอีกหน่อย), ส่วนบทความ Market Outlook ของปี 2023 หลายค่ายมีแต่มองว่าปีหน้าตลาดพันธบัตรจะกลับมาแรงอีกครั้ง(เหตุผลลองอ่านบทวิเคราะห์จาก morganstanley ในลิงค์ได้) วันนี้เลยนำเอาภาพกราฟ US 10-year Treasury Yields พร้อมเหตุการณ์ เศรษฐกิจ,การเมือง ที่เกิดในช่วงปีต่างๆ ย้อนหลังไปถึง 1790 มาแชร์ต่อให้ดูกัน โดยเฉพาะช่วงที่เกิด Hyper Infation พร้อมการปรับดอกเบี้ยขาขึ้นของ Fed และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในอดีต เราจะเห็น US 10-year Treasury Yields ปรับตัวขึ้นรุนแรง ,แม้ปี 2022 นี้การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แบบ Aggressive rate hikes จะทำเอา US 10-year พรุ่งปรี๊ดข้ามปี แต่กรอบเพดาน US 10-year Treasury Yields หลังปี 2000 มายังไม่ทะลุเกิน 6% เลย   ในขณะที่ปีนี้ 2022 การเกิด inverted yield curve เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆและระยะห่างก็เพิ่มมากขึ้นจากปี 2021 ปีหน้า 2023 คงตามกันต่อว่าจะเป็นอย่างไร อ้างอิงจาก https://www.morganstanley.com.au/ideas/bonds

บันทึกค่าเงินเยน ที่ไม่เย็นอีกต่อไป

 เรียกว่าดราม่ามากกับค่าเงิน JPY และตลาดหุ้นญุี่ปุ่น หลังจาก BOJ ออกมาแถลงทำเอา surprise ตลาด ด้วยการประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตร Bond Yield 10 Year จากเดิม -0.25% ถึง +0.25% ขยับเพิ่มเป็น -0.5% ถึง +0.5% เพื่อเป็นการเปิดทางให้ Bond Yield 10 Year สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดัน และส่งเสริมให้ BOJ ยังทำการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย อัตราดอกเบี้ยติดลบต่อไปได้ , ซึ่งเมื่อวาน BOJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ไว้ที่ -0.1% ถ้าตามข่าวมาจะพบ BOJ ปีนี้ทั้งแทรกแซงอุ้มค่าเงิน JPY และเข้ามาอุ้มตลาดพันธบัตร ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากเพื่อรักษากรอบผลตอบแทนฺ Bond Yield ที่ 0.25% , ดังนั้นถ้าเกิดแรงขายหนักในพันธบัตรรัฐบาลญุี่ปุ่น อาจจะทำให้ BOJ เข้ามาใช้เงินจำนวนมากในการรับซื้อและถือครองพันธบัตรเกินกว่า 50% ,อาจจะกลายเป็นการแทรงแซงราคาและบิดเบือน demand ในตลาดพันธบัตรของตัวเองแบบ เป็นประวัติการณ์เลย หลังแถลงจบเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง โดย Bond 10Y Yield พุ่งไป 0.435% (ราคาหน้าตั๋ว Bond รุ่นเก่าร่วงหนักจากแรงขาย เพราะรุ่นใหม่ได้ Yield สูงกว่า) ส่วนดัชนีนิกเกอิร่วงลงกว่า 500 จุด

ข้อมูล สำคัญในการเลือกซื้อกองทุน

  วันหยุด เลยมีเวลานั่งทำการบ้าน, เลือกกองทุนกับรุ่นน้อง ,จัดพอร์ตรอรับปีหน้า (2023) ไปเลย การซื้อขายกองทุน ปัจจุบันมีหลาย application ที่ออกมามาก แต่ตัวที่ให้ data ครบและเข้าใจง่าย ต้องยกให้ finnomena โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับ"ค่าธรรมเนียม" ต่างๆ, ค่าใช้จ่ายของกองทุนที่อยู่ในหนังสือชี้ชวนและตัวเลขเก็บจริง เขานำมาสรุปให้เห็นหมด เลย ข้อดีคือเราจะทราบต้นทุนรวม เช่น ค่า Total Expense Ratio +Trading Fee(Front & Back end) ในการซื้อขายกองทุนทั้งหมดก่อนลงทุน ที่สำคัญสามารถเปรียบเทียบ ระหว่างกองทุนต่างๆ ที่เราสนใจได้ด้วย อันนี้สำคัญ เพราะถ้าวางแผนทำพอร์ตระยะยาว การไปดูแต่ performance ในอดีตแล้วคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนดี นี้ fail มาเยอะแล้ว , บางกองหักปีละ 4-5% ไม่ว่า performace จะดีหรือแย่แค่ไหน แบบนั้น ถ้าถือระยะยาว อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดของการเติบโตของพอร์ตได้, ถ้าเราเน้นถือยาว เน้น passive การเลือกกองทุนที่มี Total Expense Ratio + Trading Fee(Front & Back end) ไม่สูงก็น่าจะเหมาะสมกว่า ถ้าใครสนใจ หาเครื่องมือการบ้าน, แบบยังไม่ต้องเปิดบัญชี ก็ลองเข้าไปเล่นของ finnomena ได

ภาพหนึ่งภาพอาจแทนคำอธิบายเป็นล้านคำ

  มีท่านหนึ่งคอมเมนต์มาว่า "เรียนจบใหม่ เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงในตลาด ช่วยสรุปเรื่องวิธีการลงทุนสั้นๆให้ฟังได้ไหมค่ะ" สำหรับผมนะ ภาพนี้ ภาพเดียวเลยครับ ทำความเข้าใจ, แล้ววางแผนบริหารความเสี่ยง +กลยุทธ์การลงทุน/การเทรด ให้สอดคล้อง เท่านั้นเอง ภาพนี้ทำความเข้าใจ ราคา และอารมณ์ เป็นแก่น principle ที่ใช้ได้กับทุกกรณีเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกือบทุกตลาด นำไป map ได้หมด สั้นๆจบในภาพเดียว คนเข้ามาในตลาด ไม่ว่าจะเทรด หรือจะลงทุน จะซื้อหุ้น ซื้อทอง ซื้อกองทุน หรือเหรียญคริปโท ยังไงก็ต้องเคยผ่าน วัฏจักรนี้ คนที่สำเร็จ คือคนที่ นำทางนำพาตัวเองให้ผ่าน อยู่รอด วัฎจักรนรกใน money game นี้ไปได้, แล้วพัฒนา skill ต่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากภาวะตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไป ปล. เห็นภาพแล้ว อย่าคิดว่ามันง่าย ถ้าไปดูถูกว่า มันจะยากอะไร แค่ Sell High Buy Low นี้จบไม่สวยมาเยอะแล้ว

ทำไมการปกป้องผลกระทบเชิงลบจากความเสี่ยงจึงสำคัญ

ยังเจอความเชื่อประเภทที่ว่า พวกนักเก็งกำไร ชอบกำไรจึงชอบเสี่ยงแท้จริงแล้ว ถ้าอ่านเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ จะพบว่าไม่มีอะไรไม่เสี่ยง ดังนั้นเหล่า Risk Taker ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร(Trader) อาชีพที่ประสบความสำเร็จ, นักธุรกิจ และอื่นๆ คนเหล่านี้เขาชอบการเสี่ยง+ชอบความท้าทาย ซึ่ง Key สำคัญไม่ใช่การมโน การฝันถึงแต่กำไร แต่เป็นการปกป้อง Downside หรือผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการเสี่ยงต่างหาก เพราะไม่มีใครจะรู้อนาคตแน่นอน ไม่มี sure thing ,ถูกทุกครั้งที่ตัดสินใจลงมือทำอะไร ,มันย่อมมีความโอกาสจะผิดพลาด นั้นหมายถึง ยังไงก็ตามมันย่อมมีความเสี่ยง ,แต่การไม่เสี่ยง(Risk aversion) ก็อาจจะหมายถึงการเสียโอกาส ,การไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นจึงต้องกล้าที่จะเสี่ยง แต่ทุกครั้งที่จะเสี่ยง จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงให้เป็น 1. ทั้งโอกาสที่จะผิดพลาด(%ความน่าจะเป็นในการแพ้) 2. และขนาดผลกระทบ(เช่น จำนวนเงิน $ ที่ขาดทุน)จากความผิดพลาด ประเมินให้ออกก่อนล่วงหน้าที่จะตัดสินใจลงมือทำ(เดินหน้าเข้าหาความเสี่ยง) นั้นคือสิ่งที่ คุณ Richard branson อธิบายไว้ว่ามันคือหัวใจของการเสี่ยงแบบมืออาชีพ , ถ้ามีข้อมูลพร้อม+เตรียมแผนกา

ทำความรู้จักกับ FIRE

  มีคำถามเข้ามาทางกล่องข้อความว่า FIRE คืออะไร เนื่องจากกระแส FIRE ในไทยก็มีคนเขียนถึงพูดถึงพอควรแล้ว ในช่วงหลัง subprime ที่คนจำนวนไม่น้อยใช้ประโยชน์จากช่วงเกิด market discount หุ้นถูก,อสังหาถูก ซื้อสินทรัพย์แล้วได้ ประโยชน์จากตลาดหุ้นขาขึ้น ตลาดอสังหาขาขึ้นรุนแรง, ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ อดออมเก็บเงิน เก่ง ,สามารถเกษียณได้ตั้งแต่ 30 หรือ 40 ปี กระแส FIRE เกิดโด่งดังมาก เพราะมันมีเคสตัวอย่างให้เห็นจากคนทำได้จริง (ในช่วงเวลานั้น) โดย FIRE ย่อมาจาก Financial Independence, Retire Early ,อิสรภาพทางการเงิน + เกษียณจากงานประจำก่อนวัย 60 ปี, แยกสองประเด็นย่อยตามนิยามกลุ่ม FIRE (ผมศึกษาตามสายของ Mr. Money Mustache) ขอสรุปสั้นๆ 1. อิสรภาพการเงิน ไม่ได้หมายถึงรวยมากมายร้อยล้านพันล้าน แต่หมายถึงมีเงินพอกินพอใช้ โดยออกแบบแผนการใช้จ่ายเงินและค่าครองชีพล่วงหน้า อิง 4% Rule คือ ถ้าใช้เงินปีละ 300,000 บาท, แล้วออมเงิน+ลงทุนสร้างพอร์ตให้ได้ 7,500,000 บาท นั้นหมายถึง ถ้าพอร์ตทำผลตอบแทน 4% ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ก็ถือ OK คุณไม่ต้องทำงานประจำ ถอนปันผล+ขายหุ้นบางส่วนรับรู้กำไร ก็อยู่รอด , ถือว่ามี พอร์ตสินท

ไม่มีเวลา หรือ ไม่ใส่ใจลงมือทำ

อัพโหลดคลิป nicolas darvas ขึ้น youtube จำนวน 4 ตอนความยาวทั้งหมดกว่า 6 ชม. เป็นคลาสสัมมนาการกุศลเก่า แต่เนื้อหาและสไตล์การเทรดคลาสิกแบบ Darvas Box Trading Strategy ยังสามารถปรับใช้ได้ในปัจจุบัน คุณ nicolas darvas เป็นคนที่ผมชื่นชมตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนรู้เรื่องการเทรดหุ้น เพราะเป็นคนในยุค 1950 รุ่นแรกๆที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์แต่เขาใช้ระบบในการเทรด,ในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น นอกจากนี้พื้นหลังก็น่าสนใจ เพราะเขาเป็น เทรดเดอร์ ที่ไม่ได้เรียนจบทางการเงิน ไม่มีพื้นเพจาก wallstreet เป็นนักเต้นรีลาศ แต่เขาก็มีความสนใจ และความพยายามที่จะเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการในการเทรด ที่มัน work และสามารถใช้สร้างเงินสร้างฐานะให้ตัวเองได้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของเขา ไม่ได้เกิดมาจากปาฏิหารย์ แต่มันมาจากความขยัน ความพยายาม และการทดลองลงมือหลายปี เขียนบทความนี้ เพราะสะดุดกับ comment หนึ่งใต้คลิปวีดีโอ , น้องคนหนึ่งพิมพ์ว่า "พี่วีธีเทรดสั้นๆง่ายๆกว่านี้ไหม ,ไม่มีเวลาเรียนมันยาว" น้องคนนี้อาจจะงานยุ่งจริง ก็เข้าใจได้ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไม่มีเวลา คิดว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างหรือเหตุผลในการปฏิ

Top 10 Mark Minervini Playlist (รวมฮิตที่สุดของมาร์ค)

  แชร์เทคนิคการเทรดกับน้องๆเทรดเดอร์ ส่วนตัวผมเอาเทคนิคการเทรด Pin bar Trading Strategies และเทคนิคการเทรด Volatility Contraction Pattern ของคุณ Mark Minervini ไปแนะนำ สำหรับคนสนใจเรื่องการเทรด Momentum Trading หรือการเทรดแบบสไตล์ คุณ Mark minervini นอกจากการอ่านหนังสือแล้ว ,อยากแนะนำให้ดูคลิป vdo ที่คุณ Mark บรรยายโดยตรงทาง youtube ด้วย เพราะจะทำให้เราเห็นภาพเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะกระบวนการตัดสินใจและการวางแผนเทรด ที่จะทำให้เราได้เห็นตัวอย่างจริง ในตลาดปัจจุบัน โดยหลายเรื่องผมก็นำมาต่อยอดใช้เทรดจริง และนำมาทำคลิปสรุปอธิบายต่อ ข้อจำกัดเดียวคือมันเป็นภาษาอังกฤษ แต่แนะนำลองเปิด sub ดูก็น่าจะเข้าใจได้ตามระดับหนึ่ง ด้วยความที่มันมีหลากหลาย ผมเลยรวบรวมอันที่คิดว่า เด็ดๆ เอาไว้ให้เป็น playlist เพื่อลองศึกษา แนวทางการเทรดแบบ คุณ Mark minervini โดยตรงกัน หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านที่สนใจครับ เข้าฟังได้จาก http://bit.ly/3V2gNT8

นิยามความเสี่ยง (Defining Risk)

  เช้านี้ได้อ่านบทความหนึ่ง,น่าสนใจเลยนำมาสรุปประเด็นสำคัญๆ ให้ฟังกัน หลายสิ่งหลายอย่าง หลายเหตุการณ์(event) ในชีวิตล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน 100% , ดังนั้นจึงมันไม่มีอะไรที่ไม่เสี่ยง(Risk) , ทุกการตัดสินใจบนความไม่แน่นอน(uncertainty) ผลลัพธ์ที่เกิดย่อมมีโอกาสจะผิดพลาด และเกิดผลลัพธ์เชิงลบ(loss) ตามมาได้เสมอ แต่ความเสี่ยง(Risk) ก็ไม่ได้น่ากลัว เสมอไปเพราะ เราสามารถจัดการ Risk ได้ หรือควบคุมความเสียหายหรือผลลัพธ์ด้านลบ(loss) ได้เสมอ โดยการกำหนดขนาดของการเดิมพัน(exposure), ในการปฏิสัมพันธ์กับความเสี่ยงนั้นๆ Key คือการไม่ประมาท ไม่มี Bias ในการตัดสินใจดำเนินการใดๆ , วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินความน่าจะเป็น(Probability)ของผลลัพธ์ให้ออก, จากนั้นวางแผนกำหนด ขนาดของการเดิมพัน(exposure) ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิด การตัดสินใจที่ดี มีประสิทธิภาพ ไม่ได้แปลว่าต้องถูกเสมอไป แต่มันคือการตัดสินใจที่ปราศจากอคติ(Bias) และวางแผนรับมือความเสี่ยงหรือผลเชิงลบจากความผิดพลาดไว้ล่วงหน้าเสมอ ดังนั้นพื้นฐานการเทรด ไม่ว่าจะเทรดหุ้น หรือเทรดคริปโต ควรจะเริ่มจากการเข้าใจความเสี่ยง(Risk) และมีกลยุทธ์การจัดการควา

เคล็ดไม่ลับการเทรด ของกระผม

เจอคอมเมนต์หนึ่งใน Youtube เขาเขียนมาขอเคล็ดลับการเทรด, ผมมานั่งนึกๆดูจะตอบยังไง เลยทำให้คิดถึงภาพนี้ ประเด็นเรื่องของการปล่อยวาง, มันเป็น Top เทคนิคที่เกี่ยวกับ mindset เคยอ่านเจอในหลายหนังสือมาก และพอนำมาตกผลึกแล้วมาโยงกับการบริหารความเสี่ยง มันทำให้กลายเป็น solution ที่ใช้ได้ตลอดมา ไม่ว่าตลาดขาขึ้นหรือขาลง สมัยเริ่มเทรดแรกๆก็คิดที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วยการชนะตลาด ผมก็เหมือนน้องคนนี้อยากจะหาเคล็ดลับ หาสูตรลับ แต่สุดท้ายคำตอบที่ค้นพบมันเป็นเรื่องของการอยู่รอด, การทำผลตอบแทนที่ต่อเนื่องเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้ ส่วนการชนะตลาด ได้กำไร 100% ต่อปีหรือ ชนะคนอื่นๆหรือไม่มันไม่ค่อยสำคัญเลยในระยะยาว ขณะเดียวกันถ้าเราเข้าใจ ว่าสิ่งต่างๆ(ข่าว,นโยบายของธนาคารกลาง,เศรษฐกิจ,เงินเฟ้อ,ทิศทางตลาด และอื่นๆ) ล้วนมันดำเนินไปตามปัจจัยต่างๆที่เกิด(ยังไม่นับรวมเรื่อง randomness ) ทำให้เราไม่สามารถไปคาดเดา, หรือไปควบคุมมันได้ สุดท้ายการปล่อยวาง มันก็จะทำให้จิตเรานิ่งขึ้น เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงมากขึ้น เรียนรู้จะหาทางรับมือหรือวางแผนเพื่อกรณีที่ "ผิดทาง" เอาไว้เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนให้จำก

รวมมุมมองเศรษฐกิจ จากกูรูและผู้จัดการกองทุน

Reference แหล่งข้อมูลและบทความที่ผมอ่านเข้ามา จึงนำมาแชร์ ย้ำประเด็นไม่ใช่การมาทำนาย หรือ โน้มน้าวให้ เชื่อว่าจะเกิด recession  ผมก็แค่แชร์ มุมมองความคิดเห็น ของคนที่ประสบความสำเร็จ และเป็นระดับ Top ของตลาดให้ คิด วิเคราะห์ ตามเท่านั้น เป้าหมาย คือ ไม่ประมาท  และเราจะได้เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดให้ดีต่อไป .............................. Ray Dalio - You’re starting to see all the classic early signs’: Legendary investor Ray Dalio says the stock market has further to fall before a recession hits https://fortune.com/2022/09/22/ray-dalio-stock-market-fall-further-recession/ - Bridgewater's Dalio warns of a 'perfect storm' for economy "I don't know whether that's 4.5% or the economy could not take an interest rate much higher than that before it's going to be negative." https://www.reuters.com/markets/us/bridgewaters-dalio-warns-perfect-storm-economy-2022-10-11/ - Ray Dalio says stocks, bonds have further to fall, sees U.S. recession arriving

อัพเดตสถานการณ์กองทุนยอดนิยม ARK Inovation ETF

 Ben Johnson โพสข้อมูลกราฟผลงานที่ตกต่ำของกองทุน ARK Inovation ETF ($ARKK) ที่ผลตอบแทนสะสมตั้งแต่เริ่มต้นปี 2014 ล่าสุด 13 Oct 2022 แพ้กองทุน passive อย่าง Vanguard Total Stock Market Index ETF(VTI) ไปแล้ว โดยถ้านักลงทุนซื้อหน่วยลงทุน ARKK ที่ $10000 ผลตอบแทนจะอยู่ที่ $9884.52 (สะสม 98.85%),ขณะที่ซื้อ VTI ที่ $10000 เท่ากันผลตอบแทนจะอยู่ที่ $10629.93 (สะสม 106.30%) คงไม่ได้บอกว่า ARKK ไม่ดีหรือเป็นทางเลือกที่แย่ในการลงทุน แต่ข้อมูลสะท้อนให้เห็นความผิดปกติบางอย่าง กองทุน active (Expense ratio =0.75%)ที่เน้นเรื่องความคาดหวังในการเติบโตจากอนาคต จากเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น TESLA INC,ZOOM ,ROKU ,INTELLIA THERAPEUTICS,EXACT SCIENCES CORP วันนี้หลายตัวกระแส disrupt มาแต่ผลประกอบการและกำไรมันยังไม่เกิดขึ้น หลายบริษัทกลุ่มเทคโนโลยี inovation ที่ ARKK ไปลงทุนยังขาดทุนสุทธิ , บวกกับเศรษฐกิจเริ่มแย่ชะลอตัว , เงินทุนไหลออกจากหุ้นเทคโนโลยี ทำเอาราคาหุ้นเหล่านั้นร่วงลงอย่างรุนแรงตั้งแต่ต้นปี VTI กองทุน passive ที่ Expense ratio อยู่แค่ 0.03% ถ้าแกะหุ้นส่วนใหญ่ในพอร์ตก็จะพบว่า Top 5 Holdings เป็นหุ้น

กระแสการเลิกจ้างใน U.S. Tech Sector 2022

 ปี 2022 นี้เป็นปีแห่งการ layoff หรือปลดพนักงานของบริษัท Tech company จำนวนมากตั้งแต่ระดับ Top Tech ขนาดใหญ่จนถึง Startup , เช่นบริษัท Microsoft, Intel, Twitter, Tesla, Coinbase,TikTok, Robinhood ,Beyond Meat, Salesforce, Shopify , Noom, Peloton, Stripe, Sketch, Udacity, Crypto dot com เป็นต้น โดยจากข้อมูลของ layoff dot fyi รวมมีการปลดพนักงานกว่า 91,204 ตำแหน่ง,ข้อมูลจาก Crunchbase ในช่วงเดือน October กลุ่ม U.S. tech sector ปลดพนักงานกว่า 44000 ตำแหน่ง หลายบริษัทเลิกจ้างพนักงานใหม่และบางบริษัทปลดพนักงานเฉลี่ยกว่า 20-30% ,รวมถึงการประกาศเริ่มจะลดบางส่วนงานและปิดบางออฟิตลง โดยเฉพาะบริษัทที่ผลประกอบการไม่ดี +ราคาหุ้นดิ่งเหว ทำให้การปลดพนักงานกลายเป็นเรื่องปกติของอุตสาหกรรมนี้ เหตุผลหลักเป็นเรื่องของการลดต้นทุนของบริษัท จากที่เคยแข่งขันจ้าง แข่งกันให้เงินเดือนสูงๆตอนนี้กลายเป็นการเลิกจ้าง ลดต้นทุน คนที่ลำบากก็คือ พนักงาน หรือ ลูกจ้าง ,สิ่งหนึ่งเราจะพบคือ เงินเดือนสูงๆที่ได้ไม่กี่ปีช่วงบูมๆ มันก็มาพร้อมความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนของบริษัทในช่วงภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติ (ตอนนี้หลายคนตกงาน เจอป

เคล็ดไม่ลับการเทรด

ได้ไป เจอคอมเมนต์หนึ่งใน Youtube เขาเขียนมาขอเคล็ดลับการเทรด, ผมมานั่งนึกๆดูจะตอบยังไง เลยทำให้คิดถึงภาพนี้ ประเด็นเรื่องของการปล่อยวาง, มันเป็น Top เทคนิคที่เกี่ยวกับ mindset เคยอ่านเจอในหลายหนังสือมาก และพอนำมาตกผลึกแล้วมาโยงกับการบริหารความเสี่ยง มันทำให้กลายเป็น solution ที่ใช้ได้ตลอดมา ไม่ว่าตลาดขาขึ้นหรือขาลง สมัยเริ่มเทรดแรกๆก็คิดที่จะพิสูจน์ตัวเองด้วยการชนะตลาด ผมก็เหมือนน้องคนนี้อยากจะหาเคล็ดลับ หาสูตรลับ แต่สุดท้ายคำตอบที่ค้นพบมันเป็นเรื่องของการอยู่รอด, การทำผลตอบแทนที่ต่อเนื่องเหมาะสมกับความเสี่ยงที่เรารับได้ ส่วนการชนะตลาด ได้กำไร 100% ต่อปีหรือ ชนะคนอื่นๆหรือไม่มันไม่ค่อยสำคัญเลยในระยะยาว ขณะเดียวกันถ้าเราเข้าใจ ว่าสิ่งต่างๆ(ข่าว,นโยบายของธนาคารกลาง,เศรษฐกิจ,เงินเฟ้อ,ทิศทางตลาด และอื่นๆ) ล้วนมันดำเนินไปตามปัจจัยต่างๆที่เกิด(ยังไม่นับรวมเรื่อง randomness ) ทำให้เราไม่สามารถไปคาดเดา, หรือไปควบคุมมันได้ สุดท้ายการปล่อยวาง มันก็จะทำให้จิตเรานิ่งขึ้น เข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงมากขึ้น เรียนรู้จะหาทางรับมือหรือวางแผนเพื่อกรณีที่ "ผิดทาง" เอาไว้เพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุน

ความผิดพลาดสำคัญ 8 ประการในช่วงเริ่มต้นเทรดของ Mark Minervini

ปีแรก เป็นปีที่ยากสุดของการเป็นเทรดเดอร์ และเป็นปีที่สำคัญมากในการพัฒนาด้านการเทรดของเรา, Key ในการก้าวเดินไปข้างหน้าคือการเรียนรู้ จดจำความผิดพลาด เพื่อนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ไม่พาตัวเองไปผิดซ้ำ ตรงนั้น คลิปนี้ผมทำจากโพสแชร์ประสบการณ์ความผิดพลาดสำคัญ 8 ประการในช่วงเริ่มต้นเทรดของ Mark Minervini ที่เขาโพสไว้บนทวิตเตอร์ ซึ่งคิดว่ามันมีประโยชน์มาก และก็น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น ต้องเจอ ท่านที่ไม่ถนัดภาษาอังกฤษ หรือแปลไม่ออก ลองเข้าไปฟังได้จาก link ด้านล่างครับ https://youtu.be/6zgEcWmnO0s  

ค่าเงินบาทกับทุนสำรองของไทย

  พอดีเมื่อเช้าได้ฟังเรื่องค่าเงินบาทกับทุนสำรองของไทยมา เลยอยากเขียนบันทึกเรื่องนี้ไว้ ชวนให้พวกเราติดตามกันอย่างใกล้ชิด (ย้ำไม่ใช่เพื่อการ panic แต่อย่างใด) ถ้าจำกันได้ย้อนไปไม่นานเดือน ธค. ปลายปี 2021 ประเทศไทยมีข่าวติดอันดับทุนสำรองระหว่างประเทศสูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลกที่ 10 ล้านล้านบาท(2.78 แสนล้านดอลลาร์) แต่ผ่านมาไม่ถึง 8 เดือนข่าวตอนนี้ที่ออกมาคือ ทุนสำรองไทยลดลง 1.3 ล้านล้านบาท (-3.8 หมื่นล้านดอลลาร์) หลุดระดับ 2.2 แสนล้านดอลล่าร์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ประเทศไทยมีอัตราส่วนเงินทุนสำรองต่อ GDP ลดลงมากที่สุดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย โดยลดลงจาก 48.6% ณ สิ้นปี 2021 มาเหลือ 43.1% ในปัจจุบัน สิ่งที่น่าสนใจและเกิดขึ้นในช่วงคาบเวลานั้นคือ ค่าเงินบาท ที่ผันผวนและอ่อนค่าลงอย่างหนักมากในปี 2022 นี้ ล่าสุด(19-Sep) เงินบาท USDTHB อยู่ที่ระดับ 37.00 บาท/ดอลลาร์ เช่นเดียวกับการแข็งค่าของ USD ในช่วงภาวะการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างก้าวร้าวของ Fed โดย USD แข็งจากต้นปีกว่า 15.36% ด้านแบงค์ชาติ แถลงว่า ยังปลอดภัย ไทยยังมีฐานะด้านต่างประเทศที่แข็งแกร่งจากระดับเ