ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือชื่อ Anatomy of the Bear ของ Russell Napier มาผมอ่านแล้วชอบเลยอยากนำมาแชร์ต่อ
หนังสือปรับปรุงใหม่ช่วงปี 2016 เขียนลักษณะเป็นคู่มือไม่ได้เน้นวิชาการมาก แต่เป้าหมายอยากอธิบายสิ่งที่เกิดตอนตลาดหมี(Bear Market) เพื่อช่วยให้นักลงทุน/เทรดเดอร์ สามารถเอาตัวรอดได้
โดยคุณ Napier ทำการศึกษา Great Bear Market ในตลาดหุ้นสหรัฐ ช่วงปี 1900s ได้แก่ วิกฤติช่วงปี 1921, 1932, 1949, และ 1982 ความพิเศษคือเขาใช้การรวบรวมข้อมูลและบทความต่างๆกว่า 70K จาก Wall Street Journal (WSJ) ในช่วงเกิดวิกฤติ(2 เดือนก่อนหลังตลาดถึงจุดต่ำสุด) เพื่ออธิบายเหตุการณ์ที่เกิด และทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้ง ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ, นโยบายการเงินของ Fed, ผลกระทบต่อตลาดหุ้น และตลาดพันธบัตร รวมถึงกระบวนการแก้ปัญหาเพื่อกอบกู้ภาวะวิกฤติ เป้าหมายสังเคราะห์หาภาวะร่วม หรือสัญญาณบอกเหตุ ที่นำมาซึ่งการเกิดวิกฤติและ Great Bear market ต่อไป
........
หนังสือยาวแต่เนื้อหาดีและน่าสนใจมา ผมเลยมาแชร์สรุป Key สำคัญให้ลองเรียนรู้กันดังนี้
1. ตลาดไม่ได้ฟื้นตัวท่ามกลางข่าวร้ายเสมอไป
-ไม่ควรรีบซื้อสวน เพราะคิดว่าวิกฤติเกิดแล้ว ในภาวะตลาดเต็มไปด้วยข่าวร้าย คนกลัว เพราะบางวิกฤติใช้เวลานาน และอาจจะรุนแรงแตกต่างจากอดีต การหาจุดต่ำสุดของราคาหุ้น เป็นเรื่องทีไม่ง่าย
- ตลาดจะหลุดลง เมื่อมีการหยุดการขาย, ปริมาณการซื้อขายที่ "เบาบางและลดลงเรื่อยๆ"
- แน่นอนว่านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ,การซื้อสินทรัพย์ของ Fed หรือแผนเรียกความเชื่อมั่นจะเกิดในช่วงใกล้กัน เพื่อทำให้เกิด มุมมองเชิงบวกในอนาคต แม้ราคาจะไม่ได้ฟื้นกลับทันที แต่อย่างน้อยจะสร้างฐานในภาวะวิกฤติได้
2. ความผันผวนของราคา(Volatility) คือตัวเร่งปฏิกิริยาหลัก
- วิกฤติเกิดจากการสะสมของความร้าย ความกังวลหรือภาวะความไม่แน่นอนในอนาคต
- ยิ่งอ่อนไหวในด้าน sentiment มาก ราคายิ่งมีความผันผวนสูง บวกกับถ้ามีตัวเร่ง เช่น ข่าว หรือปัจจัยลบ จะทำให้เกิดการ panic sell เกิดการขายรุนแรงและต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากนักลงทุนรายใหญ่ กระตุ้นเกิดการขายในกลุ่มต่างๆ นำมาซึ่งการแตกตื่น และการร่วงของราคารุนแรง
- เมื่อสิ้นสุดตลาดหมี ภาวะราคาจะเริ่มทรงตัว ความผันผวนต่ำลงเข้าภาวะปกติ มักเกิดพร้อมกับสัญญาณ ปริมาณการซื้อขายที่ต่ำ (low trading volumes) แรงขายลดลงอย่างมีนัยยะ
3. ความไม่แน่นอนในราคาสินทรัพย์ต่างๆเป็นสัญญาณบ่งชี้
- วิกฤติเศรษฐกิจ มีการเชื่อมโยง ไม่ใช่แค่ตลาดหุ้นเท่านั้น ภาวะความไม่นอนในราคาสินทรัพย์ อย่างอสังหา, ราคาพันธบัตร , ราคาสินค้าโภคภัณท์คือจุดสังเกตได้
- เขายกตัวอย่างภาวะวิกฤติ 1921 และ 1932 ที่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรง เช่นการเกิดเงินฝืด อย่างหนัก แล้วตามด้วยเงินเฟ้อ ล้วนกระทบต่อการมีเสถิรภาพของราคาสินค้าโภคภัณฑ์" ,
-การจะพ้นวิกฤติไปได้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต้องกลับมาเป็นปกติ ก่อน และมักเกิดก่อนการฟื้นของตลาดหุ้น ยิ่งการแก้ปัญหาเงินฝืด ด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เหมาะสม จะพบการมีเสถียรภาพของราคาสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ ต่างๆ เป็นผลบวกต่อ การผลิตในภาคอุตสาหกรรม และธุรกิจต่างๆ
-ในหนังสือยกตัวอย่างวิกฤติในอดีต copper price มีบทบาทเป็นตัวชี้วัดที่ดีมาก สำหรับภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐในตลาดหุ้นช่วงปี 1900s
4. สัญญาณสำคัญจาก ตลาดตราสารหนี้
- ผู้เขียนแนะนำให้ติดตาม ภาวะการเปลี่ยนแปลงใน Bond Market โดยเฉพาะสัญญาณการเกิดวิกฤติหนี้และเครดิต ที่จุดเริ่มต้นของภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ
- สัมพันธ์เชื่อมโยง กับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ใช้เป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจ
- นอกจากนี้ราคา พันธบัตรรัฐบาล ยังใช้บ่งชี้ภาวะความเสี่ยงและความกังวลที่เกิดได้
-หลังวิกฤติ พันธบัตรรัฐบาล จะฟื้นตัวก่อน ตามมาด้วย หุ้นกู้เอกชนเครดิตดี ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ, จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่ ราคาหุ้นจึงฟื้นตามมา
5. นโยบายของธนาคารกลาง Fed
- ทุกวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐ Fed หรือธนาคารกลางมีบทบาทมาก ตลาดจับตามองการแก้ปัญหาของ Fed ทั้งการลดอัตราดอกเบี้ย, การทำนโยบาย QE ,การซื้อหนี้ ซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ผู้เขียนบอกว่า แม้ตลาดจะยังไม่ฟื้นเมื่อดอกเบี้ยติด 0 แต่ก็จะเกิดการชะลอการร่วงลง หลังรับข่าวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ จริงจังของ Fed และรัฐบาล, จะฟื้นรอตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการที่กลับมา
- กรณีลดอัตราดอกเบี้ย แล้วเศรษฐกิจไม่ฟื้นกลับมา แม้ราคาไม่ลงต่อมากแต่การถดถอย ภาวะตลาดขาลงก็อาจจะดำเนินต่ออยู่ โดยเฉพาะถ้าสถานการณ์ ไปสู่ภาวะเลวร้าย เช่นจากเงินฝืด ไปสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง
6. ราคาหุ้นสะท้อนความคาดหวังอนาคตเสมอ
- การรับข่าวร้าย ราคาหุ้นลงก่อน ที่ผลประกอบการจะออก, แม้บางบริษัทผลประกอบการยังดีหรือบวก แต่ราคาถดถอยลงหนักได้
- เช่นเดียวกับภาวะการฟื้นตัวของ Bear market , ราคาหุ้นฟื้นก่อน จากเงินไหลเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง แม้ผลประกอบการยังไม่ดีก็ตาม
- ผลประกอบการของบริษัทที่รายงานจะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องแม้ว่าตลาดหุ้นจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว จากการศึกษาตลาดหมีทั้งสี่ครั้ง ผลกำไรทำจุดต่ำสุดล่าช้ากว่าการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยเกือบ 6 เดือน
7. เตรียมตัวไม่ประมาท
-ผู้เขียน แนะนำจากบทเรียนวิกฤติตลาดหมี ว่าคนที่อยู่รอดคือคนที่เตรียมพร้อม ไม่ใช่พวกที่เดาหรือจ้องทำนาย ด้วยทฤษฏีอะไร
- ไม่มีใครเดา วัน/เวลา ที่ตลาดจะร่วงลงได้ถูกต้องแม่นยำ
- แต่การเตรียมตัว บริหารความเสี่ยงช่วย ลดผลกระทบจากภาวะวิกฤติและการขาดทุนหนักได้ การเตรียมล่วงหน้ามีแผนการณ์ พร้อมปฏิบัติสำคัญ
- ต้องไม่ประมาทเพราะวิกฤติหลายครั้งเกิดต่อในช่วงตลาดดี ราคาหุ้นอยู่ในจุดสูง(ชะลอตัวจุดสูง) ทำให้นักลงทุนมีต้นทุนสูงจากการซื้อหุ้นในภาวะขาขึ้น และยังเชื่อในข่าวดี มีความคาดหวังบวกในอนาคต
8. ระมัดระวังเสียงจากข่าวสาร คำวิเคราะห์วิจารณ์ของสื่อ
- การรีบซื้อ รีบขาย จากข่าวในภาวะวิกฤติต้องระวัง เพราะ noise ออกมาเยอะมาก บวกกับนักลงทุนต้องการ ความเชื่อมั่น ต้องการเหตุผล
- หลายครั้ง ตลาดไม่ได้มีเหตุผล แต่มันเกิดจากการกระทำ ซื้อ/ขาย ของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด
- การมีสติ คิด วิเคราะห์ข้อมูล และตัดสินใจไปตามแผนตามระบบ จึงสำคัญ
####
