ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยาการลงทุน

เบื้องหลังความสำเร็จ

เวลาเรามองไปที่ใครสักคนที่ประสบความสำเร็จ เรามักมองเห็นแต่ภาพความหรูหราและความเจิดจรัส ของคนคนนั้น จนทำให้เกิดความอยากที่จะเป็น อยากที่จะประสบความสำเร็จอย่างคนคนนั้น แต่แท้จริงแล้ว ภายใต้เปลือกแห่งความสำเร็จที่เราเห็น อาจจะเต็มไปด้วยรอยแผลแห่งขวากหนามและร่องรอยของความเจ็บปวดที่คนคนนั้นต้องฝ่าฟันเพื่อเดินไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่อยากเป็นนักดนตรีมาก มากจนเลือกที่จะไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยตามที่พ่อแม้หวัง แต่ใช้ชีวิตการเป็นนักดนตรีตามที่ตัวเองฝันไว้ ทุกวันนี้แม้เขาจะยังไม่ประสบความสำเร็จ ไม่มีชื่อเสียงโด่งดัง ยังต้องเล่นดนตรีตามผับตอนกลางคืน แต่ ถ้าถามว่าเสียใจไหมที่ตัดสินใจเดินทางนี้ เพื่อนผมคนนี้กับตอบแบบทันทีว่าไม่เคยเสียใจ ผมชอบแนวทางที่เขาทำนะแม้จะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่แต่มันชัดเจนกับตัวตนและความต้องการแท้จริงในใจเขา เรานั่งคุยกันและมีหัวข้อสนทนาหนึ่งที่ผมติดใจและอยากนำมาเขียนต่อ เพื่อนผมคนนี้พูดขึ้นมาว่า "ลองคิดดูสิ มันไม่ใช่จะจับผู้หญิงคนไหน มาปั้นให้เป็นแบบ เลดี้ กาก้า(lady gaga) ได้ คนที่จะเป็นแบบนี้ต้องเกิดมาเพื่อจะเป็นเท่านั้น" จริงๆฟังดูเหมือนจะโอเวอร

"ทองคำลึก 3 ฟุต"

เรื่องนี้อ่าน 3 รอบแล้วเอามาจาก page ของคุณพีร์ wizard kid อ่านเรื่องนี้แล้วเป็นแรงบันดาลใจในการทำงาน ในการทำธุรกิจและในการลงทุนเป็นอย่างมาก หลายๆอย่างในชีวิตไม่ได้มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ เราจึงต้องพยายามออกแรง และดิ้นรน เพื่อจะไปให้ถึงฝั่งฝัน แต่ความพยายามเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ จึงจำเป็นต้องมีสติปัญญา และการคิดอย่างรอบคอบด้วยเพื่อช่วยให้สามารถประสบความสำเร็จได้  "ทองคำลึก 3 ฟุต" ในยุคตื่นทองของสหรัฐอเมริกา ลุง ของ อาร์. ยู. ดาร์บี้ ก็เป็นโรคตื่นทองกับไปเขาเหมือนกัน ลุงของเขาได้ร่วมเดินทางไปทางฝั่งตะวันตกของโคโลราโด เพื่อไปขุดหาทองคำ ด้วยความหวังว่า หากพบสายแร่ทองคำ เขาก็จะได้มีโอกาสพบกับความร่ำรวย แล้วลุงของเขา ก็ไปขอสิทธิ์ในการขุดทองคำ จากนั้นจึงเริ่มเข้าไปทำงานขุดและร่อนทอง หลังจากทำงานได้หลายสัปดาห์ ลุงของเขาก็พบกับทองคำ สมดังที่ตั้งใจไว้ ลุงของดาร์บี้ จึงรีบปิดเหมืองทองเล็กๆของเขาไว้ก่อน โดยไม่บอกให้ใครรู้ และรีบกลับไปบ้านเกิดที่ วิลเลียมเบิร์ก รัฐแมรีแลนด์ เพื่อบอกเรื่องการพบทองคำครั้งนี้กับ ญาติ และเพื่อนสนิท บางคนของเขา เมื่อได้ทราบข่าวดีนี้ ลุงของดาร์บี้ พร้อมกับ

ปีหน้าฟ้าใหม่

ปีใหม่กลายเป็นเทศกาลที่พิเศษ เมื่อเรามีโอกาสที่ได้หยุดอยู่กับที่ได้ออกจากวงจรการทำงานประจำ ซ้ำๆเดิมๆเหมือนดังเช่นที่ผ่านมาตลอดปี ได้มีเวลาพักผ่อนกับครอบครัว หรือบางคนเลือกใช้เวลานี้กับการเดินทางท่องเที่ยวเพื่อชื่นชมบรรยากาศที่แตกต่างไปจากทุกวันในรอบปี แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรลืมคือการใช้เวลาวันหยุดในการอยู่กับตัวเองทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาในปีที่แล้ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนก้าวเดินต่อไปในอนาคต วิธีหนึ่งคือการเจริญมรณสติ แบบที่คุณสตีฟ จ๊อป ศาสดาแห่ง Apple ทำเป็นประจำ ด้วยการสนทนากับเสียงข้างในจิตใจของตนเอง โดยตั้งคำถามถามตัวเองว่า "ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กาลังจะทำในวันนี้หรือไม่" ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน แน่นอนว่าเขาก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลง ผมว่าแนวคิดนี้ค่อนข้างดีมาก และนำมาประยุกต์ได้หลายหลาย ทั้งในเรื่องการทำงาน การเรียน ความรัก และการลงทุน  โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน การลงทุนไม่ว่าจะแนว VI หรือ VS ล้วนแต่ต้องอาศัยความเชื่อในการลงทุนทั้งนั้น เชื่อในระบบ เชื่อในวิถีทาง และเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง แต่แน่นอนว่า เราไม่สามารถสุดโต

บทเรียนของผู้แพ้

เรามักหาอ่านเรื่องราวของคนที่ชนะ ประสบความสำเร็จจากการลงทุนได้ง่าย ทั้งหนังสือพิมพ์ รายการทีวี ต่างก็มักจะนำเสนอเรื่องราวของคนเหล่านั้น ซึ่งเกือบ 80% ของเนื้อหามักจะพูดเน้นไปที่สิ่งที่เขาทำแล้วสำเร็จ ซึ่งพอนำเสนอผ่านคำถามของพิธีกร คำตอบมันดูช่างง่ายดาย ราวกับว่าคุณเองก็สามารถทำได้ แต่แท้จริงแล้วผมเชื่อมาตลอดว่ากว่าคนเหล่านั้นจะพบกับคำว่าความสำเร็จ เขาย่อมผ่านการล้มลุกและเจอความล้มเหลวมาก่อน แล้วแน่ใจว่าช่วงเวลาในวังวนแห่งความล้มเหลว กว่าที่ใครคนหนึ่งจะก้าวผ่านมาได้ ย่อมต้องใช้เวลาในการปรับเปลี่ยน แก้ไขและค้นหา เส้นทางที่จะนำเขาไปสู่ความสำเร็จได้ ส่วนตัวผมชอบที่จะฟังเรื่องราวที่ผิดพลาด เหตุการณ์ที่ล้มเหลว ในยามช่วงที่จิตใจท้อแท้ รวมถึงเหตุการณ์จุดเปลี่ยนที่ทำให้เขาออกจากจุดล้มเหลว ยิ่งเฉพาะวิธีการและแนวคิดที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงนั้นมากกว่า การมาสนใจว่าเขาซื้อหุ้นอะไรที่ได้กำไรหลายร้อย % หรือจริงๆแล้ว บางทีเราอาจจะลองเปลี่ยนมาสัมภาษณ์ คนที่ล้มเหลวดูบ้าง เช่นคนที่เล่นขาดทุนจนหมดเงินต้องหันหลังออกจากตลาดไป หรือคนที่ติดดอยหลายปี จนต้องเลิกเทรด การได้ฟังเรื่องคนที่ล้มเหลว จะทำให้เราเรียนร

leverage

ช่วงนี้ดูเหมือนความกังวลเกี่ยวกับตลาดหมีน้อยจะกลับมาอีกรอบ โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาหนี้สินของกรีซ และประเทศอื่นๆในยุโรป สลับกับตัวเลขทางเศรษฐกิจของอเมริกา ที่ออกมาให้ลุ้นกันได้เรื่อยๆ เมื่อหลายคนกังวล ผลที่ตามมาคือ ตลาดหุ้นมักตอบสนองกับความกังวลนั้น จะสั้นหรือยาวก็ตามแต่สถานการณ์ รวมถึงวิธีการเล่นของผู้เล่นรายใหญ่ เดี่ยวนี้จึงได้เห็นแมงเม่าแห่ลงไปเทรด Tfex กันมากขึ้น ตามคำชวนของเพื่อน ของมาร์ ด้วยความเชื่อที่ว่า จะได้มีเครื่องมือไว้ทำกำไรในช่วงตลาดขาลง  โดยหลายคนขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการเทรดในตลาดฟิวเจอร์ ขาดระบบการเทรด ขาดการวางแผนการเงินที่ดี เพราะหลายคนเพิ่งจะเริ่มเทรดหุ้นได้ไม่นาน และส่วนมากยังขาดทุนกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร จึงคิดที่จะมีทางลัดในการทำเงินจากตลาดฟิวเจอร์ ที่มี leverage สูงได้กำไรเยอะ เร็ว (อันนี้คำโฆษณาที่ยอดฮิต)  ผลที่ปรากฏส่วนมากก็จะขาดทุนไปตามระเบียบ บางคนเล่นไม่ต่างกับไฮโล แทงสั้น แทงยาว ไปตามการคาดเดา จับข่าว จับเรื่องราว จับดาวน์โจน ดาวน์โจนฟิวเจอร์ จับฝรั่งซื้อ-ขาย มาเป็นวัตถุดิบในการเดา สุดท้ายผิดทาง(จริงๆตัวเลขเหล่านี้ ส่วนมากใช้ประกอบกับข้อมูลอื่นๆหรือประกอบกับ

ลาออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียว ดีไหมครับ???

ขอนำคำตอบของคำถามจากน้องคนหนึ่ง ที่ส่งข้อความเข้ามาถามผมว่า "จะลาออกมาเล่นหุ้นอย่างเดียว ดีไหมครับ???" มาแชร์ให้เพื่อนๆได้อ่านกัน เพราะผมคิดว่าหลายคนที่เคยได้กลิ่นหรือลิ้มชิมรสของเงินจากตลาดหุ้นมาแล้ว ล้วนมีความคิดแบบนี้ 

ไม่มีทางลัดสำหรับอิสรภาพ!!!!

ช่วงนี้คำว่า Freedom เป็นกระแสที่กำลังฮิตจริงๆหลายคนอยาก สัมผัสกับอิสระอยากหลุดออกจากรอบเดิม แบบที่ต้องตื่นเช้า ลากสังขารไปทำงานหนักที่ตนเองไม่ได้รัก เจอสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย การแข่งขันการเอาเปรียบและการต้องเผชิญต่อแรงกดดันจากเจ้านาย ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนพันธนาการเราไว้ด้วยคำว่า "เงินเดือน" ดังนั้นการจะหลุดกรอบนี้ได้ต้องตัดล็อคแม่กุญแจอันโตออก หรืออีกนัยหนึ่งคือการอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินเดือนจากงานประจำ จึงเป็นที่มาของคำว่า อิสรภาพทางการเงิน  อิสระมีจริงหรือ  หลายคนมองพาหนะที่จะพาตัวเองหลุดจากกรอบเดิมไปสู่อิสรภาพทางการเงินด้วยการเข้ามาสู่ตลาดหุ้น เข้ามาสู่สังเวียนการลงทุน แน่นอนว่าแรงบันดาลใจแรกเริ่มของทุกคน(รวมถึงผมด้วย) ย่อมมาจากเจ้าวลีที่ว่า “อิสรภาพทางการเงิน” หรืออีกคำที่คลาสสิกไม่แพ้กันคือ “ให้เงินทำงานแทนเรา” ฟังสองคำนี้แล้วแทบซึ้งเพราะมันโดนใจจี๊ดขึ้นมาทันที ผมจำได้ว่าหลายปีที่แล้ว วันแรกที่เข้ามาสู่ตลาดหุ้นมันก็คล้ายกับเด็กบ้านนอกเข้ากรุงหรือพจมานถือ ชลอมกำลังจะก้าวเข้าสู่บ้านทรายทอง อะไรที่พบที่สัมผัสล้วนดูแปลกตา ผมมีคำถามมากมายที่เฝ้าถามไถ่คนที่เดินผ่านไปมา สวนทา

น้ำผึ้งในช้อนกาแฟ

ผมมักเจอปัญหาแบบนี้บ่อยๆมากคือแยกไม่ออกระหว่างการเรื่องการขอคำปรึกษากับการขอหุ้นเด็ด หลายท่านเข้ามาขอคำปรึกษาเรื่องการลงทุนในหุุ้น ผมก็พยายามแนะนำไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคนิคหรือเรื่องพื้นฐาน เท่าที่ตนเองจะรู้ ช่วยเต็มที่ แต่ที่หลายคนมักไม่เลือกที่จะขอความรู้ แต่เลือกที่จะขอหุ้น ราวกับผมเป็นอาจารย์ใบหวย คิดง่ายๆนะครับถ้าผมรู้ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นเยอะๆผมคงรวยไปแล้ว ไม่ต้องมาทำงานให้ลำบาก คนอื่นๆก็เช่นกันถ้าเขารู้อนาคต รู้ในสิ่งที่ยังไม่เกิดเขาไม่มาลำบากทำงาน หาเงินหรือนั่งเล่นหุ้นหรอกครับ ดังนั้นส่วนมากที่ให้หุ้นก็คือเดาแบบมีหลักการนั้นแหละ ผิดบ้างถูกบ้าง พอผิดก็มีเหตุผลมาแก้ตัวต่างๆนานา ดังนั้นเล่นหุ้นหรือลงทุนอย่าไปเดา ทดลองทำตามระบบที่เราคิด และอยู่กับปัจจุบันดีที่สุด แต่ประเด็นมันอยู่ที่ คนส่วนใหญ่มักคิดที่จะรวยแบบรวดเร็ว การได้หุ้นเด็ด หุ้นแรง ซื้อปุ๊บก็รวย แต่ถามว่าซื้อ 10 ครั้งจะแจ๊คพอต ได้ถึง 5 ครั้งหรือเปล่า ???  ที่สำคัญเมื่อเสียแล้ว เรามักจะเสียติดๆกัน เมื่อเสียแล้วแมงเม่ามักจะติดดอยไม่ค่อยคัดลอส ทำให้เงินทุนก็ลดลง โอกาสกลับมาก็ยาก  การมีความรู้การเข้าใจวิธีคิดและความสามารถในการบริ

หนัก เบา ช้า เร็ว

ช่วงนี้มีแต่คนบ่นว่าขาดทุนบ้างล่ะ ตกรถบ้างล่ะ เพราะตลาดผันผวนมากมายไปตามปัจจัยต่างๆภายนอก นี้ยังไม่นับช่วงเดือนเม.ย วิปโยคที่มักจะมีหมู่มวลม๊อบออกมาชุมนุมอีก ไม่รู้ว่าอนาคตทิศทาง SET จะสดใสซาบซ่าอยู่หรือเปล่า บวกกับมาเจอเรื่องร้ายๆแบบภัยพิบัติที่ญี่ปุ่น รวมถึงการระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่ามีโอกาสจะรุนแรงแบบ เชอร์โนบิล ที่สร้างความเสียหายระยะ 30 กิโลเมตรเกิดจากการรั่วไหลของกัมตภาพรังสี แต่ความเสียหายอาจจะบรรเทาได้จากการเตรียมรับมือและวินัยของคนญี่ปุ่น ที่มีความพร้อมและมีการปฏิบัติที่เป็นระเบียบ สิ่งที่หนีไม่ได้คือความเสียหายทางเศรษฐกิจที่อาจจะมีมูลค่าสูง ยิ่งถ้าต้องมีการอพยบคนในเขตใหญ่แบบเมืองโตเกียว นี้แหละครับสิ่งที่อนิจจัง ไม่เที่ยงใครจะเชื่อว่าประเทศของโดเรมอน ที่มีความพร้อมและความเจริญทางเทคโนโลยีระดับต้นๆของโลกต้องเผชิญกับการทดสอบจากธรรมชาติที่รุนแรงขนาดนี้ คนไทยอย่างผมคงได้แต่เอาใจช่วยให้ผ่านเรื่องร้ายๆนี้ไปได้ด้วยดี อย่ารีบวิ่งเดี่ยวจะล้ม ผมพบว่าคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาลงทุนมักจะพึงพอใจกับการได้กำไรก้อนใหญ่ หรือเศร้าเสียใจกับการขาดทุน ซึ่งในภาวะตลาดแบบ non t

รู้ไหมคุณกำลังแข่งกับใคร???

การใช้ชีวิตในโลกนี้แน่นอนว่าเรามักจะหนีไม่พ้นการแข่งขัน ตั้งแต่เด็กจนเป็นผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องความรัก การแข่งขันดูเหมือนจะเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์ไปแล้ว แน่นอนว่าทุกครั้งย่อมมีทั้งผู้แพ้และผู้ชนะ ผู้ชนะได้ในสิ่งที่ดี ที่เป็นรางวัลไปครอบครอง ผู้แพ้ก็ย่อมไม่ได้สิ่งที่หวัง ว่างเปล่า บางคนที่แพ้มากๆหมดไฟก็กลายเป็น Mean ของสังคมและระบบนิเวศไป เป็นมนุษย์คนที่ธรรมดาทั้ง รูปร่าง หน้าตา ความสามารถ และฐานะ และดำรงอยู่ในสังคมร่วมกับผู้ชนะ แต่ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นคือ ไม่ใช้ผู้แพ้ในเกมส์การแข่งขันทางสังคมจะไม่มีความสุขเสมอไป ผู้แพ้ทางสังคมมีโอกาสครอบครองความสุขได้ เพราะความสุขเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ เกิดขึ้นจากการแข่งขันกับตัวเอง ถ้าชนะใจตัวเองได้ ความสุข ความสมหวังก็ย่อมจะเกิดตาม  ดังนั้นการแข่งขันกับจิตใจตัวเองจึงเป็นสิ่งสำคัญไม่เว้นแม้แต่การลงทุนในตลาดหุ้น เก่า(ตาย)ไปใหม่ก็มา คนเก่าที่ล้มหายตายจากไป ไม่เจ๊งขาดทุนโดน Force sell กันไป ก็ติดดอยกลายเป็น VI จำเป็น แต่กระแสเงินก็ไหลเข้ามาจากแมงเม่าหน้าใหม่ ยิ่งมีคนเข้ามาลงทุนมากเท่าไหร่ ตลาดยิ่งหอมหวานเพราะ