ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ risk management

ทางลัด สูตรสำเร็จ เก่งข้ามคืนไม่มีอยู่จริง

  email ยอดนิยมมากๆที่ได้รับบ่อยสุด คือ ถามเรื่องระบบเทรด,การ Setup กราฟ, indicator ที่ใช้เทรด ที่ทำให้ได้กำไร ได้เงินจากการเทรดดีๆ ซึ่งคำถามประเภทนี้ ส่วนใหญ่ ไม่เป็นคำถามของมือใหม่เพิ่งเริ่ม ก็เป็นเทรดเดอร์ที่เริ่มมาสักระยะแล้ว ขาดทุนต่อเนื่องไปต่อไม่ถูก , บางคนลองมาหลายวิธี , เทรดตามหลายกูรู พายเรือวนในอ่าง ได้ๆเสียๆ ได้กำไรไม่นาน ตลาดแกว่ง พอร์ตแดงขาดทุนหนัก พอตัดขาดทุน ราคาดีดใส่หน้าให้ช้ำใจอีก เรื่องหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการเทรดมาหลายสิบปีคือ คนที่เอาตัวรอดในตลาดได้ ไม่ใช่คนฉลาด หรือเก่ง เหนือคนอื่น ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่มีความตั้งใจ ความขยัน ความพยายาม มากกว่าคนทั่วไป นอกนี้สิ่งสำคัญคือไม่ประมาท บริหารความเสี่ยงเป็น และมีวิธีคิดที่พร้อมจะเรียนรู้ จากข้อผิดพลาด แล้วพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ดังที่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ตลาดมีบทเรียน ให้เทรดเดอร์เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทุกปีตลาดก็ไม่เหมือนกัน, มีปัจจัยต่างๆเข้ามาได้ตลอด , ซึ่งนี้เป็นที่มาว่าทำไม ผมถึงจดบันทึก เขียนบทความ ทุกวัน มาตลอดหลายสิบปี เพราะสำหรับผมทุกวัน มันก็คือการเรียนรู้ , เจออะไรต่างๆนานามากมาย พอเข้าใจก็จะเตรียมพร้อมรับมือ มันได้ถ

ระวังตรรกะวิบัติที่จะทำให้หมดตัว

ทุกวันนี้เห็นมีคนสอนเรื่องการเทรดและ การลงทุนแบบสั้นๆ 1-2 นาที ใน tiktok เยอะมาก ทั้งที่หลายเรื่อง มันไม่ควรแนะนำอะไรสั้นๆ หรือพูดเน้นสรุปให้ท่องจำ ด้วยการโน้มน้าวว่ามันคือ เคล็ดลับ สั้นๆไม่กี่ข้ออะไรแบบนี้เลย เพราะ จริงๆแล้วมันไม่มี solution อะไรเป็นสูตรสำเร็จตายตัว ดังที่พบทุกวันนี้ ราคาสินทรัพย์ต่างๆมันผันผวน ไปตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกมากมาย เช่น นโยบายการเงิน, การเคลื่อนของ Fundflow ,ตัวเลขเศรษฐกิจ ดังนั้นมันไม่มีอะไร ที่แน่นอน 100% หรือ sure thing สิ่งสำคัญกว่าการหาสูตรลับมันคือ "ความเข้าใจพฤติกรรมราคา" และปรับตัวให้รอด(พ้นจากความเสี่ยง) กับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิด อีกอันหนึ่งที่เมื่อเช้าเพิ่งเห็นเลย tiktok กูรูเทรดต่างประเทศ , สอนคนดูให้เทรดอนุพันธ์ โดยใช้ leverage แบบสุดโต่ง ประมาณว่า , ถ้ามีเงิน $1000 ใช้ leverage 2x , ได้กำไร 10% จะได้เงิน $200 แต่ถ้า $1000 ใช้ levererage 100x ,เทรดได้กำไรแค่ 10% ได้เงิน $10,000 ต่างกัน 10000-200 = $9800 ทำไมจะทิ้งโอกาสทอง ทำเงินก้อนใหญ่ไว้เฉยๆ ในเมื่อใช้เงินเท่ากัน พูดด้วยน้ำเสียงแบบว่าผิดมาก ที่ไม่ใช้โอกาสนี้(และตามด้วยประโยคชักจูงคนใ

Risk IQ

  คนทั่วไปที่ไม่ได้เกิดมาร่ำรวย ส่วนใหญ่เราก็อยากรวยเยอะๆเร็วๆ ทั้งนั้นเพราะความโลภ มันคือเรื่องปกติ เมื่อติดกับตัวเลขหรือจำนวนเงิน ซึ่งจะทำให้ Risk IQ ลดลง แต่การจะมั่งคั่ง อย่างยั่งยืนได้ คำแนะนำส่วนใหญ่จากคนที่ประสบความเร็จทางการเงินแล้วจริงๆ(ไม่ว่าจะนักธุรกิจ,นักลงทุน,นักเก็งกำไร) เขามักจะเน้นให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบ ที่สามารถผลิตผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ให้สำเร็จเสียก่อน ยกตัวอย่างคำแนะนำจากคลิป The 5 Principles Behind the 10 Secrets ของคุณ Anton Kreil อธิบายเรื่องนี้ไว้ดีมาก เขาบอกว่าสิ่งที่ควรทำคือ ถ้าอยากมั่งมี ร่ำรวย ต้องทุ่มเทใช้เวลา ใช้ความพยายาม ในการสร้าง income generating portfolio ไม่ว่าจะมาจากการทำธุรกิจ, การเทรดหรือการลงทุนก็ตาม โดยพัฒนาโมเดลโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถผลิตผลตอบแทนต่อเนื่อง แล้วนำเอากำไรที่ได้ไปเป็นส่วนขยาย เพื่อสร้างให้เกิดการเติบโต จากผลกำไรทบต้นต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาว ดังนั้นการเทรดก็เช่นกัน เราอาจจะเริ่มด้วยเงินน้อย เงินไม่มาก ไม่เป็นไร (อย่าไปท้อใจ แล้วเอาแต่จะเสี่ยงโชค หรือพึ่งทางลัด) ถ้ามีระบบเทรด มีพอร์ตโฟริโอ ที่สร้างผลตอบแทนที่เสถียร มั่น

นิยามความเสี่ยง (Defining Risk)

  เช้านี้ได้อ่านบทความหนึ่ง,น่าสนใจเลยนำมาสรุปประเด็นสำคัญๆ ให้ฟังกัน หลายสิ่งหลายอย่าง หลายเหตุการณ์(event) ในชีวิตล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน 100% , ดังนั้นจึงมันไม่มีอะไรที่ไม่เสี่ยง(Risk) , ทุกการตัดสินใจบนความไม่แน่นอน(uncertainty) ผลลัพธ์ที่เกิดย่อมมีโอกาสจะผิดพลาด และเกิดผลลัพธ์เชิงลบ(loss) ตามมาได้เสมอ แต่ความเสี่ยง(Risk) ก็ไม่ได้น่ากลัว เสมอไปเพราะ เราสามารถจัดการ Risk ได้ หรือควบคุมความเสียหายหรือผลลัพธ์ด้านลบ(loss) ได้เสมอ โดยการกำหนดขนาดของการเดิมพัน(exposure), ในการปฏิสัมพันธ์กับความเสี่ยงนั้นๆ Key คือการไม่ประมาท ไม่มี Bias ในการตัดสินใจดำเนินการใดๆ , วิเคราะห์ข้อมูล ประเมินความน่าจะเป็น(Probability)ของผลลัพธ์ให้ออก, จากนั้นวางแผนกำหนด ขนาดของการเดิมพัน(exposure) ให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิด การตัดสินใจที่ดี มีประสิทธิภาพ ไม่ได้แปลว่าต้องถูกเสมอไป แต่มันคือการตัดสินใจที่ปราศจากอคติ(Bias) และวางแผนรับมือความเสี่ยงหรือผลเชิงลบจากความผิดพลาดไว้ล่วงหน้าเสมอ ดังนั้นพื้นฐานการเทรด ไม่ว่าจะเทรดหุ้น หรือเทรดคริปโต ควรจะเริ่มจากการเข้าใจความเสี่ยง(Risk) และมีกลยุทธ์การจัดการควา

ทำความรู้จักกับ Stagflation ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐ(1970s)

  นำเรื่องของ Stagflation มาเล่าให้ฟังครับ ,พอดีมีโอกาสได้ไปอ่านเจอบทความจาก paper หนึ่งชื่อว่า The Supply-Shock Explanation of the Great Stagflation ของ Princeton University เขาเรียบเรียงและเล่าเหตุการณ์ ช่วงเศรษฐกิจถดถอยและการเกิดเงินเฟ้อสูง ตอนยุค 1970 - 1983 ซึ่งเป็น 13-14 ปีแห่งความ chaos ทางเศรษฐกิจมากมาย , เริ่มต้นจากนโยบายของ Nixon ที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อน+การตั้งกำแพงภาษี, มาเจอปัญหา supply shock ปี 1973 จากราคาน้ำมันที่เพิ่งสูงกว่าปกติ 300% ข้ามคืนหลังจากประเทศตะวันออกกลาง รวมกลุ่ม OPEC และบอยคอตส่งน้ำมันให้ชาติสหรัฐและพันธ์มิตรที่สนับสนุน อิสราเอล ในสงคราม Arab–Israeli War , และเกิดซ้ำ oil crisis อีกรอบช่วง 1979 จากการสหรัฐและชาติสมาชิกคว่ำบาตรอิหร่านในช่วง ปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolution) ทำให้ supply น้ำมันจากอิหร่านหายไปจากตลาด ด้านเศรษฐกิจตอนนั้นถดถอยหนัก, คนว่างงานจำนวนมาก, ราคาสินค้าแพง และระดับเงินเฟ้ออเมริกาที่ขึ้นไปจุดสูงสุดถึงระดับ 13%, การเข้ามาแก้ไขด้วยยาแรงของ Paul Volcker หลังจากเปลี่ยนประธานเฟดมา 3 คน ซึ่งในปี 1981 มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปถึง 20% , พันธ์

บทเรียนหายนะวิกฤติเงินเฟ้อ | The German Hyperinflation Crisis

  ผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือชื่อ When Money Dies ของคุณ Adam Fergusson , เป็นหนังสือเกี่ยวกับภาวะ Hyperinflation ช่วงปี 1923 ที่เกิดในประเทศเยอรมนี ภายหลังแพ้สงครามโลกครั้งที่ 1 , ประเทศที่ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยทรัพยากร และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ,ค่าเงินที่มั่นคง หลายร้อยปี , ต้องมาเจอวิกฤติจนด้อยค่ากลายเป็นแค่เศษกระดาษ ในช่วงไม่กี่ปี สมกับคำโปรยที่ว่า เมื่อเงินตาย จริงๆซึ่งสร้างผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป.อย่างมากมาย, หลายเรื่องที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับ inflation ผมเลยลองทำสรุปสั้นๆ ในส่วนของการเกิดภาวะ Hyperinflation มาเล่าให้ฟัง เพื่อเป็นการเรียนรู้ความรุนแรง และความเลวร้ายสุดโต่งของภาวะเงินเฟ้อแบบ extream สนใจลองเข้าไปฟังได้ที่ link ด้านล่างครับ, แต่ถ้าอยากเรียนรู้ลึกๆก็แนะนำหนังสือเล่มนี้เลยจริงๆ https://youtu.be/nIsZVJ_pTCs

เทคนิคจัดการความเสี่ยงเพื่อพอร์ตคงกระพัน

วิธีคิดต่างกัน, วิธีการเทรดและกลยุทธ์ต่างกัน แต่ผู้ที่จะอยู่รอด ล้วนต้องมีแผนในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เช่นกัน เพื่อประสิทธิภาพระยะยาว โดยได้รับผลตอบแทนที่ดีบนระดับความเสี่ยงที่เหมาะสม

กลยุทธ์การสร้างผลตอบแทนหลายทาง สไตล์ Ray dalio

แนวคิดการออกแบบ,สร้างผลตอบแทน ที่เหมาะสมกับความเสี่ยงจำกัด Total Return = R.Cash + R.Beta + R.Alpha จากบทความ Engineering targeted returns and risks ผลงานวิจัยของ  Ray Dalio , Bridgewater Associates อธิบายกระบวนการสร้าง portfolio ให้ได้เป้าหมาย  10% return , 12% risk 1. Return from Beta  ผลตอบแทนตาม market condition {bond,stock,commodity,currency} 2. Return from Alpha  ผลตอบแทนพิเศษมากกว่าตลาด ขึ้นกับความสามารถ(edge), market timing,  trading system, stock selection, strategies} 3. Return from Cash  ผลตอบแทนแน่นอน ความเสี่ยงต่ำ สภาพคล่องสูง ,เช่น cash,เงินฝากระยะสั้น, risk-free return ฟังรายละเอียดและตัวอย่างการประยุกต์ได้ที่ https://youtu.be/EXVeAoUwbIg

The Global Risks Report 2022

เช้านี้ผมมีโอกาสได้อ่านรายงาน The Global Risks Report ของ World Economic Forum รายงานออกมาทุกปีเพื่ออธิบายปัจจัยความเสี่ยงของโลก ก่อนหน้าการประชุมใหญ่ Davos World Economic Forum ปีนี้น่าสนใจคือ นอกจากเรื่องโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ที่เป็นประเด็นใหญ่ปัญหาระยะยาวมาหลายปี, และเรื่อง COVID-19 ทั้งการแพร่ระบาดและปัญหาผลกระทบที่ตามมาสำหรับคนป่วยและครอบครัว ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม ปีนี้มีประเด็นเรื่องการแข่งขันทาอวกาศ(space exploitation) ที่รายงานระบุการแข่งขันมากใช้ทรัพยากรบนโลกมาก สร้างความแออัดบนวงโคจรในอวกาศที่มากตาม และเรื่องความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์(cross-border cyberattacks and misinformation) ที่ โลกยุคใหม่ พึ่งพาการใช้ชีวิตแบบออนไลน์มากขึ้น ทั้งเรื่องของการเงินและเรื่องของข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้กลายเป็นเป้าหมายของการโจมตี , เช่นเดียวกับอาชญากรรมออนไลน์ การขโมยข้อมูล ,การเจาะระบบ,การ randsome อื่นๆเกิดมากขึ้นกับองค์กร หรือหน่วยงานต่างๆ ทำให้ควรจะวางแผนจัดการและรับมือ Risk ให้ดี ผลสำรวจมุมมองความเสี่ยงในอนาคตปี 2021-2022 กว่า 23.0% วิตกกังวล, 61.2% ตระหนักถึงปัญหา

The Mathematics of Money Management

รีวิว The Mathematics of Money Management: Risk Analysis Techniques for Traders ของคุณ Ralph Vince เนื่องจากมีหลายท่านๆ โดยเฉพาะน้องๆเทรดเดอร์มือใหม่ สนใจอยากให้ช่วยแนะนำ แม้หนังสือเล่มนี้จะเป็นหนังสือเก่าแต่ก็เป็นหนังสือด้าน Money management ที่ดีที่สุดเล่มหนึ่งเลยที่มีออกขาย โดยยุคเริ่มต้นหนังสือที่เขียนถึง MM จะมาคู่กับกลุ่ม Trend Following สะเยอะ โมเดลยุคนั้นก็ไปด้าน Fixed Fractional ซึ่งก็มีข้อจำกัดในการใช้งานโดยเฉพาะในตลาดฟิวเจอร์ที่มีความผันผวน, ส่วนใหญ่,ยุค 1962 มีหนังสือของคุณ Edward O. Thorp ที่นำเสนอแนวทางของ Kelly criterion ในการบริหารเงิน(หลังจากนั้นคุณ Thorp ออกหนังสืออีกหลายเล่มเขียนถึงเรื่องนี้), ในปี 1992 คุณ Ralph Vince ซึ่งเป็นเทรดเดอร์และนักพัฒนาระบบเทรดที่สนใจเรื่องโมเดลการบริหารเงิน เขาก็ได้ออกหนังสือชื่อ The Mathematics of Money Management ที่เกี่ยวกับการบริหารเงิน ,การบริหารความเสี่ยงในการใช้ระบบเทรด เล่มนี้เป็นอีกเล่มที่มีการกล่าวถึงเยอะ เพราะเขาได้เผยแพร่โมเดล Optimal f ของการปรับประยุกต์ใช้ Kelly criterion ในการหา position size ในการเทรดทีเหมาะสม ไม่ให้เสี่ย

Volatility scaling (ตัวอย่างการคำนวณและการอธิบายเพิ่มเติม)

  Volatility scaling แนวคิดการใช้ข้อมูล volatility ที่เป็นตัวแทน asset rsik มาทำการร่วมคำนวณปรับค่า Position size ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมราคาในตลาด , เพื่อเพิ่มความสามารถในการบริหารเงิน และการถือครองสถานะสัญญา ให้รอดพ้นความผันผวนระยะสั้นที่เกิด , เพิ่มประสิทธิ์ภาพการจัดการความเสี่ยง ลดปัญหาเรื่องการเกิด consecutive loss หรือการเสีย stoploss บ่อยๆ หรือแม้กระทั่งการโดนบังคับ liquidation สัญญาจากการผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่เทรด จากคลิปบรรยายเรื่อง "A Century of Evidence on Trend-Following Investing" จะพบว่าเทคนิค Volatility scaling มีส่วนช่วยเรื่องการอยู่รอดของระบบเทรดใช้กลยุทธ์ time-series momentum ระยะยาวในภาวะตลาดต่างๆ ซึ่งในหนังสือ Leverage trading ของคุณ Robert Carver ที่ได้รีวิวไปนั้นก็มีการกล่าวถึงเทคนิคนี้ ดังนั้นผมได้นำเอาตัวอย่างการคำนวณ หาค่า Leverage ที่เหมาะสมจากเทคนิค Volatility Scaling ,มาขยายความเพิ่มเติม ต่อให้ เพื่อคนที่เทรด FX , TFEX หรือ Crypto Futures จะได้นำไปปรับประยุกต์ใช้ ปล. กรณีที่ไม่ได้คำนวณ volatility เอง , เราสามารถใช้ค่า Volatilty จากข้อมูลใน Trading

บทเรียนจากหนู ผู้เทรดคริปโต

อ่านบทความ " Mr Goxx, the crypto-trading hamster beating human investors " นี้แล้ว อดนึกถึงเรื่องของ Random walk ไม่ได้, จริงบางคนอาจจะไม่ชอบที่คนทดลองเล่นเรื่องนี้คือเอาหนู มาเทียบกับมืออาชีพ แต่มันไม่ใช่เรื่องใหม่หรือเรื่องแปลก เพราะแต่ก่อนก็มีเรื่องของการทดลองให้ ลิงเลือกหุ้น แข่งกับ ผจก.กองทุนมาแล้ว เช่นกัน วิธีการและกลยุทธ์ของหนู hamster ชื่อ Mr Goxx จาก Goxx Capital ทำการเทรดโดยการปั่นวงล้อ(หนูมันก็วิ่งของมันแหละ) และผู้ทดลองก็อ่านผลผ่านกล้อง จากการหมุนวงล้อ(intention wheel) เพื่อเลือก เหรียญ crypto currency และใช้ กล่องที่นอน สองกล่องอุโมงเป็นตัวเลือก Buy หรือ Sell แบบในภาพ ,ทุกครั้งที่มันเล่นวงล้อหมุน แล้วเข้าไปในกล่อง ระบบจะส่งสัญญาณการซื้อขาย การทดลองผู้ดำเนินการออกตัวว่าทำสนุกๆช่วง covid-19 และโพสความก้าวหน้าบน twitter ให้คนติดตาม Mr Goxx โดยผลงานเดือนแรกเริ่ม 12 มิถุนายนด้วยเงิน 326 EUR เทรดพอร์ตติดลบ -7.3% เดือนสอง +19.41% แต่แปลกนิดที่บทความข่าวไปเทียบผลงานการเทรดของหนู กับสินค้าต่างตลาดอย่างดัชนี FTSE 100 และ DJ30 สรุปเป็นการทดลองสนุกๆแต่มันมีแง่คิดหนึ่

ล้างพอร์ตคือหายนะ มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติสำหรับเทรดเดอร์ล้างพอร์ตคือหายนะ มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติสำหรับเทรดเดอร์

เมื่อวาน Bitcoin ราคาเปิดบวกปรับตัวไปทำ High ของวันที่ 52956 ก่อนเริ่มไหลลงมาพักที่ 51000 แล้วราคาดิ่งนรกด้วยแรงขายชุดใหญ่ ราคาลงแบบ High Volatility จากแนว 51000 ไปทำ low ที่ 42900 ในเวลาไม่ถึง 2 ชม. ก่อนดีดกลับมาพักแถว 47000 รอบนี้มาพร้อมข่าวดีในการซื้อ BTC ชุดใหญ่ของรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ ที่โหมประโคม , แต่เหมือนจะมีการเทขายทำกำไรจากรายใหญ่ที่ทำให้ราคา BTC ในวันร่วงลงได้ -18.8% เช่นเดียวกับ Alt coin อื่นๆส่วนใหญ่ที่ราคาร่วงลงแรงเฉลี่ยราวๆ -20% เช่นกัน เรียกว่าเป็นการร่วงลงรุนแรงของตลาดคริปโต ในรอบหลายสัปดาห์ หลังปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ภาวะ High Volatility ในเหรียญ crypto currency นี้เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ดังนั้นก่อนเทรดใน crypto ควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันให้ได้ก่อนเสมอ โดยเฉพาะตลาด Futures ที่ต้องใช้ Leverage ในการเทรด ไม่เช่นนั้นกำไรที่ได้มากเยอะ ก็จะหายและหมดไป ในรอบนี้ก็ตามคาดเมื่อเกิดภาวะไม่คาดฝัน, และเปลี่ยนแปลงรุนแรง High Volatiltiy , เทรดเดอร์รายย่อยใน Future Market ก็ล้างพอร์ตกันระนาวตามขาด เพราะก่อนหน้าพฤติกรรมตลาดส่วนใหญ่เทรดเดอร์ เน้นไปทาง Long Position และมีการใช้ Levera

อะไรที่ดีเกินจริง มันมักไม่เป็นจริง

เมื่อวานพูดถึงเรื่อง Bernard Madoff ประเด็นการหลอกหลวงครั้งใหญ่ใน wallstreet มูลค่าเสียหาย $18 billion เกมส์การเงินแบบ poncy scheme ที่ Madoff ใช้หลอกนักลงทุน และกองทุนต่างๆให้มาลงทุนผ่านการตกแต่งบัญชี และผลการลงทุนที่สวยงามเกินจริง ซึ่งหลอกให้เหล่า นักการเงินมืออาชีพ,ผู้จัดการกองทุนให้ช่วยหาเงินจากนักลงทุนมา ใส่กองทุนของ Madoff ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วันนี้นำข้อมูลมาขยายความเพิ่มโดยในภาพนี้นำมาจาก Google Investment talk ที่ Andrew W. Lo ไปบรรยายเรื่อง Adaptive Markets ในช่วงนี้คุณ Lo พูดถึง Adaptive Risk perception ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมืออาชีพ แม้จะ loss aversion หนีความเสี่ยงแต่ก็ยังโดนหลอกจากการถูกดึงดูดเข้าหา High return และ low risk หรือ High sharpe ratio จุดนี้คุณ Lo บอกว่าเรื่องมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยง(Risk) ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปและเป็นเรื่องที่มักโดนจัดการปรุงแต่ง ทำให้เชื่อหรือเข้าใจผิดได้ง่าย จากการสอบถามผู้ฟังบรรยายในคลาสด้วยข้อมูลในภาพก่อนเฉลย คนส่วนใหญ่มักจะเลือกลงทุนบน asset เส้นสีดำ ซึ่งเส้นนี้เป็นผลตอบแทนสะสมระยะ 10 กว่าปีจากการลงทุน $1 ไป $7 (ผลตอบแทนราวๆ 7

กรณีศึกษา มหกรรมล้างพอร์ต!!!

  เหตุการณ์เมื่อวาน ในตลาดคริปโตทำให้เกิดการพูดถึงกันมากในหลายกลุ่มเทรดเดอร์ ถึงเหตุการณ์มหกรรมล้างพอร์ต โพสนี้คุณ nasim taleb เขียนข้อความอ้าง ข้อมูลจาก bybit ที่แสดงสถิติจำนวนบัญชีกว่า 750,000 crypto traders ต้องโดน liquidated (ล้างพอร์ต เงินหมด) เขารวมสถิติจากโบรกเกอร์คริปโต ดังๆ เช่น bianance, ftx , huobi สรุปสั้นๆ มาจากเทรดเดอร์รายย่อย มีเงินทุนน้อยจำกัดแต่การใช้ leverage ระดับสูง(50-125x) เพื่อขยาย position size , เมื่อเจอการเหวี่ยงแบบ high volatility ก็เอาไม่อยู่ ล้างพอร์ตทันที ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องการเดาทางผิดหรือถูกเท่านั้นนะ เพราะบางคนคิดว่าลง ไป short 125x เห็นกำไรหลายร้อย % ไม่นาน ไม่นานปรากฏว่า ราคาขึ้นดีดกลับ +20% สวนใส่หน้า กำไรหาย ขาดทุนล้างพอร์ต, เช่นเดียว คิดว่าถูกลงมาเยอะ เข้าไปสวน Long 125x โดนลากต่อไปราคาลงไป -10 -20% (แล้ววันต่อมาราคาก็ดีดขึ้นให้ เสียน้ำใจ) แน่นอนว่า เอาไม่อยู่ เพราะ การเปิด position size ใหญ่ด้วย leverage ทำให้มีเงินทุนไม่พอรักษามูลค่าสัญา กันระดับ SLD พอระดับ volatility ที่เกิดได้ นอกจากนี้เมื่อวาน ยังมีประเด็นพิเศษคือ เทรดเยอะระบบของโบรกเกอ

ไม่ควรกดดันตัวเอง จากผลกำไรของคนอื่น

  บนโซเซียลมีเดีย เรามักจะเห็นแต่การอวดโชว์กำไรจากการเทรดหุ้น, ค่าเงิน, เหรียญ crypto currency จนบางทีมันทำให้เรารู้สึกยิ่งอยากได้กำไร ,ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราไม่เก่ง ไม่ดี เมื่อต้องขาดทุน , อยากฝากเอาไว้ว่าอย่าไปหลงกับมโนคติและการตลาดเช่นนั้นครับ เพราะเกมส์การเก็งกำไร ไม่มีใครถูกได้ทุกครั้ง ไม่ใครไม่ขาดทุน สำคัญคือขาดทุนแล้วเราจะรับมือกับมันอย่างไร , การติดกับกำไร บางทีมันก็พาเราไปสู่ dark side ได้ง่ายๆ วันนี้นำตัวอย่างการขาดทุนที่พาไปสู่หายนะของ Alexis Stenfors อดีต currency trader ของ Merrill Lynch มาฝาก จากดาวรุ่งมือหนึ่งของบริษัทกลายเป็นตำนาน rogue trader หลังจากตอนปี 2009 เทรดผิดพลาด ทำให้สูญเสียเงินจำนวน 456ล้านเหรียญ ด้วยประสบการณ์ เทรดและเพิ่งผ่านพ้นการทำกำไรระดับ 7 หลักได้มาจากปีก่อนหน้า ทำให้ประมาทต้องการทำเงินเพิ่มมากขึ้น บวกกับความเชื่อว่า ตัวเขาสามารถอ่านและทำนายทิศทางตลาดได้ ทำให้ Stenfors เทรดแบบ ประมาท over trade เขาเปิด Position ขนาดใหญ่หวังทำเงิน แล้วขาดทุนก็ พยายามกลบตกแต่งบัญชีเทรด โยกเงินมาเทรดเพิ่มทำให้สุดท้ายขาดทุนรวมกันมูลค่า $100m และความผิดพลาดทำให้เกิดการ

เทรดยังไงเมื่อขาดทุน

 ได้คุยกันน้องเทรดคนหนึ่งมาบ่นเรื่องการขาดทุน แต่พอคุยกันสักพักที่ที่สัมผัสได้ ไม่ใช่แค่ปัญหาการเสียดายเงิน แต่มันเป็นประเด็นเรื่องความผิดหวัง  ความรู้สึกเสียใจ ที่ไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด พอเกิดมากๆสะสมใหญ่ขึ้น มันกลายเป็นแรงกดดัน กลายเป็นความเครียด สุดท้ายก็ burn out ทำให้ล้มเลิก และล้มเหลวไปในที่สุด นี้คือความจริง ซึ่งคนที่เข้ามาเป็นเทรดเดอร์ไม่ว่าจะ Full time หรือ Part Time ต้องเจอ ไม่ว่าคุณจะเทรด หุ้น ,tfex, ทองคำ ,ค่าเงิน หรือ Cryptocurrency  ปัญหาจิตวิทยา นี้สำคัญมากเพราะกระทบต่อการตัดสินใจ วิธีการหนึ่งทำให้เรารอดผ่านไปได้ และพัฒนาได้ คือการหาระบบเทรดมาใช้ เพื่อใช้ในการเป็นกรอบยึด ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน หรือ advance อะไรมาก เพียงแต่ต้องมีระบบคิดและกระบวนการตัดสินใจที่ชัดเจน เหมือนผมเขียนในหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นเซียนหุ้น,ผู้บริหารกองทุน หรือแม้นักพนันมืออาชีพ ล้วนต้องมี "ระบบ" เช่นกัน แน่นอนว่าถ้าเราเป็นมือใหม่ ระบบเทรด ของเราอาจจะยังไม่สมบูรณ์ หรือนำมาซึ่งการสร้างผลกำไรทุกครั้งที่เทรด แต่การมีระบบ นั้นคือการเรามีกรอบการปฏิบัติ มีแผนที่ชัดเจน ขณะเดียวกันสามารถใช้โมเดลทางสถ