ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก ธันวาคม, 2022

การทดลองให้ ChatGPT สอนมือใหม่เทรดหุ้น

 วันนี้เรียนรู้และทดลองใช้งาน ChatGPT ของ OpenAI , เจ้าตัว chatbot นี้มีอะไรที่น่าสนใจเยอะดี , โจทย์ที่ทดลองคือ ChatGPT สอนให้คนทั่วไป หัดเทรดได้ไหม? การทดลองคือ นำเอาหัวข้อบทเรียนการเทรด จากหนังสือต่างประเทศ สร้างเป็นชุดคำถามราวๆ 50 คำถามทั้งไทยและอังกฤษ ไปถามเจ้า Chatbot ตัวนี้ แล้วให้ น้องที่กำลังหัดเทรดหุ้น มาฟังคำตอบและช่วยลงคะแนนว่า พอเข้าใจได้ไหม ผลการทดลอง พบว่าส่วนใหญ่ สามารถตอบคำถาม และให้คำแนะนำได้ไม่เลวทีเดียว โดยเฉพาะหัวข้อประเด็นใหญ่ๆ สามัญที่มีข้อมูล บทความบนอินเตอร์เน็ตจำนวนมาก เรียกว่าถามได้ทุกประเด็น เช่น Grid Trading , Money management และอื่นๆ ส่วนเรื่องสามัญเช่น Technicle analysis นี้เรียกว่าสามารถ หาข้อมูล เรียบเรียงมาตอบได้เกือบหมดทุกคำถาม (ทดลองไป 30 ชุดคำถาม) ที่น่าสนใจคือสามารถใช้ภาษาไทยได้ด้วย, อันนี้ลองกับคำถามไม่ยาก ก็เรียบเรียงประโยคตอบออกมาแบบพอเข้าใจได้ แต่คำตอบอาจจะไม่ละเอียดมากพอ เมื่อเทียบกับคำถามเดียวกัน ในภาษาอังกฤษ แต่ส่วนใหญ่อาจจะไม่ใช่คำอธิบาย แต่เป็นชุดคำตอบแบบสั้นๆกระชับๆ ไม่ได้ลงรายละเอียด ซึ่งหลายเรื่อง พบว่ามันมีประเด็นรายละเอียดที่ขึ้นกับ แ

Long History of US 10-year Treasury Yields

 ปี 2022 น่าจะแน่นอนแล้วว่า S&P500 ปิดติดลบ(ถ้าปาฏิหารย์ไม่เกิด ส่วนจะลบเท่าไหร่ติดตามช่วงตลาดท้ายปีอีกหน่อย), ส่วนบทความ Market Outlook ของปี 2023 หลายค่ายมีแต่มองว่าปีหน้าตลาดพันธบัตรจะกลับมาแรงอีกครั้ง(เหตุผลลองอ่านบทวิเคราะห์จาก morganstanley ในลิงค์ได้) วันนี้เลยนำเอาภาพกราฟ US 10-year Treasury Yields พร้อมเหตุการณ์ เศรษฐกิจ,การเมือง ที่เกิดในช่วงปีต่างๆ ย้อนหลังไปถึง 1790 มาแชร์ต่อให้ดูกัน โดยเฉพาะช่วงที่เกิด Hyper Infation พร้อมการปรับดอกเบี้ยขาขึ้นของ Fed และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในอดีต เราจะเห็น US 10-year Treasury Yields ปรับตัวขึ้นรุนแรง ,แม้ปี 2022 นี้การขึ้นดอกเบี้ยของ Fed แบบ Aggressive rate hikes จะทำเอา US 10-year พรุ่งปรี๊ดข้ามปี แต่กรอบเพดาน US 10-year Treasury Yields หลังปี 2000 มายังไม่ทะลุเกิน 6% เลย   ในขณะที่ปีนี้ 2022 การเกิด inverted yield curve เกิดบ่อยขึ้นเรื่อยๆและระยะห่างก็เพิ่มมากขึ้นจากปี 2021 ปีหน้า 2023 คงตามกันต่อว่าจะเป็นอย่างไร อ้างอิงจาก https://www.morganstanley.com.au/ideas/bonds

บันทึกค่าเงินเยน ที่ไม่เย็นอีกต่อไป

 เรียกว่าดราม่ามากกับค่าเงิน JPY และตลาดหุ้นญุี่ปุ่น หลังจาก BOJ ออกมาแถลงทำเอา surprise ตลาด ด้วยการประกาศขยายกรอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตร Bond Yield 10 Year จากเดิม -0.25% ถึง +0.25% ขยับเพิ่มเป็น -0.5% ถึง +0.5% เพื่อเป็นการเปิดทางให้ Bond Yield 10 Year สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดัน และส่งเสริมให้ BOJ ยังทำการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย อัตราดอกเบี้ยติดลบต่อไปได้ , ซึ่งเมื่อวาน BOJ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดลบ ไว้ที่ -0.1% ถ้าตามข่าวมาจะพบ BOJ ปีนี้ทั้งแทรกแซงอุ้มค่าเงิน JPY และเข้ามาอุ้มตลาดพันธบัตร ด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมากเพื่อรักษากรอบผลตอบแทนฺ Bond Yield ที่ 0.25% , ดังนั้นถ้าเกิดแรงขายหนักในพันธบัตรรัฐบาลญุี่ปุ่น อาจจะทำให้ BOJ เข้ามาใช้เงินจำนวนมากในการรับซื้อและถือครองพันธบัตรเกินกว่า 50% ,อาจจะกลายเป็นการแทรงแซงราคาและบิดเบือน demand ในตลาดพันธบัตรของตัวเองแบบ เป็นประวัติการณ์เลย หลังแถลงจบเกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรง โดย Bond 10Y Yield พุ่งไป 0.435% (ราคาหน้าตั๋ว Bond รุ่นเก่าร่วงหนักจากแรงขาย เพราะรุ่นใหม่ได้ Yield สูงกว่า) ส่วนดัชนีนิกเกอิร่วงลงกว่า 500 จุด

ข้อมูล สำคัญในการเลือกซื้อกองทุน

  วันหยุด เลยมีเวลานั่งทำการบ้าน, เลือกกองทุนกับรุ่นน้อง ,จัดพอร์ตรอรับปีหน้า (2023) ไปเลย การซื้อขายกองทุน ปัจจุบันมีหลาย application ที่ออกมามาก แต่ตัวที่ให้ data ครบและเข้าใจง่าย ต้องยกให้ finnomena โดยเฉพาะข้อมูลสำคัญ เกี่ยวกับ"ค่าธรรมเนียม" ต่างๆ, ค่าใช้จ่ายของกองทุนที่อยู่ในหนังสือชี้ชวนและตัวเลขเก็บจริง เขานำมาสรุปให้เห็นหมด เลย ข้อดีคือเราจะทราบต้นทุนรวม เช่น ค่า Total Expense Ratio +Trading Fee(Front & Back end) ในการซื้อขายกองทุนทั้งหมดก่อนลงทุน ที่สำคัญสามารถเปรียบเทียบ ระหว่างกองทุนต่างๆ ที่เราสนใจได้ด้วย อันนี้สำคัญ เพราะถ้าวางแผนทำพอร์ตระยะยาว การไปดูแต่ performance ในอดีตแล้วคาดหวังว่าจะได้ผลตอบแทนดี นี้ fail มาเยอะแล้ว , บางกองหักปีละ 4-5% ไม่ว่า performace จะดีหรือแย่แค่ไหน แบบนั้น ถ้าถือระยะยาว อาจจะกลายเป็นข้อจำกัดของการเติบโตของพอร์ตได้, ถ้าเราเน้นถือยาว เน้น passive การเลือกกองทุนที่มี Total Expense Ratio + Trading Fee(Front & Back end) ไม่สูงก็น่าจะเหมาะสมกว่า ถ้าใครสนใจ หาเครื่องมือการบ้าน, แบบยังไม่ต้องเปิดบัญชี ก็ลองเข้าไปเล่นของ finnomena ได

ภาพหนึ่งภาพอาจแทนคำอธิบายเป็นล้านคำ

  มีท่านหนึ่งคอมเมนต์มาว่า "เรียนจบใหม่ เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงในตลาด ช่วยสรุปเรื่องวิธีการลงทุนสั้นๆให้ฟังได้ไหมค่ะ" สำหรับผมนะ ภาพนี้ ภาพเดียวเลยครับ ทำความเข้าใจ, แล้ววางแผนบริหารความเสี่ยง +กลยุทธ์การลงทุน/การเทรด ให้สอดคล้อง เท่านั้นเอง ภาพนี้ทำความเข้าใจ ราคา และอารมณ์ เป็นแก่น principle ที่ใช้ได้กับทุกกรณีเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเกือบทุกตลาด นำไป map ได้หมด สั้นๆจบในภาพเดียว คนเข้ามาในตลาด ไม่ว่าจะเทรด หรือจะลงทุน จะซื้อหุ้น ซื้อทอง ซื้อกองทุน หรือเหรียญคริปโท ยังไงก็ต้องเคยผ่าน วัฏจักรนี้ คนที่สำเร็จ คือคนที่ นำทางนำพาตัวเองให้ผ่าน อยู่รอด วัฎจักรนรกใน money game นี้ไปได้, แล้วพัฒนา skill ต่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากภาวะตลาด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อไป ปล. เห็นภาพแล้ว อย่าคิดว่ามันง่าย ถ้าไปดูถูกว่า มันจะยากอะไร แค่ Sell High Buy Low นี้จบไม่สวยมาเยอะแล้ว

ทำไมการปกป้องผลกระทบเชิงลบจากความเสี่ยงจึงสำคัญ

ยังเจอความเชื่อประเภทที่ว่า พวกนักเก็งกำไร ชอบกำไรจึงชอบเสี่ยงแท้จริงแล้ว ถ้าอ่านเยอะๆ ศึกษาเยอะๆ จะพบว่าไม่มีอะไรไม่เสี่ยง ดังนั้นเหล่า Risk Taker ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร(Trader) อาชีพที่ประสบความสำเร็จ, นักธุรกิจ และอื่นๆ คนเหล่านี้เขาชอบการเสี่ยง+ชอบความท้าทาย ซึ่ง Key สำคัญไม่ใช่การมโน การฝันถึงแต่กำไร แต่เป็นการปกป้อง Downside หรือผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการเสี่ยงต่างหาก เพราะไม่มีใครจะรู้อนาคตแน่นอน ไม่มี sure thing ,ถูกทุกครั้งที่ตัดสินใจลงมือทำอะไร ,มันย่อมมีความโอกาสจะผิดพลาด นั้นหมายถึง ยังไงก็ตามมันย่อมมีความเสี่ยง ,แต่การไม่เสี่ยง(Risk aversion) ก็อาจจะหมายถึงการเสียโอกาส ,การไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นจึงต้องกล้าที่จะเสี่ยง แต่ทุกครั้งที่จะเสี่ยง จำเป็นต้องประเมินความเสี่ยงให้เป็น 1. ทั้งโอกาสที่จะผิดพลาด(%ความน่าจะเป็นในการแพ้) 2. และขนาดผลกระทบ(เช่น จำนวนเงิน $ ที่ขาดทุน)จากความผิดพลาด ประเมินให้ออกก่อนล่วงหน้าที่จะตัดสินใจลงมือทำ(เดินหน้าเข้าหาความเสี่ยง) นั้นคือสิ่งที่ คุณ Richard branson อธิบายไว้ว่ามันคือหัวใจของการเสี่ยงแบบมืออาชีพ , ถ้ามีข้อมูลพร้อม+เตรียมแผนกา

ทำความรู้จักกับ FIRE

  มีคำถามเข้ามาทางกล่องข้อความว่า FIRE คืออะไร เนื่องจากกระแส FIRE ในไทยก็มีคนเขียนถึงพูดถึงพอควรแล้ว ในช่วงหลัง subprime ที่คนจำนวนไม่น้อยใช้ประโยชน์จากช่วงเกิด market discount หุ้นถูก,อสังหาถูก ซื้อสินทรัพย์แล้วได้ ประโยชน์จากตลาดหุ้นขาขึ้น ตลาดอสังหาขาขึ้นรุนแรง, ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ อดออมเก็บเงิน เก่ง ,สามารถเกษียณได้ตั้งแต่ 30 หรือ 40 ปี กระแส FIRE เกิดโด่งดังมาก เพราะมันมีเคสตัวอย่างให้เห็นจากคนทำได้จริง (ในช่วงเวลานั้น) โดย FIRE ย่อมาจาก Financial Independence, Retire Early ,อิสรภาพทางการเงิน + เกษียณจากงานประจำก่อนวัย 60 ปี, แยกสองประเด็นย่อยตามนิยามกลุ่ม FIRE (ผมศึกษาตามสายของ Mr. Money Mustache) ขอสรุปสั้นๆ 1. อิสรภาพการเงิน ไม่ได้หมายถึงรวยมากมายร้อยล้านพันล้าน แต่หมายถึงมีเงินพอกินพอใช้ โดยออกแบบแผนการใช้จ่ายเงินและค่าครองชีพล่วงหน้า อิง 4% Rule คือ ถ้าใช้เงินปีละ 300,000 บาท, แล้วออมเงิน+ลงทุนสร้างพอร์ตให้ได้ 7,500,000 บาท นั้นหมายถึง ถ้าพอร์ตทำผลตอบแทน 4% ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ก็ถือ OK คุณไม่ต้องทำงานประจำ ถอนปันผล+ขายหุ้นบางส่วนรับรู้กำไร ก็อยู่รอด , ถือว่ามี พอร์ตสินท

ไม่มีเวลา หรือ ไม่ใส่ใจลงมือทำ

อัพโหลดคลิป nicolas darvas ขึ้น youtube จำนวน 4 ตอนความยาวทั้งหมดกว่า 6 ชม. เป็นคลาสสัมมนาการกุศลเก่า แต่เนื้อหาและสไตล์การเทรดคลาสิกแบบ Darvas Box Trading Strategy ยังสามารถปรับใช้ได้ในปัจจุบัน คุณ nicolas darvas เป็นคนที่ผมชื่นชมตั้งแต่สมัยเริ่มเรียนรู้เรื่องการเทรดหุ้น เพราะเป็นคนในยุค 1950 รุ่นแรกๆที่ยังไม่มีคอมพิวเตอร์แต่เขาใช้ระบบในการเทรด,ในการตัดสินใจซื้อขายหุ้น นอกจากนี้พื้นหลังก็น่าสนใจ เพราะเขาเป็น เทรดเดอร์ ที่ไม่ได้เรียนจบทางการเงิน ไม่มีพื้นเพจาก wallstreet เป็นนักเต้นรีลาศ แต่เขาก็มีความสนใจ และความพยายามที่จะเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการในการเทรด ที่มัน work และสามารถใช้สร้างเงินสร้างฐานะให้ตัวเองได้ ซึ่งเบื้องหลังความสำเร็จของเขา ไม่ได้เกิดมาจากปาฏิหารย์ แต่มันมาจากความขยัน ความพยายาม และการทดลองลงมือหลายปี เขียนบทความนี้ เพราะสะดุดกับ comment หนึ่งใต้คลิปวีดีโอ , น้องคนหนึ่งพิมพ์ว่า "พี่วีธีเทรดสั้นๆง่ายๆกว่านี้ไหม ,ไม่มีเวลาเรียนมันยาว" น้องคนนี้อาจจะงานยุ่งจริง ก็เข้าใจได้ แต่ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่อเรื่องไม่มีเวลา คิดว่ามันเป็นเพียงข้ออ้างหรือเหตุผลในการปฏิ