ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ การบริหารจัดการเงิน

ทำความรู้จักกับ Currency ETF

Currency ETFs เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เราสามารถใช้ในการบริหารจัดการพอร์ตได้, โดยเป็นการเทรดค่าเงินแบบ passsive trading เพื่อเทรดตามรอบการเปลี่ยนแปลงของ ค่าเงิน ตามปัจจัย Global Macro Economic และใช้เพื่อการกระจายความเสี่ยง หรือทำ Asset allocation กระจายเงินทุนและจัดน้ำหนักตาม กลยุทธ์ไปยัง asset class ต่างๆ เช่น stock , bond , currency เป็นต้น หรือจะรอดักซื้อสะสมแบบง่ายๆ เมื่อเกิด market discount ก็ทำได้เช่นกัน โดย Currency ETF นั้นกองทุนที่ถือครองสินค้า currency จริง( underlying asset เป็น currency สำรองเต็มจำนวน) และเปิดให้ นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ สามารถเข้าไปซื้อ/ขาย หน่วยลงทุนที่อิงกับมูลค่าสินค้าค่าเงินได้ ,ทำการซื้อขายแบบ spot market ไม่ใช้ leverage ไม่มีค่า Fee ถือครองข้ามคืน ข้ามสัปดาห์ที่สูง ต่างจาก CFDs ทำให้เหมาะกับ การเทรดรอบใหญ่ เช่นตาม Momentum หรือ Trend ระยะยาว, โดยทั่วไปกองทุนเหล่านี้จะมีค่า Expense Ratio และค่าธรรมเนียมที่ไม่สูง แม้จะเป็น spot แต่ในขณะเดียวกันก็มีสภาพคล่องสูง ในการเทรด ในช่วงเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะมี market maker และมีสภาพคล่องมากบริการ กองทุนและน

Risk IQ

  คนทั่วไปที่ไม่ได้เกิดมาร่ำรวย ส่วนใหญ่เราก็อยากรวยเยอะๆเร็วๆ ทั้งนั้นเพราะความโลภ มันคือเรื่องปกติ เมื่อติดกับตัวเลขหรือจำนวนเงิน ซึ่งจะทำให้ Risk IQ ลดลง แต่การจะมั่งคั่ง อย่างยั่งยืนได้ คำแนะนำส่วนใหญ่จากคนที่ประสบความเร็จทางการเงินแล้วจริงๆ(ไม่ว่าจะนักธุรกิจ,นักลงทุน,นักเก็งกำไร) เขามักจะเน้นให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานหรือระบบ ที่สามารถผลิตผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง ให้สำเร็จเสียก่อน ยกตัวอย่างคำแนะนำจากคลิป The 5 Principles Behind the 10 Secrets ของคุณ Anton Kreil อธิบายเรื่องนี้ไว้ดีมาก เขาบอกว่าสิ่งที่ควรทำคือ ถ้าอยากมั่งมี ร่ำรวย ต้องทุ่มเทใช้เวลา ใช้ความพยายาม ในการสร้าง income generating portfolio ไม่ว่าจะมาจากการทำธุรกิจ, การเทรดหรือการลงทุนก็ตาม โดยพัฒนาโมเดลโครงสร้างพื้นฐาน ที่สามารถผลิตผลตอบแทนต่อเนื่อง แล้วนำเอากำไรที่ได้ไปเป็นส่วนขยาย เพื่อสร้างให้เกิดการเติบโต จากผลกำไรทบต้นต่อไปเรื่อยๆ ในระยะยาว ดังนั้นการเทรดก็เช่นกัน เราอาจจะเริ่มด้วยเงินน้อย เงินไม่มาก ไม่เป็นไร (อย่าไปท้อใจ แล้วเอาแต่จะเสี่ยงโชค หรือพึ่งทางลัด) ถ้ามีระบบเทรด มีพอร์ตโฟริโอ ที่สร้างผลตอบแทนที่เสถียร มั่น

ทำความรู้จักกับ FIRE

  มีคำถามเข้ามาทางกล่องข้อความว่า FIRE คืออะไร เนื่องจากกระแส FIRE ในไทยก็มีคนเขียนถึงพูดถึงพอควรแล้ว ในช่วงหลัง subprime ที่คนจำนวนไม่น้อยใช้ประโยชน์จากช่วงเกิด market discount หุ้นถูก,อสังหาถูก ซื้อสินทรัพย์แล้วได้ ประโยชน์จากตลาดหุ้นขาขึ้น ตลาดอสังหาขาขึ้นรุนแรง, ทำให้คนจำนวนไม่น้อยที่ อดออมเก็บเงิน เก่ง ,สามารถเกษียณได้ตั้งแต่ 30 หรือ 40 ปี กระแส FIRE เกิดโด่งดังมาก เพราะมันมีเคสตัวอย่างให้เห็นจากคนทำได้จริง (ในช่วงเวลานั้น) โดย FIRE ย่อมาจาก Financial Independence, Retire Early ,อิสรภาพทางการเงิน + เกษียณจากงานประจำก่อนวัย 60 ปี, แยกสองประเด็นย่อยตามนิยามกลุ่ม FIRE (ผมศึกษาตามสายของ Mr. Money Mustache) ขอสรุปสั้นๆ 1. อิสรภาพการเงิน ไม่ได้หมายถึงรวยมากมายร้อยล้านพันล้าน แต่หมายถึงมีเงินพอกินพอใช้ โดยออกแบบแผนการใช้จ่ายเงินและค่าครองชีพล่วงหน้า อิง 4% Rule คือ ถ้าใช้เงินปีละ 300,000 บาท, แล้วออมเงิน+ลงทุนสร้างพอร์ตให้ได้ 7,500,000 บาท นั้นหมายถึง ถ้าพอร์ตทำผลตอบแทน 4% ครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้ก็ถือ OK คุณไม่ต้องทำงานประจำ ถอนปันผล+ขายหุ้นบางส่วนรับรู้กำไร ก็อยู่รอด , ถือว่ามี พอร์ตสินท

เทรดคริปโตฟิวเจอร์ยังไงไม่ให้หมดตัว

หัวข้อถามมาตอบไป เรื่อง เทรดคริปโตฟิวเจอร์ยังไงไม่ให้หมดตัว เป็นหัวข้อคำถามที่มีคนถามมาเยอะคล้ายๆกัน และเป็นหัวข้อที่ยากแต่พยายามจะอธิบายให้เห็นภาพรวมให้เข้าใจง่าย โดยครอบคลุมเรื่อง basic risk management, Money management และ Loss management เพื่อเป็นแนวคิดเบื้องต้นในการเทรด crypto currency futures และน่าจะช่วยในการวางแผนก่อนเทรด เพื่อจะได้ไม่ต้องล้างพอร์ตอีกต่อไปครับ ฟังคลิปบรรยายที่ https://www.youtube.com/watch?v=Zqe-hF08QhM Lecture Note

Crypto-low-risk : การบริหารต้นทุนในพอร์ต Cryptocurrentcy

  ความเสี่ยงสำคัญของการเทรด Cryptocurrentcy คือการไม่รู้ต้นการถือครองเหรียญในพอร์ต บางคนซื้อเพราะเชื่อว่ามันจะขึ้น,ซื้อแบบ FOMO กลัวจะตกรถ, แน่นอนว่าพอมันลงแรงๆรอบ market crash ที่ผ่านมา ก็เห็นคนซื้อถัวเฉลี่ย. ซื้อตอนย่อ -20% ถึง -30% เพราะคิดว่ามันคิดว่ามันจะเด้งขึ้น แต่พอมันลงไป -50 -70% เงินหมด ทุนจมขาดทุนสูงมากได้แต่ ดอยและรอคอยความหวังให้ราคาเหรียญเด้งกลับมารับ ความเสี่ยง จากการถมเงินลงไป หรือเข้าซื้อขายตามอารมณ์ นี้เกิดขึ้นเสมอโดยเฉพาะภาวะราคาสินค้ามีความผันผวนสูง การจะจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำและเกิดประสิทธิภาพในการถือครอง Cryptocurrentcy ในระยะยาวเราต้องบริหารต้นทุนให้เป็น ปัจจุบันโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการคำนวณต้นทุนและทำระบบติดตามต้นทุนให้เรา , นอกจากโบรกเกอร์ใหญ่บางเจ้าต่างประเทศจะมี Feature การคำนวณต้นทุน P&L analysis ให้ , บาง app มีให้ใช้แต่อาจจะไม่ฟรีและต้องกรอกบันทึกข้อมูลการซื้อขายเอง แต่แน่นอนว่าย่อมดีกว่าการไม่จดไม่บันทึกอะไรเลย ซึ่งจุดนี้ "spreadsheet is your friend" ครับ ต้องจดต้องบันทึกเอง , ส่วนตัวผมก็ใช้ spreadsheet ง่ายๆ บันทึกรายการเทรดแต่ละครั้ง

ปัญหา Low interest rates

ตอนนี้กำลังวางแผน หาที่พักเงิน สู้กับ ช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำ(low interest rate) อ่านเจอหลายบทความหลาย paper สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือความเป็น New Normal ในตลาดตอนนี้ ที่กูรูฝรั่งบอกว่าปัจจุบัน อาจจะไม่มี Safe Haven อีกต่อไป ไม่ว่าจะ Bond หรือ Cash (สกุลต่างๆ) ล้วนเผชิญกับแรงกดดันและความผันผวนที่เกิด ในช่วง covid-19 จากบทความของคุณ Ben Carlson เขานำเสนอข้อมูลพันธ์บัตรและดอกเบี้ยจากอดีต สิ่งที่น่าสนใจจะเห็นพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลง จากเดิมเชื่อ 10ํY Gov Bond จะสู้ Bear Market ได้ แต่หล ังจาก 2008 การทำ QE และการลดดอกเบี้ยของ Fed ทำให้ เกิดผลกระทบต่อพันธ์บัตร ดังภาพปี 2020 ตลาด Bond ผันผวนและ 10Y Yield อยู่ที่เพียง 1.6% อาจจะสูงถ้าเทียบอัตราดอกเบี้ยที่ 0 แต่ต่ำมากเมื่อเทียบกับ Bear Market ในอดีตที่นักลงทุนสามารถนำเงินไปหลบ เช่น 1987 Great Depression ที่ 8.8% หรือช่วง Subprime crisis ที่ 4.5% ซึ่งตารางที่ 2 แสดงให้เห็น แม้จะมีเงินออม $1 Million เพื่อเก็บสะสมใน 10 year treasuries ผลตอบแทนรายปี ต่ำลงมากจนเรียกว่า แทบจะไม่พอกับค่าใช้จ่าย หรือจะใช้พึ่งพาเพื่อดำรงชีวิตหลังเกษียณเลยทีเดียว

I Will Teach You To Be Rich โดย Ramit Sethi

วันนี้ระหว่างเดินทาง นั่งฟัง Ramit Sethi (New York Times bestselling author) เจ้าของหนังสือ "I Will Teach You To Be Rich" สัมภาษณ์และสนทนาในรายการ The Compound มีหลายประเด็นที่ชวนให้คิดต่อดี โดยเฉพาะเรื่อง การบริหารเงินส่วนบุคคล ที่ Ramit Sethi บอกเลยว่า เขาไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดแบบเดิมๆ ประเด็นหนึ่งที่ผมชอบคือ Ramit Sethi ชวนให้เราตั้งคำถามว่า - อะไรคือสิ่งที่เราชอบใช้เงินมากที่สุด - ลองจินตนาการว่าถ้าเราสามารถเพิ่มงบในการใช้จ่ายสิ่งนั้นเป็น 5 เท่า 10 เท่า แล้วมันจะสร้างคว ามสุขสนุกสนานได้เพิ่มตามหรือไม่ เขาท้าทายให้เราลองทำแบบนี้ จริงๆเพื่อค้นหาว่า มันมี item อะไรที่เราใช้เงินเยอะ แต่มันไม่ได้ทำให้เรามีความสุขหรือ enjoy ซึ่งคนส่วนใหญ่ จะมี 2-3 สิ่งที่หมดเงินใช้จ่ายไปมากแต่ไม่ได้ทำให้มีความสุข เมื่อเทียบกับสิ่งอื่น เมื่อพบ 2 รายการหลัก เขาก็แนะนำให้เรา ลองตัดเงินทุนที่นำไปใช้จ่ายกับมันลง เรื่อยๆ อย่างน้อยคุมได้ 10% ของรายได้ เพื่อนำเงินส่วนนั้น ไปใช้วางแผนทำอย่างอื่น เช่นการลงทุน หรือใช้ออมเงิน เพื่ออนาคตต่อไป ซึ่ง Ramit Sethi บอกว่ามันดีกว่าการมานั่งประหยัด

คำแนะนำข้อควรระวังสำหรับ retirement portfolio

การปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงแนวคิดการจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ช่วงนี้เริ่มออกมามาก จากคำเตือนของเหล่ากูรูชื่อดังต่างๆ สำหรับคนทั่วไปโดยเฉพาะท่านใกล้เกษียณอาจจะเริ่มตั้งคำถามว่า ถ้าเกิดวิกฤติจริงๆควรจะทำยังไง?? Craig Kirsner คนนี้เป็น Retirement planner ชื่อดังของอเมริกา ซึ่งเขาแนะนำให้ preserve & protect พอร์ต retirement โดยเขาให้รายละเอียดว่า 1.Don’t let long periods of market calm fool you. อย่าติดกับผลงานอดีต ระวังความคาดหวังว่าปีนี้ ปีหน้าจะต้องได้กำไรมากเหมือนปีก่อน ซึ่งความโลภและความคาดหวังนี้ทำให้ เกิดความประมาทและก้าวร้าวเสี่ยงเกินตัว เข้าไปลงทุนในหุ้นความเสี่ยงสูง สุดท้ายตลาดปรับตัวลงรุนแรง ทำให้มูลค่าพอร์ตลดลงหรือขาดทุนหนัก 2.Understand what rising interest rates might do. ทำความเข้าใจผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ทิศทางที่จะเกิดในอนาคตค่อนข้างแน่นอนตามนโยบายของ Fed เขาแนะนำให้เอาปัจจัยนี้มาใช้วางแผนการลงทุน ระมัดระวังวิกฤติหนี้ 3.Be aware that the aging population could cool the economy. สหรัฐเข้าภาวะคนแก่มากกว่าการเกิด เขายกตัวเลขมีคนเข้าสู่วัยเกษียณ 1000

work-life balance

วันนี้ได้คุยกับน้องที่รู้จัก เป็นเข้าทำงานเป็นเทรดเดอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่ง สักประมาณ 2 ปี สิ่งที่สัมผัสได้คือน้องเขาดูเหน็ดเหนื่อยมาก ทั้งจากชั่วโมงทำงานและความเครียดต้องเร่งทำผลงานด้วย เขาเล่าว่าทำงานบางวันเริ่มตั้งแต่เช้าไปจบยังเที่ยงคืน แม้ไม่ได้นั่งติดจอตลอดแต่ก็ต้องตามดู ตามอ่านข่าว คิดแล้วรวมๆ 9-10 ชม. ต่อวันเลย ซึ่งถือว่าหนักมาพอควร แต่ด้วยความที่ยังอายุไม่มาก อยู่ในช่วง prime time ของชีวิต 22-30 ก็น่าจะผ่านไปได้ (ถ้าสุขภาพไม่พังไปก่อน) พอพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึง บทความที่ได้อ่าน คือประเทศเกาหลีใต้กำลังทำโครงการ 52 hour work คือสร้างการรณรงค์ลดการโหมงานหนัก หรือทำงานมากไป(overwork) สร้าง work-life balance ซึ่งเกาหลีใต้ตัวเลขจากการสำรวจพบชั่วโมงการทำงานต่อปี สูงมากกว่า ค่าเฉลี่ยและมากกว่าประเทศอเมริกา และยุโรปจำนวนมาก โดยรัฐบาลออกเป็นกฏเพื่อรักษาสิทธิ์ของประชาชนไม่ให้ถูก บังคับหรือทำให้แข่งขันทำงานหนัก โดยสูงสุดไม่เกิน 52 ชม.ต่อสัปดาห์ ค่าปกติ 40 ชม.+ Over time 12 ชม. ลดจากเดิมที่ 68 ชม.ต่อสัปดาห์ ถ้าบริษัทไหนให้ลูกจ้างงานเกินจะโดนค่าปรับจากรัฐ ราวๆ $17,815 และอาจ

เก่งขึ้นทุกวัน

เก่งขึ้นทุกวัน "เวลา" คือข้อจำกัด และอุปสรรคในการเรียนรู้ โดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานประจำ หรือมีภาระกิจครอบครัวต้องดูแล บ่อยครั้งทำให้ เจอกับประเด็นที่ว่า อยากเก่งแต่ไม่มีเวลา คำแนะนำของผมสำหรับพวกเราที่เจอปัญหานี้อยู่คือ ลองวางแผนบริหารจัดการเวลาของเรา ใช้หลักการสร้าง slot เวลาในการเรียนรู้ ไม่ต้องมาก 5 - 15 นาที แต่ทำให้ได้ ทุกวัน เพราะการทำให้ได้ทุกวัน จะสร้างนิสัย สร้างความเคยชิน ที่อยากเรียนรู้ อยากฝึกฝน ทำให้เกิดโมเมนตัมในการพัฒนาตัวเองระยะยาว เราไม่จำเป็นต้องไปใช้ระบบการเรียนรู้แบบอดีต สไตล์ระบบตัดเกรด ที่ต้องแข่งกันเป็นที่หนึ่ง พยายามเก่งกว่าคนอื่นๆเสมอ เพื่อพิสูจน์ความสามารถตัวเองตามกรอบมาตรฐานที่คนอื่นกำหนด เพราะ ถ้าเป้าหมายการเรียนรู้ ฝึกฝน ในด้านทักษะการเทรด การลงทุน เราทำเพื่อชีวิตของตัวเราเอง สิ่งสำคัญต้องตอบโจทย์ชีวิตตัวเราเป็นหลัก ไม่ใช่หมกหมุ่น ทำแล้วไม่มีความสุข ชีวิตไม่ลงตัว ไม่มีเวลาดูแลครอบครัว แบบนั้นก็เรียกว่าไม่เกิดประโยชน์ระยะยาว และสิ่งสำคัญ ต้อง work life balance ไม่ใช่เน้นจะเอาแต่สร้างเงิน สร้างกำไร พยายามจะเก่ง จะเหนือกว่าคนอื่น แต่ชีวิตไม่มีค

GRID Trading System II (อธิบายเพิ่มเติม)

อธิบายตอบคำถามน้องเทรดเดอร์จากติว เรื่องของ GRID Trading System - กริด มีข้อจำกัด ไม่ใช่กลยุทธ์วิเศษ -นำกริดไปใช้ต้องเข้าใจ และจัดการกับข้อจำกัดให้ได้ - กริดพื้นฐานไม่ซับซ้อน แต่พัฒนาต่อให้ซับซ้อนได้เช่น non linear grid , การจัดจำนวน order ที่แปรผันตามข้อมูลพฤติกรรมราคา - ใช้ประโยชน์จาก volatility ของสินค้า -กริด ไม่จำเป็นต้อง มาร์ติงเกล , double lot เสมอไป - ใช้ volatility มาช่วยในการรวบโซน หรือการจัดการ position size - การเทรดกริดทำได้หลายแบบ ทั้งตามทิศทางราคา และสวนทิศทางราคา มีข้อดี ข้อจำกัดแตกต่างกันไป - การเทรดกริดตามทิศทางราคา สามารถใช้ความได้เปรียบในการปรับต้นทุน และลดการเพิ่ม DD ได้ด้วย - ไม่ stoploss เป็นไม้รายออร์เดอร์แต่บริหารเงินและการขาดทุนเป็นโซน ผสานกับการ hedge กับสินค้าบน negative correlation layer - กริดป้องกัน ความเสี่ยง แบบการใช้ leverage ต่ำ ดู vdo สาธิตการทำงานของ dynamic grid ได้จาก link https://www.youtube.com/watch?v=ZPASg_wa6mA

Risk Reward Ratio

คำว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง” เป็นคำที่ผมเชื่อว่านักลงทุนทั่วไปคุ้นหู และมักจะได้รับข้อความนี้จากการชี้ชวนการลงทุนต่างๆ แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น มักละเลย เพราะมันจับต้องไม่ได้หรือมองไม่ค่อยเห็นความเสี่ยงก่อนการลงทุนจริงๆ บวกกับคำพูดทัศนคติแปลกๆที่ฝังหัวว่า "ไม่ขายไม่ขาดทุน" ไม่ขาดทุนก็ไม่เสี่ยง  มันจึงทำให้เกิดการประมาทหรือละเลยในความเสี่ยงที่จะเกิดนั้น และไดรฟ์การลงทุนด้วยกำไรที่ตนเองอยากจะได้เพียงอย่างเดียว ความเสี่ยงรวมในหุ้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ ความเสี่ยงที่เป็นระบบ(Systematic risk) และ ความเสี่ยงที่ไม่เป็นระบบ(Unsystematic Risk) โดยความเสี่ยงเป็นระบบ เป็นความเสี่ยงที่เกิดจากปัจจัยภายนอกตัวหุ้น ได้แก่ความผันผวนของตลาด ความผันผวนของกลุ่มอุตสาหกรรม ความผันผวนของกระแสเงินต่างชาติ เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงตัวนี้ แสดงออกชัดเจนและมีความต่อเนื่องในรูปแบบของกราฟ มีลักษณะเป็นแนวโน้มและมีทิศทางที่ชัดเจน และเกิดในลักษณะเดียวกันกับหุ้นอื่นๆในกลุ่มเดียวกัน  ความเสี่ยงไม่เป็นระบบ เป็นความเสี่ยงที่เกิดเฉพาะกับตัวธุรกิจ หรือเกิดเฉพาะกับหุ้นนั้นๆ เช่นไฟไหม้โรงงาน, ผลประกอบการขา

เทคนิคบริหารพอร์ตหุ้นเก็งกำไร

การเป็นนักเก็งกำไร หาเงินจากการเทรดหุ้นหลายคนมักคิดว่ามันง่าย ไม่เหนื่อย ได้เงินเร็ว ใช้ชีวิตชิวๆ ไม่ต้องกดดัน ไม่ต้องมีเจ้านายมาจิกหัวใช้ มากดดันให้เราทำอะไรตามคำสั่ง เหมือนเป็นชีวิตในฝัน แต่จริงแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรที่ง่ายดายเช่นนั้น ต้องผ่านการฝึกฝนและการพัฒนาตนเอง ผมเองแม้ปัจจุบันไม่ได้ทำอาชีพเป็นเทรดเดอร์ แต่ก็เคยมีประสบการณ์การใช้ชีวิตหาเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้นและอนุพันธ์อย่างเดียวมาก่อน  ผมเคยใช้เวลา เกือบ 2 ปีในการเทรดหุ้นเก็งกำไรเป็นหลัก ตั้งแต่เช้าถึงดึก ทั้งตลากหุ้นไทย tfex ตกเย็นก็ต่อด้วยการเทรดทองคำ ตอนนั้นมีความคิดเบื้องต้นที่ว่า อยากพัฒนาระบบเทรดและอยากเพิ่มความสามารถในการเทรดหุ้นของตัวเอง ถ้าเราทำงานไปด้วยเล่นหุ้นไปด้วย เวลาในการอ่านหนังสือ ในการทุ่มเทเพื่อติดตามหาข้อมูลมันอาจจะไม่พอ และอาจจะช้า ประจวบเหมาะกับเป็นช่วงที่เปลี่ยนผ่านชีวิตการทำงาน เลยทำให้ตัดสินใจลองทำดู สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ จากการใช้ชีวิตเลี้ยงชีพด้วยการเทรดหุ้น มันไม่ใช่แค่การดูกราฟ หรือนั่งวิเคราะห์ หุ้นแต่มันเป็นมิติเรื่องการบริหารจัดการ โจทย์ที่ว่าทำอย่างอย่างไรที่จะเทรดหุ้นให้มีเงินพอเลี้ยงชีพ ห

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 2

ตอนที่สองนี้ผมขอนำเอากลยุทธการเล่นโป๊กเกอร์มายกตัวอย่างเพื่อให้ได้เห็นภาพของการเล่นจริง ปกติอย่างที่ผมกล่าวอยู่เสมอการเล่นหุ้นและการเล่นโป๊กเกอร์ถ้ามีระบบ เข้าใจความเสี่ยงไม่เล่นไปตามอารมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นการพนันแต่อย่างไร โป๊กเกอร์และหุ้นเก็งกำไร จะชนะได้แบบยั่งยืนผู้เล่นต้องเข้าใจเรื่องความน่าจะเป็นและมีความอดทน เพื่อรอทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ได้เปรียบ กล่าวคือถ้าเป็นหุ้นก็คือการเล่นเสี่ยงบนแนวโน้มขาขึ้น ปล่อยให้กำไรเกิดตามแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของราคา ถ้าเป็นโป๊กเกอร์ก็คือการที่เรากล้าเสี่ยงการเพิ่มเดิมพันเมื่อไพ่ในมือและไพ่บนโต๊ะจับคู่ออกมาดี มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง และรู้จักหมอบเมื่อเห็นโอกาสที่จะแพ้ กลยุทธพื้นฐาน หลักการดังที่ผมอธิบายไปแล้ว ต้องอดทนรอไพ่ที่ดี ผมขอสรุปกลยุทธพื้นฐานที่ดังนี้  1. ประเมินไพ่สองใบที่ได้รับ ถ้าหน้าไพ่สูงมีโอกาสดี เช่นอาจจะเกิดตอง อาจจะเกิดฟลัช(Flush) อาจจะเกิดคู่สูง หรือสเตรท เป็นต้น เราก็สามารถ Call หรือวางเดิมพันเพื่อดูไพ่และเล่นต่อไป ถ้าไพ่ต่ำความน่าจะเป็นน้อยก็ควรหมอบ 2. เมื่อไพ่สามใบ กลางโต๊ะออก ให้ประเมินความน่าจะเป็นของไพ่ที่เหนือกว่า

เรียนหุ้นจากหนัง: พิชัยยุทธการลงทุน

หยิบหนังจีนเรื่องโปรดอีกเรื่องมาเขียน เพราะว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อยากแนะนำให้เพื่อนๆดูครับ รับรองว่าไม่ผิดหวังดูแล้วจะได้ข้อคิดดีๆนำไปใช้ในการลงทุนได้อีกด้วย หนังจีนเรื่องนี้ชื่อเรื่อง  A Battle of Wits (มหาบุรุษกู้แผ่นดิน) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสงครามที่ไม่ได้เน้นที่การรบแบบบู๊ระห่ำ แต่เน้นไปที่กลอุบาย กลศึก แบบพิชัยยุทธจีน ที่แสนจะเลื่องลือ A Battle of Wits หรือ มหาบุรุษกู้แผ่นดิน เข้าฉายในตอนปี 2006 เป็นหนังจีนฟอร์มยักษ์ที่นำแสดงโดย หลิวเต๋อหัว เรื่องราวของการทำสงครามสมัย 370 ก่อน คริตศักราช ระหว่างแคว้นจ้าวและแคว้นเหลี่ยง โดยแคว้นเจ้าเป็นแคว้นใหญ่ตั้งใจจะยกพลไปทำศึกจึงต้องผ่าน แคว้นเหลี่ยงจึงเสนอทางเลือกให้กับแคว้นเหลี่ยง 2 ทางคือการ ทำศึก กับ การยอมสยบ แน่นอนว่า กษัตริย์ของแคว้นเหลี่ยงกลัวที่จะถูกฆ่า จึงไม่ต้องการยอมแพ้ และได้เลือกใช้บริการของ "เก้อหลี่" ศิษย์เอกสำนัก ม่อจื้อ ผู้ที่ชำนาญด้านกลศึกและปรัชญา ชายคนนี้มีแนวคิดตามแบบ ม่อจื้อ คือรักสันติ มีความรักให้กับประชาชนทุกวรรณะ ไม่แบ่งชนชั้น  เนื้อเรื่องดำเนินได้สนุก เก้อหลี่ต้องนำทัพเหลี่ยงที่มีทหารไม่ถึงหมื่