ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กันยายน, 2021

สรุป The Simple Path to Wealth by JL Collins

  ผมเขียนถึง JL Collins โพสก่อนหน้ามีคนถามเข้ามาถึงหนังสือของแกว่าดีหรือไม่? ส่วนตัวผมไม่เคยอ่านครับไม่กล้าแนะนำ แต่อ่านบทความจาก Blog ชอบเพราะเขาเขียนจากประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการไปสู่ Finacial Freedom และอ่านเข้าใจง่าย ดังนั้นเพื่อขยายภาพแนวคิด Passive Investing ของ JL Collins ผมจึงทำบทสรุปในรายการ Talks at Google หัวข้อ The Simple Path to Wealth | JL Collins มาแบ่งปัน ให้ท่านสนใจลองศึกษากัน 1. JL Collins ให้นิยามความหมายของ Wealthในมุมมองของเขาว่า มันมองได้สองมุม มุมแรกด้านจิตใจ ความมั่งคั่งตัวแทนของความปลอดภัยและอิสระด้านปลอดภัยเพราะช่วยปกป้องตัวเราจากผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น,รวมถึงความมีอิสระในการตัดสินใจและเลือกที่จะใช้ชีวิตของเรา -มุมที่สองด้านการเงิน จำนวนเงิน เขาไม่ได้ให้ความสำคัญการมีมากที่สุด แต่เขาอิงกับระดับความมีอิสระทางการเงินตามกฏ 4% Rule, หรือ การที่มีเงินหรือสินทรัพย์ ที่นำไปสร้างผลตอบแทนระดับ 4% มากพอจะดำรงชีพรายปี(ครอบคลุม cost of living ของตัวเรา) จุดนี้น่าสนใจเพราะ Colins บอกแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป บางคนมั่งคั่งมีอิสรภาพทางการเงินได้ด้วยจำนวนเงินไม่สูง ขึ

บันทึก Evergrande

หนี้ของ  Evergrande ยังเป็นประเด็นร้อนต่อเนื่องที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ว่าจะมีผลกระทบต่อเจ้าหนี้ภาคธนาคาร,บริษัทเอกชนซื้อหุ้นกู้ และจะมีบริษัทอสังหาจีนอื่นๆที่จะประสบปัญหาสภาพคล่องเช่นกันหรือไม่ ล่าสุดเริ่มมีการพูดถึง Sinic Holdings Group บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จีนอีกเจ้าที่วันนี้ราคาหุ้นร่วงลงหนัก -87.01% จนต้องหยุดการซื้อขายไป Evergrande กับการขาดสภาพคล่องในการชำระดอกเบี้ย 83.5+47.5 ล้านเหรียญ(จากหนี้หุ้นกู้สองก้อน) ในเดือนนี้ ได้หรือไม่ถ้าเลยกำหนด 30 วันถือบริษัทผิดนัดชำระหนี้ ต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ บริษัทมีหนี้สินรวมมากกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์ ตอนนี้ยังอยู่คงรอดูว่าจะผ่านไปได้ดีหรือไม่ ความเห็นนวค.มีทั้งสองแบบ กลุ่มแรกมองว่าสินทรัพย์ของบริษัทมีพอขายใช้หนี้(เข้าสู่กระบวนการต่อรองได้) หรืออนาคตสามารถดำเนินธุรกิจต่อจนขายอสังหาในโครงการต่างๆมาใช้หนี้ได้ อีกกลุ่มมองว่าสินทรัพย์อาจจะไม่พอใช้หนี้ อันนี้คงดูว่าจะมีความช่วยเหลือหรือรัฐบาลจีนจะเข้ามาช่วยหรือไม่อย่างไร แต่นวค.ต่างประเทศส่วนใหญ่มองว่า ยังไม่รุนแรงเท่าที่เคยเกิดกับ Lehman Brothers ประเด็นใหญ่ที่ตามมาคือ จะกระ

บันทึก DW สุดสวิง แห่งปี

บันทึกไว้หน่อย กับ DJI41C2109A ตัวนี้เป็น DW อิง Dow Jones Index ของค่าย JPM วันนี้สุดโต่ง +23900% กระโดดเช้าไปรอบหนึ่ง และมากระโดดช่วงหลัง 14.30 การแกว่งระหว่างวัน range จาก low 0.03 ไป High 27.25 ก่อนปิด 4.80 ตัวนี้ซื้อขายวันสุดท้าย 17/09/64 , วันต่อมา ความดุเดือดของ DW ตัวนี้ก็ยังคงอยู่ เช้าเปิด 4.80 มีแรงซื้อเข้ามา ดันราคากระโดดไปถึง 13 บาท(คิดไว้แล้วว่าต้องโหด เพราะเหลือไม่กี่วันหมดอายุการเทรด คนยังกล้าซื้อเล่นสั้น) ราคาไปทำ High ไม่กี่นาทีก็ดิ่งลงมาด้วยแรงเทขาย กด 3.12 ก่อนลงไป 1.5 บาทช่วง 10.18 , ผ่านไปไม่กี่นาที 10.30 ราวจบไปกองที่ 0.60 สิ้นสัญญาณชีพไป ก่อนจบวัน 15.48 โดนขายอีกรอบราคาลดลงมาเหลือ 0.33 สิริวันนี้ -93.12% ,ใครเข้าราคาสูงก็โดน DW ตัวนี้กัดเล่นงานหนักพอควร บันทึกตัวนี้ไว้ 2 วันติดเพราะไม่ค่อยเห็นพฤติกรรมราคา DW วิ่งขึ้นวิ่งลงโหดแบบนี้มาก่อน ,เรียกว่าถ้าใครเจอทรงแบบนี้จะเข้าไปเทรด ควรจะคิดหน้าคิดหลัง บริหารความเสี่ยงให้ดี อยากหวังวัดดวงหรือคิดจะโชคดี อย่างเดียว เพราะสุดท้ายมันคือ money game ,คนลุกสุดท้ายย่อมจ่ายรอบวงเสมอครับ

I Will Teach You to Be Rich โดย Ramit Sethi

  วันนี้มีโอกาสได้ฟังคุณ Ramit Sethi บรรยายหัวข้อ I Will Teach You to Be Rich ในรายการ Talks at Google แล้วมีประเด็นน่าสนใจ เลยอยากเขียนบันทึกไว้เพื่อนำแชร์ต่อ คุณ Ramit Sethi เจ้าของหนังสือ "I Will Teach You To Be Rich" (New York Times bestseller) มาบรรยายวิธีคิดเกี่ยวกับเงินที่ไม่ได้มีเนื้อหาหนักหรือเน้นขายฝันแบบ กูรูการเงินทั่วไป ประเด็นหลักที่เขาชวนเหล่าคนฟัง(พนักงาน Google) ช่วยกันตอบคำถาม ได้แก่ 1. ความหมายของ "เงิน" ของแต่ละบุคคล -แต่ละคนตอบไม่เหมือนกัน บ้างก็มองว่าเงิน = ความสุข,ความปลอดภัย, ทางเลือกที่อิสระ,คุณภาพชีวิต เป็นต้น 2.สิ่งที่ใช้เงินแล้วทำให้มีความสุข ?? (spark joy) - ประเด็นนี้ Ramit ให้คนฟังคิดถึงที่ใช้เงินไปแล้ว Happy ในช่วงที่ผ่านมา ไม่เป็นจำเป็นว่า จะใช้เงินไปมากน้อยเพียงใดแต่ของให้มีความสุขเป็นพอ คำตอบที่ได้มากก็แปลกและหลากหลายดี เช่นได้กินของอร่อยจนพอใจ, ได้นั่งรถ taxi มาทำงานแทนรถไฟใต้ดิน, ได้ช่วยผ่อนบ้านให้คุณแม่, ได้ซื้อของสะสม,ได้จ้างพี่เลี้ยงเด็กช่วยดูแลลูก เป็นต้น 3. Money Dial การลองสมมติว่า สามารถเพิ่มขนาดของเงิน(งบประมาณ) เป็

Connect the Dots

สัปดาห์นี้ได้กลับไปดู Silicon Valley. ตั้งแต่ season 1-6 อีกรอบ ยังคงประทับใจฉากนี้จริงๆ ช่วงที่ Peter Gregory หาเงิน เพื่อเติมสภาพคล่องให้บริษัท startup ที่เขาไปลงทุน จากแฮมเบอร์เกอร์ของเบอร์เกอร์คิงที่เขามองเห็นโอกาสของความต้องการ sasimi seed (งาขาว) ในอุตสาหกรรมฟาสฟู๊ดมูลค่า 70 Billion ที่กำลังจะโดนผลกระทบจากแมลง Brood X Cicadas จักจั่นสายพันธ์พิเศษที่ฝังตัวในดินและพร้อมจะเติบโตจากการฝักตัวรอบ 17 ปีพร้อมกันจำนวนหลายพันล้านตัว แน่นอนว่า ประชากรแมลงที่กำลังจะเพิ่มจำนวนมหาศาล ที่ขึ้นมาจากดินพร้อมกัน ย่อมแย่งกันกัดกินพืชผลการเกษตร ซึ่ง Peter Gregory คาดการณ์ว่า sasimi seed ที่ปลูกมากในซูดาน,พม่า,อินเดียและบราซิล เป็นพื้นที่หลักที่มีประชากร Cicadas มากในอดีต, ทำให้รอบนี้ก็ไม่น่าจะรอดผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตของ sasimi seed ได้ Peter เลยเปิด Long Position ใน sasimi seed commodity Futures ,มูลค่าสัญญากว่า $60ล้านเพื่อเก็งกำไร ความกังวลใน ข่าวการระบาดของ Cicadas ผลคือปริมาณการเทรดและข่าวก็ดัน ราคา sasimi seed ในตลาดพุ่งกว่า +10% เขาทำกำไรราวๆ $6 million และใช้เงินนั้นรองรับเพื่อออกเงินกู้(l

ล้างพอร์ตคือหายนะ มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติสำหรับเทรดเดอร์ล้างพอร์ตคือหายนะ มันไม่ควรเป็นเรื่องปกติสำหรับเทรดเดอร์

เมื่อวาน Bitcoin ราคาเปิดบวกปรับตัวไปทำ High ของวันที่ 52956 ก่อนเริ่มไหลลงมาพักที่ 51000 แล้วราคาดิ่งนรกด้วยแรงขายชุดใหญ่ ราคาลงแบบ High Volatility จากแนว 51000 ไปทำ low ที่ 42900 ในเวลาไม่ถึง 2 ชม. ก่อนดีดกลับมาพักแถว 47000 รอบนี้มาพร้อมข่าวดีในการซื้อ BTC ชุดใหญ่ของรัฐบาลเอลซัลวาดอร์ ที่โหมประโคม , แต่เหมือนจะมีการเทขายทำกำไรจากรายใหญ่ที่ทำให้ราคา BTC ในวันร่วงลงได้ -18.8% เช่นเดียวกับ Alt coin อื่นๆส่วนใหญ่ที่ราคาร่วงลงแรงเฉลี่ยราวๆ -20% เช่นกัน เรียกว่าเป็นการร่วงลงรุนแรงของตลาดคริปโต ในรอบหลายสัปดาห์ หลังปรับตัวขึ้นมาต่อเนื่อง ภาวะ High Volatility ในเหรียญ crypto currency นี้เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ดังนั้นก่อนเทรดใน crypto ควรเรียนรู้ที่จะรับมือกับมันให้ได้ก่อนเสมอ โดยเฉพาะตลาด Futures ที่ต้องใช้ Leverage ในการเทรด ไม่เช่นนั้นกำไรที่ได้มากเยอะ ก็จะหายและหมดไป ในรอบนี้ก็ตามคาดเมื่อเกิดภาวะไม่คาดฝัน, และเปลี่ยนแปลงรุนแรง High Volatiltiy , เทรดเดอร์รายย่อยใน Future Market ก็ล้างพอร์ตกันระนาวตามขาด เพราะก่อนหน้าพฤติกรรมตลาดส่วนใหญ่เทรดเดอร์ เน้นไปทาง Long Position และมีการใช้ Levera

ตกผลึกบทเรียนจาก David Gardner

  ตั้งแต่เริ่มเทรดหุ้นอเมริกาเมื่อหลายปีก่อน ผมก็ตามอ่าน The Motley Fool ,มาตลอดชอบ content และไอเดียหลายเรื่องเกี่ยวกับการเทรดและการลงทุนในเว็บที่ อ่านเข้าใจง่ายและสามารถเก็บมาทำการบ้านเจาะลึกต่อได้ วันนี้เลยอยากมาเขียนบทความเกี่ยวกับ David Gardner หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง The Motley Fool ให้ได้รู้จักกัน โดยคุณ Gardner เป็นนักลงทุนสาย techno fundamental แนวผสมทั้งพื้นฐานและการวิเคราะห์ข้อมูลราคาหุ้น เขาจะเน้นการคัดกรองหุ้นที่มีพื้นฐานดีระยะยาวที่ขับดันการเติบโตในอนาคต และมีทรงของราคาแบบในกลุ่ม momentum stocks , ซึ่งเขายกตัวอย่างหุ้นสุดปังที่เคยเทรดเช่น Costco และ Netflix ที่เขาเข้าซื้อตั้งแต่ราคาเริ่มออกตัวแรกๆ และถือครองในพอร์ต ให้กำไรเติบโตหลายปีในช่วงขาขึ้น คุณ Gardner ไม่ใช่นักเก็งกำไรระยะสั้นและไม่หว่าน เขาเน้นการหาหุ้นไม่กี่ตัวที่มีโอกาสวิ่งได้ยาว และไกล มากกว่าการเทรดสั้นตามการแกว่งของราคา ปัจจัยที่ขับดันนั้นมาจาก Business Model ของบริษัท ที่เขาแชร์ไอเดียการคัดกรองหุ้นไว้ว่า 1.ต้องหาบริษัทที่โฟกัสไปที่ธุรกิจเฉพาะ(niche market)และสามารถเป็นเจ้าตลาดได้ก่อนคู่แข่ง, 2. CEO หรือผู้บ

Terraworld

นั่งอ่าน white paper ของ terraworld ตัว NFT LAND Token ซึ่งเป็น metaverse แรกบน terra blockchain แนวคิดน่าสนใจดีคือไม่ใช่แค่เกมส์แต่ทีมพัฒนาต้องการพัฒนาโลกเสมือนจริง ที่ผสมทั้งเรื่อง Real Estate (การซื้อขาย ลงทุนใน NFT LAND และ NFT Building ) และการให้ผู้เล่นมีตัวตน(สร้าง Avatar) เข้าไปทำธุรกิจ Startup ในโลกเสมือนจริง ทำงานร่วมกันโดยไม่ต้องรีบจ่ายค่าเช่าออฟฟิตแพงๆช่วงเริ่มต้นกิจการ (บน Terra virtual Office ที่พัฒนาฟีเจอร์การสื่อสาร,การทำงานร่วมกัน การประชุมออนไลน์ และการใช้ smart contract. จัดการเรื่องเงินเดือน อีกด้วย) รวมถึงการเป็นเหมือนแหล่งรับสมัครงานออนไลน์ที่แต่ละ office สามารถโพสหางานให้ Job Seekers หรือกลุ่ม Freelance และสามารถจ่ายค่าตอบแทนเป็น UST หรือ TWD ได้ด้วย ซึ่ง terra นำเอา blockchain และ smart contract มาใช้ในการจัดการการจ้างงานแบบไร้คนกลาง แพลตฟอร์มนี้น่าจะมาสนับสนุนการ Work form Home , การประชุมออนไลน์,บริการสื่อสารออนไลน์ต่างๆ แม้การเรียนออนไลน์ ให้กับองค์กรธุรกิจหรือบริษัทต่างๆได้อีกด้วย ซึ่งกำลังเป็นกระแสการทำงานยุคใหม่หลัง COVID-19 นอกจากนี้ยังมี market place

อะไรที่ดีเกินจริง มันมักไม่เป็นจริง

เมื่อวานพูดถึงเรื่อง Bernard Madoff ประเด็นการหลอกหลวงครั้งใหญ่ใน wallstreet มูลค่าเสียหาย $18 billion เกมส์การเงินแบบ poncy scheme ที่ Madoff ใช้หลอกนักลงทุน และกองทุนต่างๆให้มาลงทุนผ่านการตกแต่งบัญชี และผลการลงทุนที่สวยงามเกินจริง ซึ่งหลอกให้เหล่า นักการเงินมืออาชีพ,ผู้จัดการกองทุนให้ช่วยหาเงินจากนักลงทุนมา ใส่กองทุนของ Madoff ตลอดหลายปีที่ผ่านมา วันนี้นำข้อมูลมาขยายความเพิ่มโดยในภาพนี้นำมาจาก Google Investment talk ที่ Andrew W. Lo ไปบรรยายเรื่อง Adaptive Markets ในช่วงนี้คุณ Lo พูดถึง Adaptive Risk perception ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะมืออาชีพ แม้จะ loss aversion หนีความเสี่ยงแต่ก็ยังโดนหลอกจากการถูกดึงดูดเข้าหา High return และ low risk หรือ High sharpe ratio จุดนี้คุณ Lo บอกว่าเรื่องมุมมองเกี่ยวกับความเสี่ยง(Risk) ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกันไปและเป็นเรื่องที่มักโดนจัดการปรุงแต่ง ทำให้เชื่อหรือเข้าใจผิดได้ง่าย จากการสอบถามผู้ฟังบรรยายในคลาสด้วยข้อมูลในภาพก่อนเฉลย คนส่วนใหญ่มักจะเลือกลงทุนบน asset เส้นสีดำ ซึ่งเส้นนี้เป็นผลตอบแทนสะสมระยะ 10 กว่าปีจากการลงทุน $1 ไป $7 (ผลตอบแทนราวๆ 7