ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

สรุป The Simple Path to Wealth by JL Collins

 ผมเขียนถึง JL Collins โพสก่อนหน้ามีคนถามเข้ามาถึงหนังสือของแกว่าดีหรือไม่? ส่วนตัวผมไม่เคยอ่านครับไม่กล้าแนะนำ แต่อ่านบทความจาก Blog ชอบเพราะเขาเขียนจากประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับการไปสู่ Finacial Freedom และอ่านเข้าใจง่าย ดังนั้นเพื่อขยายภาพแนวคิด Passive Investing ของ JL Collins ผมจึงทำบทสรุปในรายการ Talks at Google หัวข้อ The Simple Path to Wealth | JL Collins มาแบ่งปัน ให้ท่านสนใจลองศึกษากัน


1. JL Collins ให้นิยามความหมายของ Wealthในมุมมองของเขาว่า มันมองได้สองมุม มุมแรกด้านจิตใจ ความมั่งคั่งตัวแทนของความปลอดภัยและอิสระด้านปลอดภัยเพราะช่วยปกป้องตัวเราจากผลกระทบต่างๆที่เกิดขึ้น,รวมถึงความมีอิสระในการตัดสินใจและเลือกที่จะใช้ชีวิตของเรา -มุมที่สองด้านการเงิน จำนวนเงิน เขาไม่ได้ให้ความสำคัญการมีมากที่สุด แต่เขาอิงกับระดับความมีอิสระทางการเงินตามกฏ 4% Rule, หรือ การที่มีเงินหรือสินทรัพย์ ที่นำไปสร้างผลตอบแทนระดับ 4% มากพอจะดำรงชีพรายปี(ครอบคลุม cost of living ของตัวเรา) จุดนี้น่าสนใจเพราะ Colins บอกแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเท่ากันเสมอไป บางคนมั่งคั่งมีอิสรภาพทางการเงินได้ด้วยจำนวนเงินไม่สูง ขึ้นกับความต้องการใช้เงินของแต่ละคน
2. Keep Simple Path สำคัญเพราะความเรียบง่ายนั้นมีพลังและให้ผลดี เขาโยงไปถึงวิธีการลงทุน,การเลือก Product เช่น Index fund (Diversified Stock Fund)และการจัดพอร์ตโฟริโอ(stock/bond) -เหตุผลของความง่าย คือต้นทุนต่ำ(low cost) ,ไม่ต้องใช้เวลาติดตามหรือทำงานมาก, ไม่กระทบวิถีชีวิตปกติ -คุณ Collins บอกว่าเขาเขียนหนังสือหรือบทความในบล๊อกเพื่อถ่ายทอดความรู้ให้ลูกสาว หรือคนทั่วไปที่ไม่มีเวลามาก ,การลงทุนที่ถูกทางไม่ต้องซับซ้อนและได้ผลระยะยาว(เหมาะสม average return)
3. เริ่มเขียน blog ปี 2011 นำมาจากบทความที่ต้องการเพื่อถ่ายทอดความรู้ และแนวทางการลงทุนให้ลูกสาว เขาแนะนำแนวทาง/โมเดลเฉพาะเจาะจง ทำให้ในบทความมีคำแนะนำค่อนข้างเจาะจง เช่น Vanguard Fund อย่าง VTSAX ( Total Stock Market Index Fund , ตลาดสหรัฐ,กระจายหลาย Sector, Low Fee)
4. JL Collins มองว่าการซื้อบ้านไม่ใช่การลงทุนที่ดี, เขาอธิบายในมุมมองว่า ถ้าคนอยากมีบ้าน,รักมีบ้านของตัวเอง นั้นเป็นเรื่องดีเป็นเรื่องที่ควรนำเงินไปซื้อบ้าน ซึ่งเขาเองก็ซื้อบ้านของตัวเองเช่นกันตอนวัยหนุ่มซึ่งดีต่อการใช้ชีวิต -แต่จากประสบการณ์ของเขา เขาไม่แนะนำว่ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ดีในการใช้เงิน กรณีถ้าต้องการไปสู่อิสรภาพทางการเงิน - Key เขาบอกว่ามันขึ้นกับคนแต่ต้องเข้าใจว่ามันไม่ใช่การลงทุนที่หวังผลเป็นกำไรหรือผลตอบแทนตัวเลขได้ในอนาคต เพราะซื้อบ้านมีค่าใช้จ่าย,มีดอกเบี้ยต้องจ่ายรายเดือน,มีค่าเสื่อม,และราคาไม่จำเป็นต้องเติบโตในอนาคต แบบนายหน้าโฆษณา , -และก่อนตัดสินใจซื้อบ้าน ควรเปรียบเทียบตัวเลขต้องจ่ายให้ดี เพราะในเมืองใหญ่ในสหรัฐปัจจุบันถ้าเปรียบเทียบต้นทุนที่ต้องจ่ายกับค่าเช่า การมีบ้านหลังแรกอาจจะแพงกว่าการเช่าบ้านก็เป็นได้ ถ้าแพงแล้วเรา OK ต่อการตัดสินใจใช้เงินเพื่อชีวิต ก็จบ
5. ระวังสับสนกับสินค้า แนวทางการลงทุนมากมายที่มีขายในตลาด ถ้าไม่มีเวลาลงทุน ทำการศึกษาข้อมูลมากพอ เลือกสิ่งที่ simple เข้าใจได้ชัดเจนเป็นสำคัญและไม่ลงกับโฆษณา performance มากๆระยะสั้น ควรมองการวัดผลการเติบโตระยะยาว
6. เขาบอกว่าการพยายามเลือกหุ้น, การคาดเดาดัชนีตลาด ให้ถูกต้องแม่นยำเป็นเรื่องยาก เขาเชื่อไม่มีใครสามารถ predict market ดังนั้นก็อย่าไปเดา สิ่งที่เขาศึกษาพบการลงทุนแบบเป็นระบบบนความเสี่ยงเหมาะสม ผลระยะยาวก็สามารถ best performance ได้เช่นกัน , เขาแนะนำการอยู่ในตลาดต้องพร้อมจะขี่ไปบนแนวโน้มช่วง Bull market หรือ Bear Market และพร้อมขี่บน volatile market เช่นกัน ปัจจัยสำคัญพร้อมเสมอเพราะไม่มีทางรู้จะเกิดเมื่อไหร่
7. ไม่มีใครรู้ตลาดจะเป็นอย่างไร บางคนกลัวจะซื้อเขายกตัวอย่างตอนช่วงปี 2009 หลังตลาดร่วง,หรือตอน 2014 มีนักลงทุนคนถามว่า S&P500 1600 สูงเมื่อเทียบ 600 จุดปี 2009 จะลงทุนได้ยังไง , Collins บอกว่ายิ่งเดายิ่งสับสน ดังนั้นเขาแนะนำให้ เริ่มลงทุนบนความเสี่ยงที่รับได้ทันทีที่พร้อม - Collins สรุปสั้นๆ Time in the market is more powerfull than trying to time the market
8. ถ้ามีเงินทุน ก่อนเริ่มลงทุนให้หาความรู้ก่อนเสมอ, เมื่อเข้าในตลาดพร้อมรับ market volatile บริหารความเสี่ยงเมื่อตลาดร่วง ยิ่งต้องไม่ panic sell รีบขายมั่วๆตามอารมณ์ , ถ้าช่วงสร้าง wealth ทำงานมีรายได้, เมื่อราคาหุ้นถูกในช่วง bear market ควรใช้ประโยชน์จาก discount ($1000 ได้จำนวนหุ้นหรือหน่วยลงทุนมากขึ้นปกติ)หรือหาประโยชน์จาก volatility of market
- ถ้าช่วงรักษา Wealth เช่นหลังเกษียณหรือไม่มีรายได้ ภาวะตลาดขาขึ้นแรงหรือปกติ ควรเพิ่มการป้องกันความเสี่ยงการสะสม Bond หรือสินทรัพย์ปกป้องความเสี่ยงในพอร์ต ซึ่งถ้ามองเห็นการเพิ่มในผลตอบแทน Bond มากพอ หรือตลาดหุ้นเริ่มเข้าที่ สามารถขาย Bond มาซื้อหุ้นในช่วงราคาถูกได้ (คือการทำ asset allocation นั้นเอง) - สูตรหลักของแกคือ 80% VTSAX/20% VBTLX allocation
9. Collins ตอบคำถามไม่เน้นกระจายเงินลงทุนไปนอกสหรัฐ ตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น เพราะเขาเชื่อว่าการลงทุนใน US index กลุ่มหุ้นใหญ่สหรัฐปัจจุบันเช่น Apple , Amazon, Google , Facebook และอื่นๆเป็นบริษัทข้ามชาติได้ประโยชน์จากการโตของ Global economic ,เช่นเดียวกัน สหรัฐเป็นประเทศอันดับต้นของเศรษฐกิจโลก
10. แยกอารมณ์ จากการตัดสินใจลงทุน ,คำถามจากพนักงาน Google ว่าควรถือหุ้น Google ที่ได้จากสิทธิ์การทำงานระยะยาวหรือไม่, Collins ตอบว่าเขาไม่รู้อนาคตของบริษัท ,ถ้าทำงานใน Google ถือว่าลงทุนชีวิตในบริษัทนี้แล้ว และต้องการให้บริษัทมีอนาคตที่ดี แต่อนาคตไม่มีใครรู้ การขายหุ้น Google ที่ได้แล้วลงทุนในกองทุนหรือหุ้นอื่น เป็นทางเลือกที่ดีในการปกป้องความเสี่ยง แบบไม่ใส่ไข่ไปในตระกร้าเดียวกันทั้งหมด ยาวสักนิดแต่หวังว่าจะมีประโยชน์กับทุกท่านครับ เข้าไปคลิปฟังเต็มได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=T71ibcZAX3I