ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก 2020

กลยุทธ์การขายสิ่งที่ไม่มีคนอยากซื้อ

  ราคา กับ อารมณ์ ในมิติของการเงินเชิงพฤติกรรม นี้เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เกือบทุกวงการ คืนนี้ได้ดูซีรีย์เกี่ยวกับนายหน้าอสังหา ของญุี่ปุ่น เขาคิดวิธีขาย บ้านหลังหนึ่ง ที่เกิดคดีฆาตรกรรม , ยกครอบครัว พอมีคนตาย ก็ไม่มีใครกล้าซื้อ ญาติที่รับมรดกต่อก็ไม่กล้าอยู่ บ้านหลังใหญ่จากราคาเกือบ 100 ล้านเยน ก็เอามาตัดราคาขาย 10 ล้านเยน ก็ยังขายไม่ออก แทนที่จะโกหก ลูกค้า นายหน้าอสังหา รายนี้ก็คิดวิธีขายคือ เธอทำการตลาดด้วยการทำแผ่นพับ ไปวางและนำเสนอ ตามโรงพยาบาล, ให้กับบุคลากรการแพทย์ แม้เจ้าหน้าที่ที่ทำงานเกี่ยวกับคนตาย, เจ้าหน้าที่นิติเวช, สัปเหร่อ เพื่อให้มาซื้อบ้าน หรือแลกเปลี่ยนบ้าน เพราะ คนเหล่านี้มีมุมมองเกี่ยวกับ ความตาย ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป (เข้าใจ เคยชิน ยอมรับได้) ทำให้มองข้าม sentiment ไป รวมถึงเธอเน้นให้ คนซื้อเห็นถึงมูลค่าที่ดิน ที่สูงตามขนาดความกว้างของพื้นที่(แม้จะอยู่ไม่ได้ ทุบบ้านทิ้งขายที่ดินเปล่าก็ยัง กำไร ในอนาคต) นอกจากนี้เธอยังจัดรายการท้าพิสูจน์ด้วยการไป นอนพัก ค้างคืนจริง เพื่อให้เห็นว่า มันไม่น่ากลัว และตัวบ้าน ยังอยู่สบาย แต่สุดท้ายก็ขายบ้านได้ แต่ก็นั้นอีก มันไม่ใช่

สรุปประเด็นวุ่นๆไอพีโอพันล้านของ Ant Group

  จีนนี้อีกขาเหมือนจะล้ำสมัย แต่อีกขาเขาก็ยังยึดกรอบกติกาการปฏิบัติ ที่เข้มงวด ใครไปท้าทายนี้โดนอัดกลับแบบล้มไม่เป็นท่า ถ้าเคยอ่านประวัติ แจ็ค หม่า เขาก็โตหรือสำเร็จมาได้จากการเปิดทางของรัฐบาลจีน แต่คุณแจ็ค หม่า รอบนี้ไม่รู้ว่าอะไรดลใจ ให้ กล้าวิจารณ์นโยบายการเงินของจีนว่าทำตัวเหมือนโรงรับจำนำ(ใช้สินเชื่อเยอะก่อนปล่อยกู้) ปิดโอกาสโตของธุรกิจ SME เรียกว่าวิจารณ์โชว์นักลงทุนต่างชาติ พูดเสร็จเลยโดน รัฐบาลจีนอัดกลับเตะตัดขา ล้ม IPO ฟินเทค,และ e-payment ระดับตำนานดีลมูลค่า $3.97 billion ของ Ant Group (Ant Financial + Alipay) บริษัทในเครืออาลีบาบา แบบก่อนที่กำลังจะเข้าตลาดฮ่องกง,เซี่ยงไอ้ เพียง 2 วัน ข่าวระบุเป็นคำสั่งระงับจากท่านประธาน สี จิ้น ผิง ถ้ารัฐบาลจีนเอาจริงตามข่าว ประกาศกฎหมายควบคุมให้ ฟินเทคหรือนอนแบงค์ จะปล่อยสินเชื่อจะต้องมีเงินทุนสำรองอย่างน้อย 30% จากวงเงิน จะทำเอา Ant Group ไปต่อไม่ได้ในจีน และกลายเป็นธุรกิจผิดกฏหมายทันที เพราะ Ant Group มีทุนสำรองแค่ 2% ของวงเงินที่ปล่อยกู้ สุดท้ายรอดูว่ารัฐบาลจีนจะโหดแค่ไหนกับการคุมการชำระเงินแบบดิจิทัล(ซึ่งรัฐบาลกำลังเข้ามามีบทบาทมากช่วงป

Where Does Our Trading Edge Really Come From

  ระหว่างพักรอเทรด Gold ซึ่งคืนนี้วิ่งกระฉูด ดีจริงๆ นวค. ว่าความผันผวนรอบนี้รับ ดีเบตรอบ 3 และความเคลื่อนไหวจากการเมืองสหรัฐ ผมมีโอกาสได้ฟังคลิป "Where Does Our Trading Edge Really Come From" ของ คุณ Brett Steenbarger ซึ่งเขาใช้เวลาอธิบายประเด็นที่ว่า edge ของเทรดเดอร์นั้นมาจากปัจจัยอะไร โดยสรุปเป็นภาษาชาวบ้านคือ ส่วนใหญ่มันสืบต่อมาจากทักษะและความสามารถของบุคคลนั้นๆ เช่นถ้าเราถนัดคิดคำนวณชอบตัวเลข การที่เป็น quant trader ย่อมได้เปรียบและทำได้ดีกว่าคนที่ไม่ชอบ , แบบเดียวกันถ้าเราชอบเล่นกีฬาชอบการแข่งขัน หรือเล่นเกมส์ ที่ต้องใช้การตัดสินใจแบบเฉพาะหน้าระยะสั้น การเป็น Day trading ย่อมมีความได้เปรียบและทำได้ดี เป็นต้น คุณ Brett Steenbarger บอกว่าพยายามหาสิ่งที่เรามี เราถนัดทำได้ดี นำมาใช้ในการเทรด การพัฒนากลยุทธ์ สไตล์การเทรดของเรา แต่สุดท้าย การไปสู่ความสำเร็จ ก็ยังต้องมีการพยายาม และทำต่อเนื่อง เพื่อเสริม edge ที่เรามีอีกด้วย แต่ Key คือหาทางที่เหมาะกับจริตและหาความถนัดของเรา ดีที่สุดครับ ฟังคลิปเต็มที่ https://www.youtube.com/watch?v=voyVlMYxbC0

Fear & Greed Index

เคยสอนเรื่องนี้สำหรับการทำ sentiment analysis ไว้เมื่อปีก่อน วันนี้ขอนำเอา Fear & Greed Index มาแชร์อีกครั้ง เพื่อให้พวกเราที่กำลังศึกษาตลาดได้ลองติดตาม ข้อมูล ตัวนี้ในช่วงเลือกตั้งใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ที่กำลังจะมาถึงในอีก 5 วันกัน Fear & Greed Index พัฒนาโดย CNN Money ใช้ข้อมูลจากหลายส่วนที่เป็นตัว stress indicator จากปัจจัย 7 ข้อเช่น 1 Stock Price Momentum (The S&P 500 เทียบ MA125() ) 2 Stock Price Strength (จำนวนหุ้นราคาชนแนว52-week High เทียบ , จำนวนหุ้นชน 52 week Low ) 3 Stock Price Breadth (เทียบหุ้น volume ปรับเพิ่มกับตัวที่ปรับถดถอยจาก McClellan Volume Summation Index) 4 Put and Call Options (เทียบจำนวนสัญญาออปชั่นฝั่ง Put และ Call) 5 Junk Bond Demand 6 Market Volatility (จาก VIX) 7 Safe Haven Demand( ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่าง stock และ bond) มาวิเคราะห์ค่าผลรวมแบบถ่วงน้ำหนักเท่ากันแล้วสรุปผล เพื่อใช้วิเคราะห์หาพฤติกรรมตลาดหุ้นสหรัฐ ค่าจะเป็นสเกล 0 ถึง 100 คล้าย oscillator ที่บอกว่า ตอนนี้อารมณ์ตลาด ถ้าตัวเลขไปทาง 100 ยิ่งมากแปลว่า greed ยิ่ง bullish ขณะที่ถ้าไปทาง 0

Can Money Buy Happiness?

  เมื่อวานเป็น meeting แรกของกลุ่ม Happy trader พยายามจะลองทำโครงการนี้ เพื่อสร้าง framework ง่ายๆ สำหรับคนคอเดียวกัน คำถามหนึ่งที่ติดใจ คือ เราเทรดได้เงินแล้วเงินมันซื้อความสุขได้ไหม ผมตอบประเด็นนี้ไปโดยอิงจาก คลิปนี้ วันนี้ผมจะมาย่อยให้น้องๆได้อ่านอีกรอบ คลิปนี้คุณ Henry Baker เอาปัญหาอย่าง เงินซื้อความสุขได้ไหมมาเจาะลึก สัมภาษณ์ทั้งนักวิจัยและผู้เชืยวชาญที่ทำงานวิจัยและได้บรรยายแนวคิดบน Ted talk เช่น Dr. robert woldinger, Sandra Matz และ Michael Norton สรุปคือ มีเงินดีกว่าไม่มีเงิน และเงินสามารถซื้อความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีได้ โดยมีหลักดังนี้ - รู้จักตัวเองเป็น Introvert หรือ Extrovert ชอบมี enjoy คนเดียว หรือชอบออกสังคม เพราะถ้าใช้เงินไม่เหมาะสมกับจริตของเราใช้มากแค่ไหนก็ไม่ทางมีความสุขได้ - ใช้เงินเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม เช่นการบริจาคเงิน การช่วยเหลือคนอื่น การเลี้ยงอาหารเพื่อน และอื่นๆ ทำให้เราอิ่มใจ และรู้สึกมีคุณค่า ขณะเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องมีเงินเยอะ ก็สุขได้ - ใช้เงิน เพื่อซื้อประสบการณ์ แทนการซื้อของไม่จำเป็น: นักวิจัยระบุการใช้เงินแบบนี้จะทำให้เรามีความพึงพอใจและมี

Investing Lessons From the Top of a Quant Fund

  สัปดาห์นี้ได้อ่านบทความ Investing Lessons From the Top of a $7.3 Billion Quant Fund ซึ่งเป็นบทสัมภาษณ์ของคุณ Igor Tulchinsky CEO และผู้ก่อตั้ง WorldQuant LLC (quantitative hedge fund , $7.3 billion) ออกมาในช่วงโปรโมทหนังสือเล่มใหม่ The UnRules: Man, Machines and the Quest to Master Markets ผมเป็นแฟนหนังสือของคุณ Igor Tulchinsky ตั้งแต่เล่มแรก พอได้อ่านบทความนี้จบคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เลยอยากสรุปประเด็นสำคัญแชร์เก็บไว้ 1. Take risks and to remain an optimist - คุณ Tulchinsky อพยพหลบหนีจากโซเวียตมาใช้ชีวิตในสหรัฐตั้งแต่อายุ 10 ขวบ เริ่มต้นจาก 0 ใช้ชีวิตในห้องเช่าเล็กๆ ประสบการณ์สอนเขาว่าคงมีไม่กี่สิ่งที่เสี่ยงมากไปกว่านี้แล้ว ทำให้ เขากล้าเสี่ยง มองมุมบวก มุ่งมั่นที่จะเอาชนะอุปสรรค ผ่านช่วงที่เลวร้ายและความไม่แน่นอนไปได้ 2. Simulation อายุ 17 ปีเขาได้เริ่มเป็น video-game programmer สิ่งที่ได้เรียนรู้คือเรื่องของการคิดสร้างสรรอย่างเป็นระบบ การหาคำตอบบนความไม่แน่นอนด้วยการโมเดลปัญหาแล้วสร้าง simulation เพื่อหาผลลัพธ์หรือทางแก้ปัญหาที่เป็นได้มากที่สุด 3. Cutting losses and moving on ช่ว

What I Learned Losing a Million Dollars

  ผมหยิบหนังสือเก่ามาปัดฝุ่นอ่านเล่นอีกรอบ What I Learned Losing a Million Dollars เป็นหนังสือโปรดอีกเล่ม ที่ผมมักแนะนำให้น้องๆเทรดเดอร์ ลองหามาอ่าน สาระในเล่มไม่หนัก ไม่ได้มีอะไรมาก แต่มันน่าสนใจเพราะเป็นหนังสือ ที่แตกต่างจากหนังสือส่วนใหญ่ที่มักพูดแต่เรื่อง เส้นทางความสำเร็จ (สไตล์ How To Be Successful) ซึ่งในด้านการเงิน หรือการลงทุนบางทีมันไม่สรณะ หรือไม่อาจจะทำตามกันแล้วสำเร็จ เป็นจริงทุกประการ เพราะมีปัจจัยเฉพาะหลายอย่างมาประกอบ(หลายอย่างมันเคยใช้ได้ในอดีตแต่ปัจจุบันวิธีการเดียวกันอาจจะใช้ไม่ดีอีกต่อไป) แต่เรื่องความล้มเหลว หรือการขาดทุน นี้สิ ส่วนใหญ่ ไม่ต่างกัน 80% เกิดจากสาเหตุคล้ายกัน เคยล้มเหลวเหมือนกัน จุดนี้เราเรียนรู้ได้นำไปใช้ป้องกันหรือหลีกเลี่ยงได้ เล่มนี้ก็ไฮไลท์ไปที่ปมใหญ่ คือเรื่อง จิตวิทยา เช่น ego หรืออัตตา ที่ทุกคนล้วนมีเสมอ โดยหนังสือเล่มนี้เล่าตัวอย่างผ่านเรื่องราวของ Jim Paul ผู้ขาดทุน $1 million จากการตัดสินใจผิดพลาดจากการเทรดในตลาดเก็งกำไร(ตลาดหุ้นและคอมโมดิตี้ฟิวเจอร์) ทั้งเรื่องการลงทุนแบบขาดแผน เล่นตามอารมณ์ , ซื้อขายตามคำแนะนำของฝูงชน หรือพยายามยึดมั่นกับ

Hot Hand fallacy อคติที่เทรดเดอร์ควรระวัง

  เมื่อวานไปช่วยวิเคราะห์ผลการเทรดให้รุ่นน้องเทรดเดอร์มือใหม่คนหนึ่ง สิ่งที่พบจากการวิเคราะห์ pattern ผลการเทรดด้วยการทำ data analysis คือพบปัญหาจากอคติ แบบ Hot Hand fallacy เทรดเดอร์มักมีความย่ามใจ ว่าเทรดได้ดี ได้กำไรติดกัน ก็อยากจะรีบกอบโกย บางทีเราไม่ได้อ่านสถานการณ์ หรือ วิเคราะห์พฤติกรรมราคาให้ดีพอ เทรดแบบเดิม แต่เพิ่มขนาด position size เพียงคิดว่าจะต้องได้มากกว่า ถ้ามือขึ้น จุดจบคือ กำไรที่ได้มา หายหมดในไม้เดียว ความเสี่ยง(risk) มันคือสิ่งที่เทรดเดอร์ ควรตระหนักก่อนกำไร(profit)เพราะสุดท้ายราคาสินทรัพย์ที่เราเทรด ล้วนมีความเป็น Random walk ได้เสมอ นั้นหมายความว่าอิทธิพลจากการ random ย่อมมีผลต่อ performance ของเรา ดังนั้นโอกาสจะถูกทุกครั้ง ถูกต่อไปต่อเนื่อง นั้นเป็นไปได้ยาก ถ้าคิดได้แบบนี้ เราจะมีสติในการจัดการความเสี่ยง ทำตามระบบ รู้จักหยุด รู้จักรอและรู้จักมีจุดที่พึงพอใจ กับผลกำไรภาพรวมที่ได้ ในระยะยาวมากกว่า การรีบกอบโกยระยะสั้น ฟังเรื่อง Hot Hand fallacy เพิ่มเติมได้จาก คลิปนี้ครับ https://youtu.be/IsPHmG3ycpo

ปีที่ไม่ค่อยดีของ Trend-following hedge funds

บทความนี้ดีงามมาก เขาพูดถึงกลุ่ม hedge funds สาย Trend following ที่ปีนี้ผลงานไม่ค่อยดี ค่าเฉลียผลตอบแทนของฟันด์สายกลยุทธ์ CTA ติดลบ -2.2% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ราวๆ +2% แต่ไม่ใช่ทุกฟันด์จะแย่ไปหมด บางฟันด์ที่ปรับตัวก็รอดได้ อยากให้ลองอ่านถึงแนวทางการปรับตัว ในวันที่ตลาดผันผวนและ Trend ไม่ชัดไม่มีให้ follow ง่ายๆแบบในอดีต ชอบคำพูดของ Leda Braga, the head of Systematica มาก สอนให้เราเข้าใจตลาด เข้าใจการปรับตัว และไม่งมงายกับความเชื่อว่าจะมีเครื่องมือวิเศษที่คาดเดาตลาด หรือคาดเดาอนาคตได้ “We don’t claim to have found the Holy Grail. We have to continually learn and adapt our algorithms to cope better, enrich our models and prepare them for regime changes,” อ่านบทความเต็ม https://www.ft.com/.../5ea09868-ecc0-47d1-aa5c-57d33af543f4 

ความก้าวหน้าของเทรดเดอร์

เดือนก่อน ก็มีผู้หญิงท่านหนึ่งเขียนมาถามทาง email เพราะแฟนกำลังจะลาออกมาเป็นเทรดเดอร์ กลัวชีวิตจะไม่ก้าวหน้า พอเห็นโพสนี้ได้รับความนิยม เลยอยากแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวไว้สักนิดเพื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับน้องๆมือใหม่ สำหรับผมมุมมองก็ยังเหมือนเดือน ที่เคยเขียนในหนังสือหรือบทความเมื่อ 5-6 ปีก่อน ว่าไม่ควรรีบจะลาออกจากงานประจำมาเป็นเทรดเดอร์ ควรค่อยๆวางแผน ค่อยๆทำสะสมประสบการณ์ ยิ่งในภาวะตลาดและเศรษฐกิจตอนนี้ เขาเรียกตลาดปราบเซียน จะลาออกมานั้นยิ่งต้องคิดใหม่หนักเลย ดังนั้นเทรดไป เรียนรู้ไปควบคู่กับงานประจำก็ได้เช่นกัน ประเด็นสองความก้าวหน้า การเป็นเทรดเดอร์ เป็นเจ้านายตัวเอง ต้องบังคับตัวเองให้เป็นก่อน รู้จักบริหารเวลา มีวินัย มีความรับผิดชอบให้มาก ถ้ายังทำไม่ได้ อย่าลาออกมาเลยครับ ไม่รอดแน่นอน ข้อดีของความก้าวหน้า มาจากประสบการณ์และฝีมือโดยตรง ตอนปีแรกเหมือนทดลองงาน ให้หัดเทรดเบาๆ position size เล็กๆ ไม่ต้องใช้ leverage นัก เราอาจจะได้กำไรไม่มาก พอผ่านปี 2 ผ่านปี 3 เทรดได้ดี อยู่รอด ทำกำไรได้ต่อเนื่อง ค่อยเพิ่มอัตราความเสี่ยง เพิ่ม leverage (เหมือนใส่เกียร์ 3 4 5 ให้แรงขึ้น) จุดนี้ return หร

อายุกับความสำเร็จของเทรดเดอร์

วันนี้ลองเอา AI ที่พัฒนาเพื่อใช้ช่วยให้คำแนะนำเทรดเดอร์ นำไปใช้ทดสอบประเมินความพร้อม จากการเก็บข้อมูลของมือใหม่ด้วย predictive model สิ่งที่พบหลังจากวิเคราะห์ผลคือ ส่วนใหญ่ถ้าเริ่มเรียนรู้เรื่องการเทรด ในตอนอายุเยอะ(40 ขึ้น+มีครอบครัว) มักจะมีข้อจำกัดเรื่องความเสี่ยงที่รับได้ และเวลาที่ใช้ในการฝึกฝนและศึกษาหาความรู้ ซึ่งขั้นตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเด็กจบใหม่จากมหาวิทยาลัย หรือจะเป็นผจก.บริษัทวัย 50 เมื่อเริ่มต้น เราล้วนต้องใช้เวลาในช่วง preriod นี้ เพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และทำความเข้าใจตลาด เช่นกัน(ตรงนี้ไม่มีแต้มต่อจากอายุ หรือ ทางลัดใดๆ) สิ่งที่พบจากการวิเคราะห์ข้อมูล คนที่เริ่มอายุเยอะ มีทรัพยากรเงินเยอะ บางทีเทรดผิดพลาด ผลคือขาดทุน ติดดอย หนักตามขนาดเงินที่ลงไป ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ เริ่มให้เร็วนั้นดีที่สุด เพราะผิดพลาดล้มเหลว ในวันที่อายุน้อย มีเงินน้อย ต้นทุนและค่าเสียหายจากผลของความผิดพลาด มันก็จะจำกัดไป แน่นอนแม้เงินน้อยจะไม่ทำให้กำไรเยอะรวยในเร็ววัน แต่ถ้าเก็บประสบการณ์ได้มากพอ เมื่อมีเงินทุนมากขึ้น+ประสบการณ์ที่มากขึ้น โอกาสในการสร้างผลตอบแทน ที่ดีบนโอกาสในการขาดทุนที่จำกัด ก็มีมาก

The Quant Universe

  จักรวาลแห่ง Quant ภาพสรุปจาก alpaca ปิดท้ายหัวข้อบรรยายวันนี้ ที่ผมเตรียม slide ไปร่วมแชร์ไอเดียและประสบการณ์กับน้องๆ developer และ quant trader กว่า 3 ชม. ส่วน โบรกเกอร์ต่างประเทศ รองรับการทำระบบเทรดอัตโนมัติ algorithmic trading system ด้วย Machine Learning ผมนำภาพสรุปนี้จาก @quantra มาให้ดู ส่วนใหญ่ปัจจุบัน การใช้งานง่าย โบรกจะมี API ให้เราเชื่อม ส่งคำสั่งซื้อขาย หรือดึงข้อมูล market info ผ่าน python ได้เลย (แต่บางเจ้าอาจจำกัดความถี่ในการเรียกรับส่งข้อมูลบ้าง ต้องตรวจสอบให้ดีก่อนทำระบบ) อาจจะมีข้อจำกัดพอควร เมื่อเทียบกับ MQL4 , MQL5 ที่รันผ่าน metatrader ได้ทันที แต่ก็มีข้อดีคือ เราสามารถทำโมเดลที่ซับซ้อน และสามารถใช้ lib หรือสร้าง akgorithm ที่ยืดหยุ่นด้วย python เองได้

ไม่มีใครอยากขาดทุน

  ทุกคนที่เข้ามาในตลาด ไม่มีใครอยากขาดทุน(loss) แต่เมื่อต้นดิวกับความไม่แน่นอน และหลายปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ ดังนั้นการขาดทุนมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของ การเทรดไป แต่ Key สำคัญคือ -ขาดทุนยังไงแล้วไม่หมดตัว -ขาดทุนแล้วสามารถ recover กล้บมาได้ -ขาดทุนแล้วทำให้เกิดการเรียนรู้(ได้รับประสบการณ์) บทความนี้เขียนถึง Yusaku Maezawa ตำแหน่ง ceo ของ Zozo Inc.,ที่ออกมาทวิตเตอร์ "Deep Regrets" กับการขาดทุนจากการเทรดหุ้นในช่วงภาวะตลาดร่วงรุนแรงช่วงรับข่าว covid-19 pandamic ที่ผ่านมาโดยรอบนั้นเขาขาดทุนไป 4.4 billion yen ($41.4 million) แต่เขาไม่ยอมแพ้ประกาศก้าวจะหาเงินกู้การขาดทุนกลับคืนมา (จากการทำธุรกิจ) Maezawa ยังเป็นเศรษฐีพันล้าน net worth $3.5 billion ลดลง $215 million จากปีก่อนหน้า เขาเองเป็น celeb คนดังในโลกออนไลน์ โดยก่อนหน้าเคยทวิตรับสมัครผู้หญิง ที่สนใจเป็นคู่เดินทางไปดวงจันทรั (ตอนหลังยกเลิกประกาศหาคู่ไปจากประเด็นดราม่า) กับโปรเจคจรวดขนส่งเอกชนของ Elon Musk ที่ตั้งเป้าพาคนไปดวงจันทร์ในปี 2023 อ้างอิงจาก https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-09-07/japanese-billionaire-

The Retail FX Trader: Rising Above Random

เมื่อวานมีติวน้องเทรดเดอร์ เขากำลังปั้นพอร์ตFX เพื่อแข่งของโบรเกอร์เจ้าหนึ่ง ผมนำ paper ชื่อ The Retail FX Trader: Rising Above Randomไปแนะนำ ให้อ่านคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเทรดเดอร์ท่านอื่นด้วย ผมเลยอยากมาแชร์ไว้ในเพจ paper นี้พูดถึงหลายประเด็นในการทำกลยุทธ์การเทรด FX โดยเฉพาะเรื่องของการใช้ technical analysis มีการทดลองหลายตัวอย่างกับข้อมูลย้อนหลัง 9 ปีกับ 4 ค่าเงินหลัก(AUDUSD,EURUSD,USDJPY,GBPUSD) ในภาวะตลาดต่างๆให้เห็นถึงข้อจำกัดในการใช้ technical analysis ในตลาดปัจจุบันืั้มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยเศรษฐกิจและนโยบายทางการเงินของธนาคารกลาง ผู้วิจัยไม่ได้พยายามบอกว่า Retail FX Trader ไม่ควรใช้ TA ตรงข้ามผลการทดลองแนะนำว่า ควรสร้างระบบตัดสินใจ ดีกว่าการตัดสินใจแบบ random ไปตามอารมณ์ ขณะเดียวกัน ระบบการตัดสินใจจะใช้ TA หรือใช้ Rule ทั่วไปก็ได้ แต่ต้อง commit ในแผนเพื่อวัดผลระยะยาว ด้านกลยุทธ์การจัดการเงินที่เหมาะสม reward to risk ratio เพิ่มความยืดหยุ่นด้าน time ในการถือครองออร์เดอร์ ซึ่งการทดสอบพบเพิ่มประสิทธิภาพของผลตอบแทน ในขณะเดียวกันต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยง โดยเฉพาะการห

Meditation 10 * 10

เทคนิค Meditation 10 * 10 ที่เมื่อวานได้แนะนำให้กับน้องเทรดเดอร์กลุ่มหนึ่งฟัง แนวคิดไม่ซับซ้อน เรากำหนดเวลา 10 นาทีก่อนเริ่มเทรด(ตลาดเปิด) และ 10 นาทีหลังเลิกเทรดจนการเทรดของวัน ในการนั่งสงบๆเพื่อฝึกสมาธิ ทบทวนจิต ทุกวันต่อเนื่อง การปฏิบัติไม่มีอะไรยาก ซึ่งสำหรับคนที่ไม่เคยทำ การนั่งนิ่งๆ 10 นาทีตามดูลมหายใจเข้าออกก็ไม่ง่ายเท่าไหร่ แต่ผลลัพธ์นั้นค่อนข้างดี เพราะช่วยทำให้ เราช้าลง นิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าวันไหนเกิด Bad day เทรดไม่ดี ตลาดไม่เป็นดังใจ การทำสมาธิหลังจบวัน จะช่วยปรับให้เราช้าลง ลดการหมกหมุ่นจิตใจ ทำให้กลับไปใช้ชีวิตปกติ ประจำวันกับครอบครัว ได้ดีขึ้น ไม่จมอยู่กับการคิดถึง ผลกำไร ขาดทุน ตลอดวันที่ตื่น ซึ่งจุดนี้ อันตรายมากและส่งผลให้เกิดความเครียด และการกดดัน ปัจจุบันการฝึกสมาธิ กับ การเทรด เป็นเรื่องที่นิยมมากขึ้น เราจะเห็นจากใน youtube ซึ่งมีคำแนะนำจากเทรดเดอร์ประเทศต่างๆ รวมถึงมี เพลง หรือ เสียงประกอบ ช่วยการทำจิตให้สงบอีกด้วย ถ้าใครกำลังประสบปัญหา เรื่องการควบคุมอารมณ์ หรือความเครียดจากภาวะตลาดผันผวน ผมแนะนำให้ลองนำเทคนิคการฝึกสมาธิ 10*10 ของผมไปใช้ดูครับ

vollib(python library opensource)

เมื่อวานสอนเรื่องการเทรด option เบื้องต้น ผมใช้ quantlib ในการสาธิตการสอนการคำนวณ option pricing ด้วย Black-Scholes , implied volatility และ greeks parameter ซึ่ง quantlib กับ python อาจจะดูทรงพลัง แต่เยอะและยุ่งยากมาก(เมื่อวานพูดไป 3 ชม. หมดแรงเลย) ดังนั้นถ้าน้องเทรดเดอร์เพิ่งหัด วิเคราะห์ราคาหรือทำกลยุทธ์การเทรด options ผมแนะนำอีกหนึ่งทางเลือกชื่อ vollib เป็น python library opensource และมีการอธิบายวิธีการคำนวณและการใช้งานแค่ละโมดูล ได้ชัดเจนดี สะดวกและสามารถคำนวณค่าต่างๆ ได้ในไม่กี่ขั้นตอนผ่าน vollib package ข้อเสียคือโปรเจคนี้หยุดพัฒนาต่อแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้งานได้อยู่ ใครสนใจลองเข้าไปเรียนรู้และทดลองใช้ได้ที่ http://vollib.org/documentation/python/0.1.5/index.html 

The Ivy Portfolio

มีคนขอให้แนะนำหนังสือเกี่ยวกับการบริหารจัดการพอร์ตเข้ามา จริงๆแล้วมีหลายเล่มมาก เล่มหนึ่งที่คิดว่าอ่านง่ายและเหมาะกับมือใหม่คือ The Ivy Portfolio ของคุณ Mebane T. Faber เขาผู้บริหารพอร์ตลงทุนของ Cambria Investment Management หนังสือออกช่วงปี 2011 ทำให้มีกลิ่นไอของวิกฤติการเงินในเนื้อหา และมีตัวอย่างการบริหารเงิน บริหารความเสี่ยงเยอะ โดยเฉพาะกรณีศึกษาของพอร์ต Endowment ดังๆเช่น Yale Endowment , Harvard Endowment ที่ประสบความสำเร็จ รวมไปถึงกรณีศึกษาของเฮ็ดฟันด์ที่ผลงานดีเช่น Greenlight Capital , Blue Ridge Capital และกล่าวถึงแนวคิด ผลงานของเหล่า Academic Fund Managers เก่งๆที่ประสบความสำเร็จจริงๆอีกหลายคนเช่น James Simons , David E Shaw , Richard Thaler เป็นต้น ด้าน Portfolio Strategies ที่มีการยกถึงแนวทางการพัฒนา All-Weather Policy Portfolio ที่ผสานความเสี่ยงและการทำกำไรตามภาวะตลาดอีกด้วย รวมถึงการเลือกใช้กลยุทธ์ใน Quantitative System และการทำ Rotation System ผสมสร้าง Portfolio structure ขึ้นมาใน asset class ต่างๆ ค่อนค้างหนาและแน่น เหมาะสำหรับการเรียนรู้มากครับ https://www.amazon.com/I

Reinforcement Learning for Trading

ปีกว่าๆแล้วที่ใช้ Reinforcement learning ในการพัฒนาระบบเทรด(เสริมกับระบบเดิมก่อนหน้าเป็น VAE-LSTM Model ) วันนี้ใช้โอกาสเรียนฟรีของ coursera ลงเรียน หลักสูตร Reinforcement Learning for Trading Strategies ของ NYU ซึ่งครอสนี้ให้ตัวอย่างการใช้ value-based policies กับ momentum trading strategy เพิ่งเรียนได้ week ที่ 2 ยังไม่จบ ไม่รีบด้วยเพราะมันฟรี แต่เดี่ยวผมเรียนจบ จะมารีวิวให้ ส่วนน้องคนไหนพัฒนา Quant สาย AI แนะนำให้ลองเรียนครับ อาจารย์ที่สอนอธิบายเข้าใจง่ายมาก และมีเราสามารถเขียนโปรแกรมตามแบบฝึกหัดออนไลน์ได้เลย ไม่ต้องติดตั้งอะไรให้ยุ่งยาก ด้วย https://www.coursera.org/learn/trading-strategies-reinforcement-learning

Commodity Super Cycle

เมื่อวานมีน้องเทรดเดอร์ คนหนึ่งถามเรื่องการลงทุนระยะยาวในสินค้าคอมโมดิตี้ ผมเลยเอาบทความ Commodity Super Cycle นี้มาแบ่งปันให้ลองอ่านเพิ่มเติม โดยสรุปมีใจความหลัก -สินค้า commodity มีหลายประเภท และมีลักษณะของ Cycle และรูปแบบของราคาที่แตกต่างกันไป -ราคาของ สินค้า commodity แปรผันตาม Demand และ supply ที่เกิดในช่วงเวลาใดๆ ซึ่งหลายชนิด ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภค จะมีความสัมพันธ์กับ ภาวะเศรษฐกิจ -บทความนี้จำแนกการแกว่งของ cycle เป็น 2 แบบคือ upswings และ downswings. - upswings รอบการการแกว่งขาขึ้น ที่มาจาก demand ที่มากกว่า supply - downswings รอบการการแกว่งขาลง ที่มาจาก supply ล้นมากกว่า demand ในตลาด -ภาวะราคาสินค้า commodity ปรับตัวเป็น cycle หรือการ swing เพราะเมื่อมี demand มาก เวลาผ่านไปผู้ผลิตมีการปรับตัวเพิ่ม supply เข้ามาในตลาด หรือความต้องการซื้อจากปัจจัยเร่งหรือภาวะทางอารมณ์หายไป จุดนั้นราคาจะมีการปรับตัว ลดลง เป็นต้น -ในคาบเวลาระยะยาว การนิยาม Commodity super cycles สามารถใช้โมเดล Bank of Canada Commodity Price Index (BCPI) เพื่อติดตามภาพให

แนะนำหนังสือ "Options, Futures, and Other Derivatives"

  เมื่อวานมีน้องเทรดเดอร์ขอให้แนะนำหนังสือเรื่องการเทรด อนุพันธ์ ความคิดเห็นส่วนตัวถ้าเริ่มต้นแนะนำให้อ่าน "Options, Futures, and Other Derivatives" ของคุณ John C. Hull ปัจจุบัน แล้ว หนังสือเล่มนี้เหมาะกับการใช้อ้างอิงและเป็นหนังสือให้แนวคิด เริ่มต้นสำหรับเทรดเดอร์ได้ดีมาก มีเนื้อหาที่ครอบคลุมและอธิบายหลายประเด็นที่เป็นเรื่องซับซ้อน ให้เข้าใจง่ายในประโยคสั้นๆ โดยเฉพาะในด้านการเทรด options ซึ่งคุณ Hull ทำได้ดีมาก เช่นเรื่อง Greeks, Volatility smiles, Value at risk, Estimatin g volatilities และ Black-Scholes-Merton model ส่วนของ Futures ก็มีบทหัวข้อ Hedging strategies using futures ที่อธิบายไว้ได้ดี จุดเด่นอีกเรื่องคือ หนังสือเล่มนี้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ปัจจุบัน 10th Edition ทำให้หลายตัวอย่างค่อนข้างทันสมัย เช่นเคสวิกฤติการเงิน 2007-2008, ด้านเนื้อหาลึกและแน่นมาก(เป็นหนังสือตำราตั้งใจเขียนจริงๆ) สนใจแนะนำลองหาซื้อมาอ่านกัน https://www.amazon.com/Options-Futures-Other-Derivatives-10th/dp/013447208X/

Inside the House of Money

 เมื่อวาน ผมพูดถึงหนังสือ Inside the House of Money วันนี้เลยอยากนำคลิปเก่าที่เคย รีวิวหนังสือ Inside the House of Money: Top Hedge Fund Traders on Profiting in the Global Markets ของ Steven Drobny มาแชร์อีกรอบ โดยคลิปนี้ผมรีวิวภาพรวมของหนังสือและไฮไลท์สำคัญ ประวัติผู้เขียน รวมถึง นำเอา Hedgefund manager สาย Global Macro economic 2 คนที่ให้สัมภาษณ์ไว้ได้น่าสนใจ มาสรุปให้ฟัง คือคุณ Jim Leitner แห่ง Falcon Management และ Scott Bessent แห่ง Bessent Capital เป็นการเรียกน้ำย่อย ให้พวกเราลองไปหาซื้อหนังสือเล่มนี้อ่านกัน ปล. เล่มนี้อ่านง่ายและได้ประเด็นแนะนำให้ลองหามาอ่านกันครับ ลองเข้าไปรับฟังได้ที่ https://youtu.be/Rd69II7_X_E

Rule of 72 กับ การพัฒนาระบบเทรด

  สำหรับผมระบบเทรดที่ดี คือระบบที่เราสามารถเทรดและทำมันได้ทุกวัน สร้างผลตอบแทนที่ต่อเนื่องและ บริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมอยู่รอดในทุกสภาวะตลาด มันอาจจะไม่ต้องเป็นระบบที่ wining rate 100%, ทำกำไร 200 300% ต่อปีขนาดนั้น เพราะยิ่งคาดหวังมาก ยิ่งพยายามจะทำอะไรให้มันเกินจริง สุดท้ายมันยิ่งเละ และใช้ไม่ได้จริง เจอมากมายระบบเทรดที่ over fiting หรือ พวก Data-Mining Bias พยายามทำให้ back testing ดีเกินจริง มาอวด มาโชว์ แต่ใช้จริงในตลาดไม่ได ้ ส่วนตัวผมทำระบบเทรด ใช้สูตร 12 * 36 พยายามจะสร้าง return เฉลี่ยให้ได้ 12% บนเงื่อนไขของการยอมให้มี max dd ที่ไม่เกิน 36% ของเงินทุน ซึ่งระบบมี 2 ส่วนงานคือส่วนทำกำไร และส่วนที่บริหารจัดการความเสี่ยง(ควบคุม DD) ดังนั้น ไม่ว่าตลาดมันจะผันผวนขนาดไหน หรือวิ่งไปทางใด ระบบมันก็รอดได้ ทำงานของมันได้ตามแผน ขณะเดียวกันบน Rule of 72 ถ้าระบบรันตามแผน ค่าเฉลี่ย 12% ต่อเนื่อง ราวๆ 6 ปีก็สามารถสร้างเงินทุนเพิ่มเป็น 1 เท่าได้ แน่นอนว่ามันอาจจะช้า แต่มั่นคง ขณะที่เวลาผ่านไป เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ และปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นได้ไปอีก ควบคู่กับการเติบโตของพอร์ต พลังของอัต