ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

หุ้น fabook กับความรวยที่ไม่แน่นอน

ความรวย เกิดจากมูลค่าของสินทรัพย์ที่เราถือครอง ถ้าสินทรัพย์เราเพิิ่มค่าได้ในอนาคต ความมั่นคงความมั่งคั่งก็อยู่กับเราได้นาน แต่ถ้ามันเสื่อมค่าลดถอยลง เราเองก็คงเป็นทุกข์ เป็นกังวลมิใช่น้อยเช่นกัน นำเรื่องนี้มาเขียนเพราะช่วงนี้อ่านข่าวเกี่ยวกับหุ้นต่างประเทศ หลายสำนักเล่นข่าว FaceBook Inc. กันมากมาย โดยเฉพาะการด้อยค่าของหุ้นเฟสบุ๊คที่ตกลงอย่างหน้าใจหาย แน่นอนว่าการที่หุ้น Facebook ร่วงลงถึง 50% จากราคา IPO ย่อมทำให้คนที่มีหุ้นของเฟสบุ๊ค เป็นเดือดเป็นร้อน เพราะมูลค่าของทรัพย์สินของตนเองหดหายไปเยอะเกือบครึ่ง ว่ากันว่า facebook ช่วงนี้เป็นช่วงกำลังระส่ำระสายที่สุด เพราะจากผลประกอบการไตรมาส 2 ออกมาแย่ขาดทุนถึง 157 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาหุ้นร่วงไปอยู่ที่ 19.82 จากราคาสูงสุดตอน IPO ที่ 45 เหรียญต่อหุ้น ซึ่งเป็นมูลค่าที่ลดลงมากกว่า 50% ต่อหุ้น ทำเอานักลงทุนไม่ว่าจะรายเล็ก รายใหญ่ ขาดทุนไปตามๆกัน ยังมีโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายอนาคตของเฟสบุ๊ค อีกประการนั้นคือเรื่องของการที่ผู้บริหารระดับสูงของเฟสบุ๊คต่างพร้อมใจกันยื่นใบลาออกอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่หุ้น facebook เข้าตลาดหุ้น ทั้งหมดนั้นเป้นผู้บริหา

วิกฤติการเงินโลกกับตลาดหุ้นไทย#3

หลังจากที่เกริ่นให้เพื่อนๆ รู้จักกับวิกฤติการเงินโลกครั้งใหญ่ทั้ง 18 ครั้งให้ได้รู้จักกันแล้ว ได้คุยกับหลายคนก็พบว่า นักลงทุนจำนวนมากที่ไม่รู้ หรือไม่เคยศึกษาประวัติศาสตร์ของวิกฤติการเงินโลกมาก่อน มันสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนส่วนใหญ่มักลงทุน โดยเน้นไปทีการมองที่ตัวหุ้น ตัวบริษัทเป็นหลัก โดยไม่ได้คำถึงภาพใหญ่ Macro View ระดับโลก ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะทำให้เป็นจุดเสียเปรียบ วันนี้ขอมาต่อตอนที่ 3 เป็นเรื่องของความสัมพันธ์กับตลาดหุ้นไทย เพื่อให้มองเห็นภาพผลกระทบที่เกิด และการรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะมาถึงในอนาคต ต้นตอของปัญหา จากที่อ่านเรื่องราวของวิกฤติการเงินโลก สาเหตุใหญ่ล้วนมาจาก 3 ประการที่เหมือนๆกัน นั้นคือ 1. ความโลภของภาคธนาคารและวาณิชธนกิจ เช่นกรณีปัญหา Sub prime หรือยุค Wall street Crash และอีกหลายวิกฤติที่เกิดการปล่อยกู้เกินตัว ปล่อยกู้แบบเสรี เพื่อที่จะสร้างกำไรจากการปล่อยกู้ จนเมื่อเกิดปัญหาหนี้เสีย ทุกอย่างก็พังพินาศ 2. ภาวะฟองสบู่ การแห่กันเก็งกำไร ในสินทรัพย์ เช่นหุ้น หรืออสังหาริมทรัพย์ ตามๆกันตามกระแส โดยความโลภของนักลงทุน ที่คิดอยากจะรวย คิดจะหาโอกาสทำเงินโดยปราศจากการพิ

Housewife-traders: ดอกไม้เหล็กในสนามเก็งกำไร

เดือนนี้เป็นเดือนสำคัญของเพศแม่ เพราะมีวันแม่แห่งชาติ ในวันที่ 12 สิงหาคม ซึ่งเราทุกคนต้องระลึกถึงแม่ผู้ให้กำเนิด เลยของนำประเด็นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงเก่ง ผู้หญิงแกร่งในโลกการลงทุน มาถ่ายทอดให้ฟังกัน หลายคนอาจจะคิดว่าอาชีพเทรดเดอร์หรือนักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้น น่าจะเป็นอะไรที่เหมาะกับผู้ชายมากกว่า พวกที่เลือดร้อน ชอบความเสี่ยง ชอบเล่นเกมส์เร็วๆ แต่แท้จริงๆแล้วถ้าลองศึกษาดูดีจะพบว่า นักลงทุนเก็งกำไรระยะสั้นหรือเทรดเดอร์ ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเทรดในช่วงเวลาสั้น หรือยาว จะแบบเล่นรอบ หรือเก็งกำไรรายวัน ล้วนต้องมีคุณสมบัติสำคัญคือ ความนิ่ง รอบคอบ และความสุขุม มีสติ มีสมาธิเป็นเลิศ เพื่อให้สามารถดำเนินการไปตามแผน ตามระบบที่วางไว้ได้ ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่ ผู้หญิงไม่น้อยที่ประสบความสำเร็จในโลกการลงทุนแบบเก็งกำไรระยะสั้น เคยมีการศึกษาพบว่า เพศหญิงได้เปรียบเพศชายในเรื่องของ ความรอบคอบ ความอดทน และการมีระเบียบวินัย ข้อสุดท้ายนี้ไม่เถียงเพราะสามารถพิสูจน์กันได้จากตู้เสื้อผ้า ไม่เชื่อคุณลองไปดูตู้เสื้อผ้าของเพื่อนผู้ชายดูสิครับ จะว่าไปแล้วเรื่องราวของผู้หญิงที่เข้ามาสู่วงการนี้ แล้วเป็นที่ยอ

Lie to Me ว่าด้วยการโกหก

ถ้ามีเวลาว่างจากการทำงาน เมื่อไม่ได้อ่านหนังสือ หรือมีกิจกรรมอื่นๆ ก็มักจะหาหนังอะไรสนุกๆ วันที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้ดูซีรีย์ฝรั่งเรื่อง Lie to Me จบไปทั่งสามภาค กว่าจะจบผมจะดูจบก็ใช้เวลาเป็นเดือนเหมือนกัน เรื่องนี้ค่อนข้างประทับใจเพราะตอนแรกคิดว่าจะไม่สนุก ดูไปดูมามันส์แหะ โดยเฉพาะบุคลิกลักษณะ ท่าทางกวนตีน บวกกับสำเนียงอเมริกันปนอังกฤษของพระเอก Dr. Cal Lightman ที่ชอบกระตุ้นให้คนที่เขาต้องการประเมิน แสดงอารมณ์ร่วมแท้จริงออกมา ทั้งโกรธ โมโห เครียด หนังเรื่อง Lie to Me ที่ผมพูดถึงเป็นซีรีย์ฝรั่ง(ไม่ใช่หนังรักเกาหลีนะ) ซึ่งเกี่ยวกับ การจับโกหก ในการสืบสวนสอบสวนคนร้าย โดยมี Dr. Cal Lightman เป็นผู้เชื่ยวชาญด้านการจับโกหก แบบเป็นวิทยาศาสตร์ โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์หน้าตา ท่าทาง แบบทีเรียกว่า " microexpressions" เพื่อวิเคราะห์ไปถึงจิตใจ และความคิดของคนคนนั้น ประมาณว่าแค่ดูการตอบสนองจากหน้าและท่าทาง ที่มีต่อคำถามก็รู้แล้วโดยที่ไม่ต้องพูดออกมา โดย  Dr. Cal Lightman นั้นไม่ได้ทำงานคนเดียว แต่เขามีเพื้่อนร่วมงานและทีมงานที่สนับสนุนการวิเคราะห์ ทั้งจิตแพทย์ นักวิเคราะห์เสียง และนักวิ

วิกฤติการเงินโลกกับตลาดหุ้นไทย # 2

วิกฤติการเงินโลก ตอนที่สองนี้ จะเป็นเรื่องราวในช่วงหลังยุค 1990 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่โลกมีความสงบ ปราศจากสงครามเป็นยุคของการแข่งขันทางอุตสาหกรรม เทคโนโลยี และคอมพิวเตอร์ ทำให้การสื่อสาร การติดต่อระหว่างประเทศนั้นรวดเร็วและง่ายขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี แน่นอนว่าก็เป็นยุคที่มีวิกฤติการเงินโลกมากมาย และมีวัฏจักรการเกิดที่ถี่มากขึ้นด้วย โดยเฉพาะประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าสหรัฐอเมริกา 7. The Japanese asset price bubble (1986-1990) เป็นวิกฤติการเงินแรกที่รุนแรงและเกิดในทวีปเอเซีย โดยขณะนั้นญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีภาคอุตสาหกรรมที่เข้มแข็ง มีตัวเลขเศรษฐกิจ ดีโดยเฉพาะการส่งออก ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีด้านอิเล็กทรอนิค เป็นอันดับต้นๆของโลกในขณะนั้น มีการส่งออกสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าไปยังประเทศต่างๆทั่วโลก โดยเฉพาะอเมริกา ตลอดจนการผลิตสินค้าอื่นๆ  หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลญี่ปุ่นไม่ต้องใช้จ่ายเงินด้านการสะสมอาวุธและการป้องกันประเทศ เพราะถูกสหรัฐควบคุม ทำให้มีงบประมาณเหลือในการพัฒนาประเทศ พัฒนาคนและเทคโนโลยี ประกอบกับประชาชนหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้คนต่างประหยัด สะสมเงินในธนาคาร เพื่อเก็บไว

วิกฤติการเงินโลกกับตลาดหุ้นไทย # 1

จับเอาประเด็นนี้มาเขียนลงรายละเอียด เพราะว่าช่วงนี้ผมเชื่อว่าหลายคนมักจะใจจดใจจ่อกับเรื่องวิกฤติหนี้ของ EU โดยเฉพาะประเด็นของกรีซที่กำลังลูกผีลูกคน คำถามส่วนใหญ่คือ ถ้ามันเกิดวิกฤติจริงๆจะทำยังไง??? ยิ่งถ้าเป็นมือใหม่หรือเป็นแมงเม่าหัดบิน ที่เพิ่งเข้าตลาดมาช่วงซูเปอร์บูมหลังปี 2009 กลุ่มนี้ยิ่งน่าเป็นห่วงเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นช่วงผ่านวิกฤติการเงินโลก ทำให้มีโอกาสจะบาดเจ็บล้มตายสูง หลังวิกฤติการเงินซับไพร์มปี 2008 ดัชนีตลาดหุ้นไทย(SET)  ร่วงลงไปจุดต่ำสุดที่ 384 จุด จากจุดสูงสุดก่อนเกิดวิกฤติที่ 916 จุด เมื่อวิกฤติผ่านพ้นดัชนีก็ฟื้นต้ว บวกกับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้า และนโยบาย QE1 และ QE2 ปัจจัยที่พาให้ตลาดหุ้นทะยานที่ 1200 จุด จนกลายมาเป็นที่นิยม เป็นสรวงสวรรค์ของคนที่อยากรวย หลายคนซื้อหุ้นถือไว้ ก็กำไรมหาศาล หลายร้อยเปอร์เซ็นต์ บ้างก็รับสมอ้างกลายเซียนหุ้น เป็นกูรู ผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนไปก็มี ตลาดหุ้นมันก็อยู่บนกฏของธรรมชาติ มีขึ้นมีลง มีเกิด และมีดับ เป็นวัฏจักร มันเป็นความไม่แน่นอนของกระแสเงินที่เขามาขับเคลื่อนตลาด จากปัจจัยต่างๆ วัฏจักรใหญ่ของการเคลื่อนไหวตลาดหุ้น