ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

pay-per-minute café

อ่านบทความนี้จาก manager แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ แนวคิด pay-per-minute café การทำร้านกาแฟ ที่เก็บเงินตามเวลาที่นั่ง ลองไป google ดูเจอเยอะเลยในต่างประเทศ เช่น Ziferblat เปิดหลายสาขาที่ในยุโรป หลายอย่างฟรี กาแฟถูกคิด £2.25 เมื่อเลย 15 นาที จะเริ่มคิดค่าบริการตามเวลาที่ลูกค้ามาอยู่ในร้าน การนั่งทำงาน อ่านหนังสือ ฟังเพลง(ร้านมีแผ่นเสียงบริการด้วย) ใช้ wifi เขาพัฒนากลยุทธ์ธุรกิจ ทำให้คนอยากนั่งนานๆ ส่วนตัวผมว่าร้านกาแฟ ไม่เหมาะกับการทำงานเท่าไหร่นะ เพราะมันไม่นิ่ง และบางร้านพลุกพล่านมาก ทำให้สมาธิ เกิดยาก งาน focus อาจจะไม่ค่อยเหมาะ แต่ถ้าชอบความไดนามิก หรือใช้ติดต่องาน ผมว่าน่าจะดี ปัจจุบันร้านกาแฟ ส่วนใหญ่คิดค่าเวลา ร่วมไปในกาแฟ อยู่แล้ว เพราะขายกันแก้วละ 50 บาท ขึ้นไปถึงหลักร้อย คนนั่งแช่นานๆ มีอยู่จริง แต่จำนวนไม่น้อยกลายเป็น ขาประจำ ที่อยากมา พักผ่อน มานั่งชิว ไม่ต้องเร่งรีบ เมื่อเขาพอใจ ลูกค้ากลุ่มนี้ก็จะจ่ายต่อเนื่องระยะยาวให้ ร้านกาแฟ แถมได้ความผูกพัน ได้ลูกค้าที่ภักดีเพิ่มไปอีก อนาคต ถ้าร้านกาแฟ เก็บเงินค่านั่ง เป็นตามช่วงเวลาการใช้งาน อาจจะทำให้ ความถูก และความสะดวก หมดลง

Yuan effect

สรุปความจาก BloomBerg มากให้อ่านกัน การจีนเริ่มโยนหินถามทางด้วยการลดค่าเงิน Yuan ของตัวเองลงที่ 1.9%(ตรงนี้เหมือนจุดเริ่มต้นเท่านั้นเพื่อดูว่าจะมีผลอะไรตามมา) ทางนักวิเคราะห์ต่างชาติของค่ายใหญ่ๆเขาก็พากันมองหา ผลกระทบด้านบวกและลบ ที่จะเกิดขึ้น  ** ล่าสุดมีการลดลงมาเพิ่มรอบที่สอง จากวันแรก รวมแล้ว 4% จากค่ากลาง ด้านลบ 1.กลุ่มธุรกิจของจีน ที่มีหนี้เป็น US dollar ต้นทุนการชำระหนี้ก็จะสูงขึ้น อันนี้เมื่อวานเห็นชัดจากการร่วงลงของราคาหุ้นในบริษัทใหญ่ หรือ สายการบิน 2. กลุ่มธุรกิจ ที่ส่งสินค้าไปขายยังจีน จับจีนเป็นตลาดใหญ่ เช่น luxury car รวมไปถึงสินค้าแบนด์เนม  จากยุโรปต่างๆ ที่แน่นอนว่า ราคา ย่อมสูงขึ้น อาจจะมีผลกระทบยอดขายในจีน กลุ่มนี้ยุโรปส่งสินค้าไปขายในจีนมากที่สุด หลายบริษัทที่มีรายได้จากฐานลูกค้าในจีน ก็คงหนีไม่พ้นผลกระทบที่จะตามมา 3. ราคาคอมโมดิตี้ เช่นกลุ่มเหล็ก หยวนอ่อน กระทบต้นทุนการนำเข้า มีโอกาสที่ ความต้องการซื้อสินค้านำเข้า จะลดลง เมื่อวานกลุ่มเหล็ก อย่างเช่นบริษัท Vale SA บริษัทผลิตเหล็ก ที่อยู่ในตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลง  5.7 เพราะมีฐานลูกค้ามาจากจีนถึง 37%ของรา

Commodity trader

สัปดาห์ล่าสุดจาก cwayinvestment channel สัปดาห์นี้มาพบกับเซียน commodity trader ชื่อดังอย่าง Larry Williams ผมชอบความที่ชายคนนี้ไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ธรรมดา แต่เขายังเป็นนักวิจัยและนักทดลอง ที่สรา้งเครื่องมือเทคนิคอล รุ่นใหม่ ให้่เทรดเดอร์รุ่นหลังได้ใช้งานหลายตัว - ประวัติ เส้นทางสายอาชีพ - แนวคิดสำคัญของการเทรด - เคล็ดลับการเทรด (Trend following) - money management และการบริหารอารมณ์ - E = Mc2 กับ emotion control - Trend and Gravity - R&D - William %R - synthetic VIX (William VIX FIX) รับชมได้ฟรี ที่ https://www.youtube.com/watch?v=ut-c_Sp4iM0

Quantum Physic for Trading

ต่อจากเรื่อง modelling ที่ผมบรรยายเกี่ยวกับ jame simons นี่นะครับ ที่ผมเล่าให้ฟัง หัวข้อวิจัยที่ผมเคยไปเรียนจากเพื่อนเทรดเดอร์คนหนึ่งที่รู้จักกันในเว็บบอร์ด พูดเรื่องนี้ เหมือนว่าสาย Quant เขาพัฒนาอะไรไปไกลเยอะมาก มากกว่ากราฟเทคนิคอลธรรมดา ที่เอามานั่งลากเป้า เดาคลื่น ดูเส้นตัดกันเยอะมาก อันนี้ความรู้ที่ถอดเป็นหนังสือแล้วนะ แปลว่ามันเป็น common knowledge แล้ว เราอาจจะยังไปไม่ถึงครึ่งที่เขาถ่ายทอดในกลุ่มเขาเลย ศาสตร์การเก็งกำไรพวกนี้อยู่ใน Lab กลุ่มเฉพาะ และมักถูกใช้ในกองทุนใหญ่ หรือกองทุนเฮ็ดฟันด์ ตัวอย่างหนึ่งที่เราจะเห็น ในหัวของของ James simons เป็นต้น เล่มนี้ผมยังไม่ได้ซื้อ แต่มีคนแนะนำมา ใครมาสาย physics อยากรู้ว่า ไซมอนใช้โมเดลสไตล์ไหนลองหามาอ่าน ได้ Quantum Trading ใช้ กลศาสตร์ควันตัม มาสร้างโมเดล หาสัญญาณซื้อขาย ผมสรุปคราวๆให้ฟังนิด เพื่อจะได้เห็นมุมมอง ศาสตร์ด้านนี้เขาไม่ได้ focus ไปที่ direction หรือ trend เขาดู การสั่น หรือการเปลี่ยน state ของราคา อันนี้เป็นเรื่องของแรงและพลังงาน ไม่เข้าใจดูเทฟจาก link นี้ได้ มาคำนวณหาความถี่ที่เกิด ไม่ขออธิบายเยอะ เพราะผมก็ยังใหม

Quant King

สัปดาห์นี้ตั้งใจจะมาเล่าเรื่อง james simons เจ้าของฉายา Quant King แห่ง Renaissance Technologies ผมศึกษาเรื่องของ simons มามากพอสมควรจากหนังสือ บทความและบทสัมภาษณ์ต่างๆ ผมสนใจเพราะคนนี้รัน hedge fund ด้วย phd สายคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และโปรแกรมเมอร์ จำนวนกว่า 200 คน โดยไม่มีเทรดเดอร์ มีแต่ คอมพิวเตอร์ ทำงานส่งคำสั่งเทรด ตามระบบเท่านั้น บริหารเงินระดับ 25 billion แถม ผลงานไม่ธรรมดา มีผลตอบแทนเฉลี่ยสะสม 30 ปี ประมาณ 10% (บางปีทำได้ 30-50 % ก็มี) อยากให้คนไทยได้รู้จักเทพของจริงในโลกการเงิน เลยจะนำเอาเนื้อหาบทสัมภาษณ์ล่าสุดของแกมาถ่ายทอด เนื้อหาโดยสรุป มีประมาณนี้ ประวัติ ส่วนตัวเบื้องต้น การทำงาน ฐานะนักคณิตศาสตร์ เส้นทางการทำงาน ฐาน hedgfund manager การสร้างบริษัท Renaissance Technologies แนวคิด modelling & programming Quant trading strategies ที่ประสบความสำเร็จอันดับต้นของโลก เข้าไปชมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=NtgxQ62Zybs

Finding Your Trading Style

อุปสรรคของการเทรด อันหนึ่งที่ทำให้ คนทั่วไปไม่ประสบความสำเร็จ คือ การหาตัวเองไม่เจอ ใช่ครับ แม้เราจะไม่ได้อยู่ในวัยรุ่น หรือวัยเริ่มต้นชีวิจมหาวิทยาลัย แต่การค้นหาคำตอบ จากตัวตนของเราเอง ยังไม่สิ้นสุดลง การค้นหาตัวเอง คือ การหยุด มองไปที่ข้างใน ทำความเข้าใจกับ จริต ของตัวเอง เพื่อให้รู้ว่า Trading Style ของเราเป็นแบบใด ปัญหานี้ เป็นปม ทั่วไปที่ผมพบมาก ทั่วไป เพราะเมื่อท่านเข้ามาในตลาดหุ้น ตลาดเก็งกำไร สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำคือ มองไปที่ "กำไร" ถูกไหม?  พอมองไปที่กำไร ก็พยายามจะหากำไร แต่แน่นอนว่าพอมันทำไม่ได้ ทำได้ยาก เราเริ่มหาทางลัด พยายาม หาเซียน หากูรูมาเกาะ หรือ หาตัวอย่างว่าเขาใช้เทคนิคอลอะไร ใช้เครื่องมืออะไร เพื่อมาทำตาม  สิ่งเหล่านี้ไม่ผิดครับ แต่มันไม่ถูกทั้งหมด เพราะเมื่อเราทำตามคนอื่น วิ่งตามคนอื่น โดยความเชื่อว่ามันดี มันยอดเยี่ยม สุดท้าย ถ้ามันไม่เหมาะกับเรา ไม่เหมาะกับสถานการณ์มันก็ไม่เกิดประโยชน์  อันหนึ่งเจอบ่อยคือ เราไปเอาระบบจากคนอื่น ที่เขาอาจจะใช้ทำเงินได้ ตอนตลาด bullish มีกำไรมากมายมาล่อเรา แต่ตอนนี้เงื่อนไข สภาวะตลา

long running

ตลาดหุ้น มันอยู่อีก 10 ปี 100 ปี ไม่ต้องไปรีบอยากทำกำไรเร็วๆ อยากโกยกำไรเยอะๆ จนหน้ามืดตามัว ตามกระแส ที่กระตุ้นให้เราโลภ ตลอดเวลา  ตลาดมันยากจัด ระบบเทรดทำงานไม่ดี รู้สึกเหนื่อยก็ผ่อนลดความถี่ในการเทรด หรือมันขาดทุนบ่อยก็หยุด(ทบทวนแก้ไข แล้วเริ่มใหม่) รู้จักอ่านพฤติกรรมราคา อ่านพฤติกรรมตลาด แล้วปรับจังหวะการเทรดและ การวางเงิน ให้เหมาะสม พยายามทำตัวเองให้แข็งแกร่งก่อน อยู่รอดก่อน เมื่อรากฐานมันมั่นคง แล้วกำไรมันค่อยๆไหลตามมาเอง ยิ่งช่วงวัฏจักรตลาดดี กำไรยิ่งงอกเงย อะไรไม่รู้ก็ศึกษาเพิ่มเติมให้รู้แจ้ง ให้เข้าใจถ่องแท้ สิ่งที่ผิดพลาดก็ปรับปรุงแก้ไข อย่าให้ความสำเร็จของคนอื่นมาทำให้เกิดความกดดัน และความคาดหวังกับตัวเรา จนมากเกินไปครับ ค่อยๆเดิน เดินช้าๆอย่างมั่นคง ลองทำตัวเป็น  slow life trader เน้นการอยู่รอดระยะยาวให้ได้ตลอดไป  รูปจาก weeklygravy.com