ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Stop Searching for the Holy Grail

วันนี้ได้อ่านบทความ Stop Searching for the Holy Grail ของคุณ Charlie Bilello กูรูนักกลยุทธ์ด้านการลงทุนของ Pension Partners, LLC เขาแชร์การวิจัยและเขียนเรื่องของแนวคิดการสร้างระบบเทรดไว้น่าสนใจ Charlie Bilello เอาตัวอย่างการทดลองในการเทรดด้วยการใช้เครื่องมือพื้นฐานอย่าง MA ในหลายๆซีนาริโอมาเปรียบเทียบกับ Buy & Hold Strategies ในทองคำ ช่วงเวลา 1975 -2017 ผลการทดสอบดังภาพและตาราง แต่สิ่งที่คุณ Bilello แนะนำนั้นน่าสนใจ เขาบอกว่าแทนจะไปนั่งหา Holy Grail จากโมเดลหรือจากเครื่องมื อเทคนิคอล ใช้พยากรณ์อนาคต ที่ทำไม่ได้ เราควรจะรู้จักใช้เครื่องมืออย่างเข้าใจ ทำความเข้าใจในเรื่องของพื้นฐานสินค้า + พฤติกรรมราคา และเลือกวางกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสม ไม่จำเป็นต้องไป optimize หรือพยายามปรับแต่งระบบให้เกิด best performance แบบ over fitting เพื่อทำกำไรมากๆเสมอไป เพราะภาพรวมระยะยาวพฤติกรรมราคาเปลี่ยนได้เสมอตลาดปัจจัยต่างๆ ดังนั้นเลือกใช้กลยุทธ์การเทรดที่อยู่รอดในระยะยาวทำผลตอบแทนดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ก็ถือว่าสมควรแล้ว ที่สำคัญมีแผนรับมือสถานการณ์ที่จะเกิด ไม่ว่าตลาดจะดี หรือเลวร้าย เพราะ

Bull/Bear Ratio

ปี 2017 นี้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ S&P500 ร้อนแรงมาก +19.45% ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดกลุ่มนำตลาดส่วนใหญ่ก็ยังออกมาดี เช่นเดียวกับ story ประเด็นการลดภาษี ของโดนัล ทรัมป์ ที่ตอนนี้เหมือนจะเป็นสิ่งที่ตลาดสหรัฐ กำลังจับตามองมาก หลังจากเป็นเชื้อเพลิงจุดชนวนพลักดันดัชนีมาตั้งแต่ช่วงเลือกตั้งปลายปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันตามรายงานข้อมูลเจ้า Bull/Bear Ratio ของตลาดสหรัฐอยู่จุดสูงสุด Bull/Bear Ratio เป็น market-sentiment indicator แนวคิดเบื้องหลังก็ไม่ซับซ้อน เป็นการหา ratio  ที่สะท้อนมุมมองของ นักวิเคราะห์ กูรู และเซียน ต่างๆ โดยเป็นการเทียบระหว่างฝั่งที่มองว่าอนาคตดัชนีตลาดจะขึ้นต่อ(Bull) หรือ ตลาดปรับตัวลง(Bear) บางสายเขานำ weight ความนิยมในการเป็นผู้นำจิตวิญญาณของ นักวิเคราะห์ หรือกูรู คนนั้นๆมาคำนวณประกอบด้วย (แนวคิดนี้มีบริษัท startup ทำ data analysis +NLP จริงจังและทำเป็น application ขายบริการเลยนะครับ) สูตรการคำนวณก็ตามภาพด้านล่างเลย ส่วนการตีความก็ตรงไปตรงมา ถ้าออกมา positive แปลว่า market sentiment ค่อนข้างดี ยังมีความคาดหวังและแรงเชียร์ต่อ ตรงนี้บางตำราแนะนำให้ใช้ร่วมกับการ

Bath bomb จากโครงงานวิทย์สู่ธุรกิจเงินล้าน

4 ปีที่แล้ว สองสาวพี่น้อง Caroline และ Isabel Bercaw วัย 10 , 11 ปีเริ่มต้นทำ Bath bomb ในโครงงานวิทยาศาสตร์ ด้วยความสนุกและรักการทดลอง ทำให้สองพี่น้องตัดสินใจ เปลี่ยนการทำ Bath bomb ให้กลายเป็นธุรกิจเล็กๆ ด้วยการยืมเงินจากคุณพ่อ $350 ลงมือผสม ผลิตพัฒนาสูตรและสร้าง Bath bomb สีสันต่างๆกลิ่นต่างๆใช้เวลาสามเดือนผลิตจำนวน 150 ลูกออกขายในบูทเล็กๆ ตามห้างสรรสินค้า และงาน art fair ทั้งสองยังคงต้องเรียนหนังสือจึงใช้เวลาว่างผลิตสินค้าเพื่อออกขายในวันหยุด ด้วยความชอบทดลองผสมสีสัน แ ละสร้างกลิ่นต่างๆ บวกกับาการสนับสนุนของ พ่อและแม่ของสองพี่น้อง เธอเปิดบริษัท DaBomb Fizzers และดำเนินธุรกิจเป็นทางการเมื่อ 2 ปีก่อน มาวันนี้ธุรกิจของเธอเติบโต ผลิตสินค้าออกขายราว 500,000 ลูกต่อเดือน ธุรกิจโตมีมูลค่าหลักหลายล้านเหรียญ(multi-million dollar) กลายเป็นเจ้าของธุรกิจเงินล้านตั้งแต่ยังไม่จบ มัธยมปลาย สองพี่น้องยังคงสนุกในการทดลอง และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆออกมาต่อเนื่อง เธอให้สัมภาษณ์ในรายการว่าแม้เรียนจบอนาคตยังคงคิดจะทำธุรกิจนี้ต่อไป ปล. มีลูกมีหลานก็สอนให้คิด ให้เห็นคุณค่าของเงิน หรือหัด

Volatility and the Alchemy of Risk

วันนี้ผมมีโอกาสได้อ่าน research paper เรื่อง “Volatility and the Alchemy of Risk” เขียนโดย Christopher Cole แห่ง Artemis Capital Management เขานำเสนอประเด็นที่น่าสนใจหลายเรื่อง โดยเฉพาะความเสี่ยงในภาวะ low volatility ซึ่งประเด็นร้อนเรื่อง Global Short Volatility Bubble ที่อาจจะเกิดในช่วงนโยบายทางการเงิน แบบพิเศษไม่ปกติเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลาง ชาติใหญ่ๆของโลก ผู้เขียนนำเสนอประเด็น ความเสี่ยงในภาวะ low volatility ใน asset ทำให้ผู้เล่นรายใหญ่ใช้ leverage ในการ betting  บนราคาสินทรัพย์ในทิศทางเดียวกัน จนปัจจุบันมูลค่าโตกว่า $2 trillion บทความเทียบ สถานการณ์ปัจจุบัน กับช่วงที่เกิด Black Monday 1987 ยุคตลาดขาขึ้น พร้อมกับทิศทางขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย หลังเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว จากการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นอกจากนี้ยังโยงไปถึง 4 องค์ประกอบสำคัญของความเสี่ยงคือ การเพิ่มของ volatility, gamma risk, ค่า correlation ที่ไม่คงตัวระหว่าง asset class และการเพิ่มของ interest rates ประเด็นมันละเอียดอ่อน และเป็นมุมมองเฉพาะ ตรงนี้อาจจะไปตรงข้ามกับความคิดคนทั่วไป ดังนั้นผมไม่ขอแปล

The Trader Experience

เมื่อวานนั่งทำแบบสำรวจเบื้องต้นกับเพื่อนๆน้องๆเทรดเดอร์ ที่ร่วมโครงการโปรเจค robot fighting ด้วยกัน ผมถามทุกคนเหมือนกันว่า ถ้าให้เลือกระหว่าง A. ให้เงิน 1 ล้าน B . ให้ถอยหลังย้อนเวลาชีวิตจากปัจจุบันไปได้ 1 ปี เลือกอะไร ออกตัวก่อนว่าคำตอบไม่มีผิดถูก บางคนอยากได้เงินล้าน ถวิลหาเงินล้านก็คงเลือกข้อ A กัน แต่ที่น่าสนใจคือผลสำรวจเทรดเดอร์ที่ร่วมทำแบบสอบถาม 90% เลือก B ย้อนเวลากลับไป 1 ปี ผมก็เช่นกัน ยิ่งถ้าให้ย้อนเวลาไป 10 ปี มีความรู้ ความสามารถเท่าปัจจุบันมันหาประโยชน์ สร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้มากโขเลย เหตุผลเพราะการเรารู้ว่าผิดพลาดอะไรในอดีต บางทีแค่ย้อนเวลากลับไปได้ แค่1 วัน แก้ไขสิ่งผิดนั้นได้ทันมันก็ทำให้เกิด ผลลัพธ์ที่แตกต่างอาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงินล้านได้ โดยเฉพาะเทรดเดอร์ เราเรียนวิธีการ/กระบวนการ(method)สร้างเงินและรักษาเงิน(ป้องกันความเสี่ยง) ตรงนี้ระยะยาวมันมีค่ามากกว่าแค่ตัวเลขหรือตัวเงิน เพราะถ้าเราทำได้ถูกได้ดีได้แน่นอนแล้ว มันโต มันขยายได้ ตามความรู้ ตามประสบการณ์ ของเรา คำถามนี้อาจจะดูไม่ realistic แต่มองดีๆ เราอาจจะพบว่าแม้ย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งผิดใน

Cryptocurrencies บนดิน ความพยายามจัดการปัญหาของรัฐบาลญุี่ปุ่น

FT นำเสนอบทความและข้อมูลของ cryptocurrencies ในประเทศญุี่ปุ่นที่เป็นชาติซึ่งมีบทบาท และเข้าไปมีส่วนร่วมกับ cryptocurrencies มาอย่างต่อเนื่อง แม้ประชาชนจำนวนมากจะเจ็บหนักจาก bitcoin กรณี Mt Gox ล้มสลายตอนปี 2014 แต่ปัจจุบันก็ยังมีความนิยมมากในการเทรดซื้อขาย crypto currencies โดยเฉพาะ bitcoin Coincheck, bitcoin exchange ใน Tokyo ระบุญุี่ปุ่นมีลูกค้าที่เข้ามาเทรด bitcoin ตั้งแต่อายุ 20 ต้นๆถึงมากกว่า 60 ปี โดยรัฐบาลญุี่ปุ่นออกกฏชัดเจนคือ บริษัทค้าขาย bitcoin ในประเทศต้องมีการร ะบุตัวตน และบัญชีของลูกค้าอย่างชัดเจน รวมถึงมีรายละเอียด กฏเกี่ยวกับการให้เงินกู้และคุมระดับความเสี่ยงของการเทรด ที่ regulator ต้องตรวจสอบได้ ดูเหมือนจะแตกต่างจาก concept ของ Bitcoin ในการพัฒนาตอนเริ่มต้นอย่างมาก แต่ก็คงเป็นเรื่องปกติ เพราะคนญุี่ปุ่นส่วนใหญ่ 80% ที่เทรด Bitcoin ไม่ต่างอะไรกับ asset อื่นๆเช่นค่าเงิน คือเน้นเก็งกำไรหาประโยชน์ส่วนต่างราคา ในยุคดอกเบี้ยเงินฝากมันติดลบ ปัจจุบันดูตัวเลขปริมาณการซื้อขายของญีุ่ปุ่นเทียบกับทั้งโลก ก็จะเห็นความแตกต่างมหาศาล กลายเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีบทบาทกับการเคลื่อนไหวข

Facebook And Trader

เมื่อเช้ามีคนถามผมว่า พี่ใช้เวลาบน facebook วันละกี่ชั่วโมงครับ ?? ถ้าให้ทายคงคิดว่าเยอะ ใช่ไหมครับ เพราะอาจจะเห็นผมโพสบ่อย แต่จริงๆแล้ว ผมใช้เวลาในเฟสบุ๊คต่อวัน แค่ 1 ชม. เท่านั้นเอง(สำหรับเขียนบทความ ซึ่งก็ถือว่าไม่น้อยแต่ก็คุ้มค่า) เพราะเหมือนเคยบอกไปส่วนตัวใช้ facebook เป็นสมุดบันทึก เรื่องราวที่เกิดในตลาดหุ้น ตลาดทองคำ ตลาดค่าเงิน และใช้เป็นสมุดจดแชร์ความรู้ด้านการเทรด แชร์เรื่องราวเศรษฐกิจ น่าสนใจ ให้กับเพื่อนๆน้องๆได้ติดตาม พอผมอ่านเจอบทความ เรื่องราวๆดีๆก็จะนำมาเขียน แปะแชร์ไว้ให้ ซึ่งทุกวันผมจะเข้ามาโพสเรื่องราวๆ บทความ กราฟ หรือเรื่องราวแล้วก็ไป ไม่มีเวลาไปตามอ่าน ตามคอมเมนต์ ของเพื่อนๆท่านอื่นเท่าไหร่ ตรงนี้ทำให้ไม่ได้ใช้เวลาเยอะบน facebook และเป็นการอธิบายประเด็น ที่มีคนถามมาเยอะมาก ว่าทำไมผมไม่กด รับ friend ไม่ได้เลือก หรือไม่ได้หยิ่งอะไรแต่เพราะส่วนตัวไม่มีเวลา เข้าไปร่วมกิจกรรม หรือสันทนาการกับใคร ดังนั้นเลยคิดว่าไม่ขอรับ เพื่อนเพิ่มดีกว่า จะได้ไม่เป็นการหมางใจ ถ้าไม่ได้เข้าไปทักทาย ไป chat หรือติดตามกด like หรือคอมเมนต์ใดๆ ส่วนท่านอยากเรียนรู้ก็ กด follow ติดต