ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

"จอร์จ ตัน" เซียนเหนือเซียน

ชอบบทความนี้ครับ พอได้อ่านแล้วอยากนำมาเก็บไว้ ผมว่ามันทำให้เราตาสว่างและได้มีโอกาสเห็นในมุมของรายใหญ่บ้าง จริงเท็จแค่ไหนตอบไม่ได้ครับ แต่ก็ฟังหูไว้หูบ้างก็ไม่เสียหาย

--------------------------------------------------------
ตอน..กลยุทธ์หักเหลี่ยมโค่น "เซียน"

ที่มา:
Bangkok Biznews

"จอร์จ ตัน" คือชื่อที่ "เอกยุทธ อัญชันบุตร" โด่งดังในมาเลเซีย และสิงคโปร์ ในฐานะมือบริหาร "เฮดจ์ฟันด์" (กองทุนบริหารความเสี่ยง) มือฉกาจ ที่เล่นกับความเสี่ยงทุกชนิด ทั้งหุ้น ค่าเงิน และความผันผวนของราคาน้ำมัน

"ผมเล่นหุ้นทั่วโลกเล่นมาเป็น 10 ปีแล้ว"

เอกยุทธให้คำนิยามตัวเองว่าเป็น ?นักธุรกิจ? ที่แสวงหาโอกาสจากความเสี่ยง และผลกำไร ที่มาเลเซีย และสิงคโปร์ เขาบอกว่าเพื่อนๆ จะให้เกียรติเรียกว่า "ไต่กอ" หรือ ?Big Brother? ภาษาไทยแปลว่า?พี่ใหญ่?

"เพื่อนฝูงผมเยอะมากทุกวงการจนบางคนเขามองผมว่าเป็น "มาเฟีย? ถ้าคุณไป สิงคโปร์ มาเลเซีย วันนี้ไปถามชื่อผมว่า "จอร์จ ตัน? เมืองไทย นักธุรกิจทุกคนรู้จักผม ไม่มีทางลืมชื่อผม? เอกยุทธกล่าวด้วยความมั่นใจ



เอกยุทธยังเป็นดีลเมคเกอร์ที่เชี่ยวชาญทางด้าน M&A(ควบรวมกิจการ) อยู่ในมาเลเซีย ธุรกิจของเขาราบรื่นในฐานะเพื่อนสนิทลูกชาย ดร.มหาธีร์ อดีตผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของมาเลเซีย

แต่ในเมืองไทยเขาเป็นนักเล่นหุ้นระดับ "พันล้าน" เข้าออกอย่างไร้ร่องรอย จนถูกตั้งฉายานามในหมู่เซียนเมืองไทยว่า "ป.(ป๊อด)ลอนดอน" ซึ่งคนมักเข้าใจผิดว่าเป็น "ปิ่น จักกะพาก" อดีตราชาเทคโอเวอร์เมืองไทยที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษ

"ปีที่แล้วช่วงปลายปี 2546 เขา(ผู้มีอำนาจ)ตามหาตัวผมทีแล้ว จะเล่นงานผม เขาบอกว่า ป.ลอนดอนมาปั่นหุ้นของเขา แต่คนเข้าใจว่าผมเป็นปิ่น โชคดีให้คุณปิ่นรับไป

ผมเริ่มเห็นคนในรัฐบาลชี้นำราคาหุ้นชัดช่วงปลายปี 2545 พอปี 2546 ผมก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผมรู้ว่าเข้ามาต้องได้ตังค์ ในฐานะนักธุรกิจนี่คือช่องทางหาเงิน เพราะไม่มีตลาดไหนเล่นหุ้น "หมู" ขนาดนี้ คือถ้าผมกินเจ้ามือจะไม่เสียใจเลย"

จอร์จ ตัน เวียนวนอยู่ในห้องค้า 5-6 แห่งในกรุงเทพฯ การลงทุนของเขาจะมี "ก๊วน" เหมือนกับเซียนคนอื่นๆ ในตลาด และเห็นกลุ่มทุนใกล้ชิดศูนย์อำนาจ 2 กลุ่มใหญ่เข้ามาหาผลประโยชน์ในตลาดหุ้นร่ำรวยเป็นหมื่นล้านบาทกลับออกไป

"คือผมไปเทรดนั่งในห้อง VIP โก้หรู มองออกมาเห็นคนแก่นั่งขยับแว่นตาได้เงินไม่กี่พันก็เลิกแต่เสียเงินเป็นแสน ผมเห็นอย่างนี้เกือบปี มันรู้สึกละอายใจ"

ในฐานะเซียนหุ้น "จอร์จ ตัน" โกยกำไรจากตลาดหุ้นไทยในปี 2546 กว่า 1,000 ล้านบาท ด้วยวิธี "ขี่กระแส" ทักษิณฟีเวอร์ เล่นหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป" และหุ้นรัฐวิสาหกิจแทบทุกตัวที่เกี่ยวข้องกับคนในรัฐบาล แม้จะไม่ยอมเปิดเผยตัวเลขเงินลงทุนที่แน่ชัด บอกเพียงสั้นๆ ว่า "มากกว่าพันล้านบาท"

"อย่าพูดถึงตัวเลขดีกว่า ยิ่งเขาจ้องจะมายึดเงินผมอยู่"

หลังจากเอกยุทธหลบหนีออกจากประเทศไทยเมื่อ 20 ปีก่อนในคดีแชร์ชาร์เตอร์ เขาถูกเพื่อนชักชวนไปบริหารกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เล่นอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น และน้ำมัน

"ผมได้ประสบการณ์หนักๆ ช่วงนั้น เทรดมัน 3 ตลาดเลย โตเกียว นิวยอร์ก ลอนดอน"

สิ่งที่ "จอร์จ ตัน" เรียนรู้ ก็คือ เทคนิคการเล่นหุ้นที่มืออาชีพระดับโลกใช้กัน

วิธีการสร้างราคาหุ้นเริ่มจากเก็บข้อมูล เลือกหุ้นที่มีวอลุ่มสูง หรือ "หุ้นร้อน" ติดอันดับวอลุ่มสูงสุด 20 อันดับแรกของตลาด

พอเลือกหุ้นได้แล้ว ต้องไปตรวจสอบ "หน้าตัก" เจ้าของหุ้นก่อนว่า "รวย" หรือไม่ สิ่งที่ต้องดู คือ ดูว่าเจ้าของ "เซียน" หรือเปล่า ถือหุ้นอยู่เยอะแค่ไหน แล้วหุ้นตัวนั้นมี Free Float (หุ้นหมุนเวียนในตลาด) อยู่เท่าไร

"ถ้า Free Float ไม่เยอะต้องเช็คว่าใครถือหุ้นใหญ่ จะติดต่อไป จะคุยกันว่าอยากขายออกมาบ้างมั๊ย เดี๋ยวเรามาขายด้วยกัน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาพยายามดันราคาจนถึงจุดสุดยอดก็ปล่อยของ

แต่ถ้าคุยไม่ลงตัวก็มาดูหน้าตักเจ้าของหุ้น ถ้าเป็นพวกเศรษฐีเงินกู้ (เอาหุ้นไปจำนำแบงก์ไว้) หรือถ้าเจ้าของถือหุ้นหมิ่นเหม่ เขาปั่นเลย เพราะรู้ว่าคุณไม่กล้าขายออกมาสู้กับเขา"

เมื่อผ่านขบวนการตรงนี้แล้วก็จะเริ่มขบวนการปล่อยข่าวผ่านโบรกเกอร์ ซึ่งโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ก็จะรู้กันว่า "รายใหญ่" เล่นตัวไหนก็จะแกล้งเปิดพอร์ตให้ลูกค้าในบริษัท 1-2 คนดู บอกว่า "หุ้นตัวนี้....เสี่ยกำลังเล่น"

แต่ก่อนที่จะปล่อยข่าว "เสี่ย" ก็จะเข้าไปเก็บก่อน ทุบบ้างโยนบ้างเล่นกันเอง ก็คือซื้อมา...ขายถูก ซื้อมา....ขายถูก ทำอย่างนี้เพื่อสร้างวอลุ่มให้ราคาลง แต่ตัวเองยังถืออยู่ พวกนี้จะไม่กล้าทุบรุนแรง จะทำให้เสียราคา

"สมมุติราคาหุ้น 2 บาทเขาจะเล่น 1.80-2.10 บาท อยู่ตรงนี้เพื่อสร้างวอลุ่ม 1-2 เดือน เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอก็จะกระซิบกับโบรกเกอร์ พวกนี้จะรู้กัน"

เขาบอกว่าถ้าหุ้นขนาดไม่ใหญ่เงินหน้าตักขนาด 200-300 ล้าน ก็สร้างราคาได้แล้ว แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ต้องมีหน้าตักเป็น 1,000 ล้าน เพราะเงินสด 300 ล้าน สามารถหมุนเล่นรอบได้ถึง 3,000 ล้าน ถ้ามี 3 คนมาช่วยกันปั่นวงเงินหมุนก็ระดับหมื่นล้าน ราคาหุ้นวิ่งแน่นอน

"เวลาผมเล่นหุ้นผมไม่ใช้วิธีการอย่างนี้ แต่ผมจะดูว่าใครเล่น เห็นอาการก็รู้แล้วว่าใครเล่น จุดสังเกตให้ดูวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นจะบอกอาการ ผมจะให้เด็กนั่งเฝ้า ถ้ารู้ว่ามันเล่นแน่ เราก็เข้าไปซื้อเก็บไว้ แต่จะค่อยๆ เก็บ ถ้าคุณไปซื้อเป็นล้านหุ้นต่อวัน พวกเซียนมันตกใจ"

หุ้นที่อยู่ในขบวนการสร้างราคานั้น ระยะเวลาในการเก็บหุ้นเพื่อ "โหนกระแส" จะต้องใช้เวลาเก็บอย่างต่ำสุด 2-3 อาทิตย์ แผนของเราต้องการจะไป "กินเจ้ามือ"

"เพราะฉะนั้นต้อง "รอ" อย่างใจเย็น จะต้องเก็บที่ละแสน สองแสนหุ้น แล้วต้องกระจายหลายๆโบรกฯอย่างต่ำก็ 5-6 โบรกฯขึ้นไป แล้วต้องใช้คนหลายคน ถ้าคุณเก็บเร็วคุณเสร็จ เจ้ามือมันรู้"

ถ้าเป็นเซียนหุ้นที่ย่ามใจ และไม่ค่อยระวังตัว จะใช้วิธีค่อนข้างโจ่งแจ้ง นั่งเก็บ 3-4 โบรกฯก็โยนหุ้นได้ หรือบางทีอยู่โบรกฯเดียวกันเปิดเล่น 5 บัญชี นั่งเคาะอยู่ห้องเดียวกันเลย ซึ่งแบบนี้น่าเกลียดมากแต่ทางการก็ไม่จับ

ในกรณี "นักการเมือง" ที่เข้ามาหาประโยชน์ในตลาดหุ้น ส่วนใหญ่จะมาในรูปของ "กองทุน" ชื่อแปลกๆ หรือ มีคำว่า "นอมินี" ต่อท้าย ผ่านเงินมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ใช้ประเทศสิงคโปร์เป็นแหล่งพักเงินเข้าออก แต่ตัวเองนั่งสั่งการซื้อขายอยู่ในประเทศไทย

บางคนใช้วิธีลงทุนผ่าน Private Fund (กองทุนส่วนบุคคล) มีผู้จัดการกองทุนออกหน้ารับแทนว่าเป็นคนบริหารให้ แต่จริงๆ แล้วสั่งการโดยเขาหมด

"Private Fund ของบิ๊กพวกนี้สั่งซื้อ สั่งขายหุ้นเอง เพียงแต่เขาให้โบรกฯเป็นคนคีย์คำสั่ง เงินเป็นร้อยเป็นพันล้านไม่มีทางที่จะให้โบรกเกอร์ตัดสินใจแทนเขาหรอก"

เอกยุทธ ให้ไปถามโบรกเกอร์พวกนี้รู้ข้อมูลดีที่สุด เพราะต้องบันทึกเทปคำสั่งซื้อขายไว้เป็นหลักฐาน ว่าหุ้นตัวนี้ "เสี่ย" คนไหนเล่น เพียงแต่ไม่มีใครกล้าเปิดเผยเพราะเขากลัวเสียลูกค้า ไม่ใช่ฝรั่งผมทอง แต่เป็นฝรั่งผมดำ

ในขบวนการสร้างราคาขบวนการ "สร้างข่าว" สำคัญมากที่สุด วิธีการเก็บหุ้นของรายใหญ่มักใช้การปล่อยข่าวเพื่อ "ทุบหุ้น" โดย "ขายนำ" แรงๆ แล้วมารับซื้อข้างล่าง เขาเรียกว่าทุบให้ "อ้วก" รายย่อยตกใจคายหุ้นออกมา วิธีนี้เก่ามากตรวจสอบง่าย แต่ใช้ได้ผลทุกครั้ง

วิธีการทุบหุ้นที่ซับซ้อนขึ้นหน่อย คือ ไปซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ ที่มีผลต่อการคำนวณดัชนี เช่น PTT THAI BANPU BBL เลือก 4-5 ตัวแล้วทุบเพื่อกดให้ดัชนีลง เขาจะใช้วิธีโยน (ขาย) ไม้ละ 1 ล้านหุ้น ขายเอง รับเองยอมขาดทุนไม่มาก ถ้าเป็นหุ้นของเขาก็รับกลับ ถ้าเป็นหุ้นของคนอื่นที่ผสมโรงก็ดึงรายการซื้อออก จะมีคนนั่งหน้าจอรอดูตลอด

"เขาต้องการให้เกิด "Panic Sale" (ขายแบบตื่นตระหนก) หุ้นขนาดกลาง และเล็กมันจะลงแรงกว่าหุ้นตัวใหญ่ เขาก็จะไปเลือกเก็บหุ้นที่มีพื้นฐานบ้างถือไว้ ขบวนการต่อไปนี่แหละคลาสสิกที่สุด เมื่อเก็บหุ้นได้มากพอสมควรแล้ว ก็จะใช้วิธีไล่ราคา ยิ่งซื้อก็ยิ่งขึ้น...

แต่เขาเก็บจริงใครขายออกมาเท่าไรซื้อหมด ก่อนหน้านั้นเขาก็ไปตกลงกับกองทุนซึ่งเขาควบคุมได้ไว้ก่อน แล้ว "โยนหุ้น" ให้กองทุนรับไป สมมติเก็บมาได้ 20 ล้านหุ้นราคา 20 บาท ก็ไปคุยกับกองทุนว่าผมให้ Discount (ส่วนลด) คุณ 10% เป็นการเก็บให้กองทุน"

เอกยุทธ ยืนยันว่ามีกองทุนจำนวนไม่น้อยที่ยืมมือรายใหญ่เข้าเก็บหุ้นให้ ซึ่งมักจะได้หุ้นราคาสูงเข้าพอร์ต สาเหตุที่กองทุนยอมทำอย่างนี้ก็เพราะมันเป็น "Win-Win-Win" ทั้ง 3 ฝ่าย

"Win แรก" ในทางบัญชีจะดูดีทันที เพราะซื้อได้ในราคา Discount(ส่วนลด) ฐานะกองทุนจะมีกำไรทันที "Win ที่สอง"ผู้จัดการกองทุนมีผลงาน แต่ที่ร้ายกว่านั้นผู้จัดการกองทุนบางคนมีรถปอร์เช่ คันละ 10 กว่าล้านขับ เพราะมีรายได้พิเศษจากการรับซื้อหุ้น "Win ที่สาม" วิธีการเก็บหุ้นแล้วโยนให้กองทุนรับไปถือว่าปลอดภัยที่สุด

"แต่หลังจากกองทุนซื้อไปแล้วก็ตัวใครตัวมัน ผมถึงบอกว่าอันตรายมันไม่ได้มีเฉพาะนักลงทุนในตลาดอย่างเดียว คนที่ไปซื้อหน่วยลงทุนก็เสี่ยง ไปเช็คกองทุนของรัฐดูซิว่าเจ๊งกันไปเท่าไรกับวิธีนี้ นี่เป็นวิธีการฉ้อฉลที่ตามกฎหมายแล้วคุณจับเขาไม่ได้"

ในขบวนการสร้างราคาหุ้นการปล่อยข่าว"ด้านบวก"สำคัญมากเช่นเดียวกัน ที่นิยมใช้กันมาก คนสร้างราคา คือ "รายใหญ่"กับ"เจ้าของหุ้น"รู้เห็นเป็นใจกัน

"เขาจะคุยกันก่อน ถ้าคุยจบก็เริ่มเลย เจ้าของหุ้นจะช่วยปล่อยข่าวดีออกมาหนุนราคาทุกๆ 3-4 อาทิตย์ รวมไปถึงเชิญนักวิเคราะห์ไป Company Visit ช่วยดันราคาไปจนถึงจุดสุดยอด ถ้าเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ หุ้นที่เกี่ยวกับสัมปทาน หรือหุ้นที่รัฐเอื้อประโยชน์ทางภาษี ข่าวดีพวกนี้จะออกมาจากคณะรัฐมนตรีแป๊บเดียวหุ้นวิ่งก่อนแล้ว ให้สังเกตดู บางคนออกมาพูดส่งสัญญาณตรงๆ เลยก็มี"

----------------------------------------------------------------------------

ตอน..."ขี่" กระทิง..."วิ่งราว" เซียน

ในบรรดา "เซียน" ในตลาดหุ้นเวลานี้ "จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด

"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"

รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"

ตลาดหุ้นปี 2546 เป็นตลาดหุ้นวัดฝีมือเซียน ถ้า "ขาใหญ่" คนไหนกำไรไม่เกิน "เท่าตัว" ของทุนที่ลง ถือว่าเป็น "หมู" มือไม่ถึง แต่ในปี 2547 หนังคนละม้วน...หุ้นเล่นยากกว่าปีที่แล้วมาก

ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใครว่ะ" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร" เช่น ทุ่น "นาย_ก" ปีที่แล้วเป็นหุ้นที่ฮิต คนเชื่อถือมาก

กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"

จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."กูหนี"

"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"

เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น "Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ

"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"

เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"

"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมากูไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"

หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)

"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"

ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท

เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์

"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่ามึงขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"

ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ ?อย่าโลภ? (เด็ดขาด)

"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย

....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขาย แต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"

หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น" เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด

"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมด แต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"

เอกยุทธให้นิยามของ?ความโลภ? ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น

"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!

....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ

....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"

เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อ หรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว

จุดสังเกตของหุ้นที่ถูกดึงขึ้นมาเล่นนานๆ หรือ "ลากยาว" มักจะมีการสร้าง Story (เรื่องราว) ขึ้นมาก่อนเขายกตัวอย่างกรณีหุ้น ITV ราคาขึ้นมาจาก 6 บาทวิ่งไปที่ 12 บาท หลังจากจัดงานใหญ่ครบรอบ 20 ปี ก่อตั้งบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น ระหว่างวันที่ 27- 29 มิถุนายน 2546 ที่เมืองทองธานี

ช่วงที่ราคาปรับขึ้นจาก 12 บาท วิ่งไปถึง 18 บาท เล่นข่าว ITV ได้ลดค่าสัมปทานทั้งๆ ที่ข่าวจริงยังไม่ออกมา ช่วงราคา 18 บาท ถึง 32 บาท เล่นข่าวขายหุ้นเป็นการเฉพาะเจาะจง (Private placement) ให้แก่บริษัท กันตนา กรุ๊ป และนายไตรภพ ลิมปพัทธ์

"ผมเข้า ITV ตอน 5 บาทกว่าแล้วเลิกตอน 8 บาทกว่า ใครจะไปรู้ว่าประเทศนี้ดีจริงๆ รอบที่สองผมเข้า 12 บาทกว่า พอ 32.50 บาท ผมเลิกขายทิ้งหมด เขาปล่อยข่าวว่าจะลากไป 40 ใครจะอยู่ก็อยู่ ตอนนั้นผมบอกเพื่อนว่า...กูหนีก่อน ตอนขาย N-PARK ก็เหมือนกันช่วงประกาศลดทุน แล้วเพิ่มทุน ผมทิ้งหมด อะไรที่ไม่ชัวร์ต้องทิ้งก่อน"

เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด Rehabco(ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)

ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ

"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"

ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า

"ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"

ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา

นี้คือเกร็ดความรู้เชิงลึกที่ "จอร์จ ตัน" เซียนหุ้น 1,000 ล้าน ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน


----------------------------------------------------------------------------

ตอน...แกะรอย "เซียน"...เปลี่ยน "ถุงเงิน"

ประสบการณ์ที่สั่งสมมากว่า 10 ปี ในตลาดหุ้นทั่วโลก ทำให้ “เอกยุทธ อัญชันบุตร” หรือ “จอร์จ ตัน” เซียนหุ้นแถวหน้าของเมืองไทย รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของขบวนการสร้างราคาหุ้น รู้ลึกถึงเส้นทางเคลื่อนย้ายเงินเข้าออกในคราบนักลงทุนต่างชาติ และกลเม็ดเปลี่ยน "ถุงเงิน” โอนกำไรไปเก็บไว้ใน Asset รูปแบบใหม่ เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่จะย้อนกลับมาหาตัวเอง

เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า พวกนี้จะไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทชื่อแปลกๆ ในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการโอนเงิน และปลอดภาษี เช่น บริติช เวอร์จิ้น ไอร์แลนด์ จากนั้นก็ใช้ชื่อบริษัทไปเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศหลายบัญชี พร้อมกับตั้งตัวแทน (นอมินี) ขึ้นมาดูแลผลประโยชน์

"ขบวนการต่อไปจะโอนเงินมาพักไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ จุดหมายปลายทางของเงิน คือ ตลาดหุ้นไทย เพื่อปกปิดชื่อ และแหล่งที่มาของเงิน ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นเงินนอก จริงๆ แล้วคนออกคำสั่งซื้อ-ขาย นั่งอยู่ในประเทศไทย แต่เงินซื้อขายจะถูกหมุนถ่ายเข้าออกเหมือนกับเป็นเงินของนักลงทุนต่างชาติ...พวกนี้ฝรั่งผมดำทั้งนั้น

เค้กก้อนใหญ่ที่สุดเป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจที่เอาไปขายให้พวกฝรั่ง หุ้นพวกนี้ไม่ได้อยู่ในพอร์ตกองทุนต่างชาติทั้งหมด แต่จะมีโบรกเกอร์ฝรั่งทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" รับหุ้นไป "ขายต่อ" ให้กับบริษัทของคนไทยที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศ ถ้าดูรายชื่อผู้ถือหุ้นจะมองไม่เห็น เพราะเขาให้โบรกเกอร์ฝรั่ง "บล็อก" ชื่อไว้ชั้นหนึ่ง จากนั้นก็เข้าสู่ขบวนการสร้างราคาหุ้นเพื่อเก็บกำไร"

หุ้นที่เอกยุทธตั้งข้อสังเกตมากที่สุดคือหุ้น PTT และ AOT

เอกยุทธยืนยันว่าในปี 2546 ความมั่งคั่งของกลุ่มทุนใหญ่อย่างน้อย 2 กลุ่มที่อาจเกี่ยวข้องกับ "ถุงเงิน" ของผู้มีอำนาจได้กำไรจาก "ตลาดหุ้น" กลับออกไปกว่า 1 หมื่นล้านบาทด้วยวิธีนี้...โดยเฉพาะหุ้น "รัฐวิสาหกิจ" และหุ้นในกลุ่ม "ชินคอร์ป"

ขั้นตอนการทำกำไรชนิดที่ไม่ให้ใครตามดมกลิ่นได้ง่ายๆ นี้ กลุ่มที่ทำได้ต้องเป็นเซียนระดับ "เฟิร์สคลาส" เท่านั้น

แหล่งข่าวระดับสูงในวงการธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่งไขปริศนาว่า รายใหญ่ที่เข้ามาซื้อขายในลักษณะดูแลราคาหุ้น PTT ไม่ใช่ฝรั่ง หรือ "ป..ขายกาแฟ" แต่เป็น "ป..ปตท." สอดคล้องกับข้อสังเกตของเอกยุทธ ราคา PTT ที่วิ่งจาก (ไอพีโอ) 35 บาท ขึ้นมา 193 บาท อาจมีการใช้ข้อมูลภายในเพื่อผลประโยชน์ของใครบางคน

ส่วนวิธีการเก็บเงินหลังทำกำไรจากตลาดหุ้นไทย เอกยุทธ อธิบายต่อว่าในยุคเก่า พวกเผด็จการ หรือพ่อค้ายาเสพติด เวลาถ่ายเงินออกนอกประเทศจะไปเปิดบัญชี หรือไม่ก็ไปเปิดตู้เซฟเอาไว้ เช่นที่ สวิตเซอร์แลนด์ แล้วก็ให้ "โค้ด" ลูกหลานไว้ เวลาตายไปก็โดนแบงก์โกงไปบ้าง เงินหายไปบ้าง เอาเงินกลับมาได้ยาก

“แต่เศรษฐีรุ่นใหม่มีวิธีการเก็บเงินแบบใหม่ เวลาพวกนี้ขายหุ้นเสร็จ โอนเงินออกไปเขาจะไม่เก็บเป็นเงินสดไว้ในบัญชี ไม่ถือเงินสด ไม่ซื้อพร็อพเพอร์ตี้ ไม่เอาไปซื้อทองไว้ในตู้เซฟ เขาใช้วิธีไปซื้อพันธบัตรสหรัฐ ซึ่งมันมีดอกเบี้ย แล้วมันเป็น Transferable (เอกสารแสดงการโอน) คุณสลักหลังอย่างเดียว มันก็เหมือนเงินสด ซื้อใบละ 1 ล้านดอลลาร์ เพราะเก็บง่าย เอาไปขายที่ไหนก็ได้ในโลก"

“วิธีถ่ายเงินไปซื้อพันธบัตรสหรัฐตรวจสอบยาก เปลี่ยนเป็นเงินง่าย ให้ใครถือก็ได้ เอาไปแลกที่ฮ่องกง หรือขึ้นเงินที่ไหนก็ได้ คุณ Discount (ขายลดราคา) ได้หมด อันนี้อันตราย...คลาสสิกที่สุดแล้วในยุคนี้"

ในบรรดาความเสี่ยงทุกชนิดที่เคยสัมผัสมาเอกยุทธ ยอมรับว่า "ค่าเงิน" เล่นยากที่สุด และเคยขาดทุนมาแล้วจำนวนมาก..."แต่ตลาดหุ้นไทยเล่นง่ายที่สุด"

"ถ้าคุณอยู่ในแวดวงตลาดหุ้น ซึ่งผมอยู่มาเกือบ 20 ปี มันมองเห็นหมด เขาถึงบอกว่า "คนเห็นผี" ไง คือ มันรู้ ผมไม่เคยอยากรู้ เพราะรู้แล้วมันคัน...อยากบอก ถ้าเล่นหุ้นในต่างประเทศมันต้อง "ฝีมือ" เล็งแล้วเล็งอีกกว่าจะฟันกันได้ แต่ที่นี่ไม่ต้องรอเลย นั่งดูเดี๋ยวเดียวก็รู้แล้วว่ากำลังเก็บ ผม "ขี่" ไปกับมันดีกว่า ปีที่แล้วผม "ขี่" หุ้นนาย_กเยอะ ขี่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น เขาก็เลยแค้นผม"

เมื่อถามว่ามีใครบ้าง ”เซียน” ตัวจริงในตลาดหุ้น

เอกยุทธ ตอบว่าคนที่เก่งจริงในวงการหุ้น ไม่ใช่คนในรัฐบาล เซียนที่มีพอร์ตเล่นหุ้นระดับพันล้านหลายคนโตขึ้นมาจาก "ฝีมือ" ตัวเองจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มการเมือง แต่บางคนถูกกลุ่มการเมืองมาขอให้ช่วยทำราคา

"ที่คุณเห็นส่วนใหญ่ "รวย" มาจาก "ข้อมูลวงใน" ที่ได้เปรียบคนอื่น กลุ่มทนายเล่นหุ้นมากกว่า 2,000 ล้าน...กลุ่มนี้ใหญ่มาก ข้อมูลวงในแม่นยำ ส่วนพวกนักการเมืองจะเล่นหุ้นผ่านอดีตปลัดคลังคนหนึ่ง ข้อมูลจะรู้ก่อน 10 นาที รู้จากข้างในห้องประชุมเลย หุ้นตัวไหนที่ได้ประโยชน์จากนโยบายของรัฐบาลพวกนี้จะรู้ก่อนหมด

ส่วนคนที่ขายกาแฟ เขารับว่าเล่นหุ้น 1,000 ล้าน ผมอยากจะถามว่าทำไมมีน้อยเหลือเกิน 1,000 ล้าน นั่นชื่อใคร ยังมีเล่นในชื่อคนอื่นอีกเท่าไร คนนี้รวยขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ช่วงวิกฤติธุรกิจเขาโดนหนักมาก"

เขายังกล่าวถึง "ซีอีโอ" ของบริษัทสื่อสารระดับชาติคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกลุ่มการเมือง ในวงการหุ้นเขารู้จักในฐานะ "มือทุบ"...เซียนโดนกันมาแล้วทุกคน

"ซีอีโอคนนี้มีผลงานเคยเข้าไปไล่หุ้นบง.ธนชาติ มีคนเข้าไปติดร่างแหกันเยอะ เขาจะเก็บล็อตใหญ่แล้วหาคนมารับไม้ (หุ้น) ต่อ ลากหุ้นขึ้นไป 19.90 บาท(ช่วงเดือนกันยายน 2546) จากนั้นเขาก็ทิ้งทุกไม้ (ทุกช่องราคา) ทุบหุ้นร่วงอย่างแรง มีบริษัทหนึ่งเข้าไปรับไว้ยังติดหุ้นที่ราคา 19 บาทมาจนถึงทุกวันนี้"

สำหรับขนาดหุ้นที่รายใหญ่เลือกเก็บ เอกยุทธ บอกว่า "ต้องใหญ่" Free Float(ปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาด) ต้องมาก ถ้าเป็นหุ้นใหม่ๆ (ไอพีโอ) ก็ต้องเร็ว ได้มาแล้วต้องเลิกเลย เพราะมันไม่ใช่หุ้นที่ติดอันดับ (Most Active) เล่นรอบเดียวแล้วหายไปเป็นปี

ถ้าเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนไม่มาก เซียนพวกที่เข้าไปเล่นจะไม่ใช้วิธี "ไล่ราคา" เพราะการไล่ราคาจะทำให้ต้นทุนสูง ถ้าเขาต้องการเก็บหุ้นจะใช้วิธี "ทุบ" ให้รายย่อย "อ๊วก" หรือ "สำลัก" ออกมา จากนั้นเขาจะเข้าไปเก็บเพื่อดันราคาให้มันวิ่ง...ทีนี้ก็บ๊ายบาย!!!เลย

จุดสังเกตที่เอกยุทธแนะให้จับตา เมื่อมีการลากหุ้นขึ้นมาแล้วระยะหนึ่ง ถ้าราคาเริ่มนิ่ง หรือขยับขึ้นเล็กน้อย แต่วอลุ่มยังคงหน้าแน่นผิดปกติ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนั้นรายใหญ่กำลัง ”โยนหุ้น” ซื้อขายกันเองระหว่างกลุ่ม เพื่อเปิดไฟ "ล่อแมลงเม่า"....ในไม่ช้าราคาหุ้นจะตกลงอย่างรวดเร็ว

"หุ้น Free Float น้อย พวกรายใหญ่จะไม่กล้าเสี่ยงถือยาวๆ ถึงแนวโน้มกิจการจะดี แต่พอมีกำไรก็ต้องทิ้ง หุ้นลักษณะนี้จะขึ้นเร็ว ลงเร็ว รอรอบอีกทีนานเป็นปี"

ในการทำศึก "การข่าว" นั้นสำคัญมาก เอกยุทธ เปิดเผยว่า เซียนหุ้นแทบทุกคนในตลาดจะเลี้ยงดู "เด็ก" (แหล่งข่าว)ทุกโบรกฯ ถ้าเล่นหุ้นเยอะต้องทำแบบนี้

คราวนี้มาถึงยุทธวิธีตลบหลัง "เซียน" กันบ้าง ในกรณีที่มี "รายใหญ่" ดอดเข้ามาเก็บหุ้นแล้วเจ้าของหุ้นอยากแก้เผ็ดพวกนี้ เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า ให้ใช้วิธี "ทุบ" ให้ "อ๊วก" ก่อน จากนั้นก็ออกหุ้นใหม่ขายเฉพาะเจาะจงทำให้ "สัดส่วน" มันเล็กลง

"ถ้าบริษัทขนาดไม่ใหญ่มาก "ทุบ" แล้วหาทุนใหม่ยัดเข้าไป ใช้เงินซัก 500 ล้าน ก็พอ ให้มันซีดลงไปเรื่อยๆ Dilute (ลดสัดส่วนหุ้น) ให้มันกลายเป็นหุ้นเล็ก ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ร่วมมือกัน เรื่องพวกนี้ผมถนัด เคยทำอาชีพนี้ตอนอยู่มาเลเซีย คนที่ทำดีลควบรวมกิจการเยอะที่สุดในรอบ 10 ปีคือ "ผม" ทำมาแล้ว 50-60 บริษัท"

ในทางตรงกันข้ามถ้าพวกเซียนรู้ว่า "เจ้าของหุ้น" เอาหุ้นไป "จำนำ" ไว้กับสถาบันการเงิน ถ้าใช้วิธี "ทุบ" เจ้าของหุ้นเสร็จเลย สมมติราคาหุ้น 100 บาท สถาบันการเงินอาจให้คุณ 50 บาท ถ้าราคาหุ้นตกก็ต้องหาหลักประกันมาเพิ่ม มันเดือดร้อนตรงนี้

"ผมถึงบอกว่าถ้าจะต่อสู้กันก็ต้องดู "หน้าตัก" ของอีกฝ่าย เพราะเวลาหุ้นตกมันก็จะยิ่งตกหนัก ถ้าไม่มีหลักประกันไปเพิ่มจะเป็นการ Force Sale (บังคับขาย) ทันที เจ้าหนี้จะต้อง Cut Loss โยนทิ้งออกมาบ้าง เขาจะเก็บเฉพาะบล็อกใหญ่เอาไว้ Controlling (ควบคุม) เท่านั้นเอง สมมติรายใหญ่รู้ว่าเจ้าของเอาหุ้นไปจำนำไว้อย่างนี้เสร็จเลย"

ในขณะที่วิธีการ "คอร์รัปชัน" สมัยใหม่ในแวดวงการเงิน แหล่งข่าวระดับสูงจากธนาคารพาณิชย์ของรัฐแห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า สมัยก่อนผู้บริหารระดับสูงของธนาคารจะใช้วิธี "กินเปอร์เซ็นต์" จากวงเงินกู้ หรือที่ภาษาในวงการเขาเรียกว่า "กินปากถุง"

"เดี๋ยวนี้กินปากถุงมันเสี่ยง เจอหนี้ไม่ดีเป็นเอ็นพีแอล (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) มันสาวถึงต้นตอเลยว่าใครอนุมัติบ้าง เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น "ขอหุ้น" ก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์แทน"

แหล่งข่าวรายนี้ บอกว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีหุ้น "ไอพีโอ" อย่างน้อย 30-40 บริษัท เป็นลูกหนี้ของธนาคารเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต้อง "จ่ายหุ้น" ให้กับ "บิ๊ก" ของธนาคาร หรือ ขอซื้อมาใน "ราคาถูก" แต่เขาจะไม่รับมาเป็นก้อนใหญ่ จะกระจายหุ้นให้กับคนใกล้ชิดจำนวนหลายสิบคน แล้วนำไปขายเปลี่ยนเป็น "เงิน" ในตลาดหุ้นอีกทอดหนึ่ง ได้กำไรจากวิธีนี้ไปหลายร้อยล้านบาท

ทางด้าน เอกยุทธ บอกว่าทุกวันนี้วิธีการสร้างราคาหุ้นไม่ได้ซับซ้อนขึ้น แต่กฎหมายเมืองไทยมีช่องโหว่ ถ้าพฤติกรรมฟ้องว่า "ปั่นหุ้น" ชัดๆแต่กฎหมายต้องพิสูจน์ว่าเขาได้เงินมาจากการปั่นหุ้นอย่างไร ซึ่งพิสูจน์ยาก

ปัจจุบันการปั่นหุ้นถือเป็นความผิดทางอาญา กฎหมายกำหนดโทษให้จำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับตั้งแต่ 500,000 บาท จนถึง 2 เท่าของผลประโยชน์ที่ได้รับ เมื่อสู้กันในชั้นศาลสุดท้ายผู้ถูกกล่าวหามักจะหลุดคดี

"ผมถึงบอกว่าถ้าคุณ (ผู้มีอำนาจ) แน่จริงไปเปิดบัญชีเล่นหุ้นพร้อมกันในต่างประเทศดีกว่า แล้วจะรู้ว่าใครเก่งกว่าใคร ประเทศไหนก็ได้คุณชี้มาเลย เก่งแบบเล่นหุ้นรู้ข้อมูลวงใน...ปัดโธ่!!!ใครก็เล่นเป็น"

อ้างอิงจาก
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=nutsiri&date=17-11-2005&group=2&gblog=3