ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การวิเคราะห์แนวโน้มราคา 1

กราฟเป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ราคาและปริมาณของหุ้น เพื่อทำนายราคาที่น่าจะเป็นในอนาคต โดยทำการพอร์ตราคาหุ้นในรูปแบบกราฟแท่งเทียนหรือกราฟเส้นตามช่วงเวลา สำหรับศึกษารูปแบบแนวโน้มของราคาในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เพื่อใช้ในการอนุมานหรือทำนายแนวโน้มหรือราคาที่น่าจะเป็นในอนาคต ซึ่งจะสามารถใช้ในการกำหนดจังหวะเวลาในการลงทุน หรือกำหนดกรอบการประเมินความเสี่ยงของการลงทุนได้

ดังนั้นการที่นักลงทุน มีความเข้าใจในกราฟเทคนิค ย่อมจะทำให้ทราบถึงพัฒนาการ การเคลื่อนที่ของราคาหุ้น จากการอ่านแนวโน้มของราคา ซึ่งจะทำให้ลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างมาก 




ประเภทของแนวโน้ม
แนวโน้มคือรูปแบบของราคาหุ้นที่เปลี่ยนแปลงแบบเคลื่อนที่จากช่วงเวลาหนึ่ง(t0) ไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง(t1) การเคลื่อนที่ของราคาหุ้นที่ปรากฏบนกราฟ จะอยู่ในลักษณะแบบคลื่น คือมีการแกว่งตัว ไม่ได้มีทิศทางการเคลื่อนที่ขึ้นหรือลงเป็นเส้นตรง สาเหตุมาจากการที่มีปัจจัยอื่นๆของผู้เล่นกลุ่มต่างๆเข้ามามีอิทธิพลต่อการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ก่อให้เกิดความผันผวนซ่อนอยู่ในการเคลื่อนที่ดังภาพ โดยสามารถแบ่งแนวโน้มออกได้เป็นดังนี้
1. แนวโน้มขาขึ้น(Up Trend)
แนวโน้มขาขึ้นคือรูปแบบการเคลื่อนที่ขึ้นของราคาหุ้น โดยราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยจุดต่ำสุดใหม่(L1) จะสูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้า (L0) เสมอ เรียกว่าการทำ higher low ส่วนการย่อตัวระยะสั้นคือการพักฐานหรือการขายทำกำไรระยะสั้น

จากภาพราคาที่ L3 > L2 > L1 > L0 โดยสามารถสร้างเส้นแนวโน้ม (Trend line) แบบขาขึ้น(Up trend)ได้โดยลากจากแนว L0 ไปถึง L3

แนวโน้มขาขึ้นถึงเป็นช่วงโอกาสทองที่เหมาะกับการลงทุน เนื่องจากราคามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยทำการเบรกแนวต้าน หรือจุดสูงสุดใหม่สามารถเบรก จุดสูงสุดก่อนได้เสมอ การลงทุนแบบซื้อแล้วถือ(Buy&Hold) จึงสามารถสร้างผลกำไรแบบเป็นกอบเป็นกำให้ผู้ลงทุนบนแนวโน้มขาขึ้น ที่สำคัญการลดความเสี่ยงของการผันผวนของราคา เรียกว่าง่ายต่อการจับจังหวะเข้าซื้อ และทำการขายเมื่อราคาหุ้นเปลี่ยนจากแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) เป็น ขาลง (Down Trend)


2. แนวโน้มขาลง (Down Trend)
แนวโน้มขาลงคือรูปแบบการเคลื่อนที่ลงของราคาหุ้น โดยราคาหุ้นจะเปลี่ยนแปลงแบบลดลงเรื่อยๆ โดยจุดสูงสุดใหม่(H1) จะต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้า (H0) เสมอ เรียกว่าการทำ lower high ส่วนการเด้งตัวระยะสั้นคือการเด้งเพื่อระบายหุ้นหรือเด้งเพื่อชะลอการลดลงของราคา บางครั้งอาจจะเป็นการเด้งเพื่อทดสอบแนวต้านในกรณีที่จะมีการกลับทิศของแนวโน้มราคา


จากภาพราคาที่ H3 < H2 < H1 < H0 โดยสามารถสร้างเส้นแนวโน้ม (Trend line) แบบขาลง (Down trend) ได้โดยลากจากแนว H0 ไปถึง H4

 แนวโน้มขาลง จึงเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าแนวโน้มขาขึ้น ผู้ที่เล่นหุ้นเก็งกำไรบนแนวโน้มขาลง จึงควรใช้ความระมัดระวัง และควรมีเวลาติดตามราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะราคาหุ้นสามารถปรับตัวลงได้ทุกเมื่อ บวกกับ ช่วงการ Rebound สั้นนั้นไม่กว้างโอกาสทำกำไรจึงแคบกว่าการเล่นเก็งกำไรในแนวโน้มขาขึ้น

3. แนวโน้มออกข้าง (Sideway Trend)
แนวโน้มออกข้างหรือ Sideway เป็นแนวโน้มที่มีการแกว่งแบบไร้ทิศทางที่ชัดเจน มีขึ้นและลงในกรอบแคบๆ และเป็นทางแยกก่อนจะเปลี่ยนแนวโน้มไปสู่ขาขึ้น หรือขาลง เรามีโอกาสพบแนวโน้มแบบ Sideway ได้มาก และแนวโน้มแบบนี้ที่ทำให้เกิด false signal ใน indicator หลายตัว และพาแมงเม่าไปติดดอยมานักต่อนักแล้ว

ดังนั้นกรณีที่หุ้นอยู่ในแนวโน้ม sideway นักลงทุนควรใช้สติและความระมัดระวังในการเทรดแบบเก็งกำไร เพราะบ่อยครั้งท่านมักถูกจิตนาการ และจิตวิทยาหมู่หลอก


จากรูปจะเห็นว่าราคาหุ้น พยายามสร้างแนวโน้มขึ้นมา แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นได้ เราจึงเรียกว่า Sideway โดยเมื่อหุ้น Sideway เราสามารถกำหนดกรอบของการแกว่งตัว หรือแนวรับ แนวต้านของ sideway ได้ โดยมีข้อสังเกตดังนี้

1. กรณี Ln < Hn หรือ L1 < H1 รูปแบบที่ราคาเพิ่มสูงขึ้น เรียก sideway up ถ้าสามารถเบรกกรอบแนวต้านบนของ sideway ไปได้ก็จะกลายเป็น Up trend

2. กรณี Hn > Ln+1 หรือ H1 > L2 เรียก sideway down ทิศทางจากแนวต้านบน ก่อนหน้า H1 ไปสู่กรอบแนวรับล่างที่ L2 ถ้าสามารถเบรกกรอบแนวรับล่างของ sideway ไปได้ก็จะกลายเป็น down trend

จบตอนที่ 1 ครับ