ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทำไมเล่นสั้นแล้วพอร์ตไม่โต

วันนี้ได้คุยประเด็น มุมมองตลาดกับพี่คนหนึ่ง น่าสนใจมาก เรื่องทำยังไงให้พอร์ตโต พี่ท่านนี้นำประเด็นหยิบยกเรื่องการได้กำไรมากมาย หลายสิบเปอร์เซนต์ ของแมงเม่าหลายคนในช่วงนี้มาเล่าให้ฟัง แกบอกว่าเจอแต่คนอวดกำไรหุ้นเล็ก หุ้นร้อน หรือวอเรนต์ เพราะตลาดกำลังขึ้นแรง โดยเฉพาะหุ้นเล็ก หุ้นน้อยวิ่งกันใหญ่ 


พอกำไรก็เอากำไรมาอวด มาโชว์กัน ที่น่าเป็นห่วงคือการโฆษณาว่าตลาดทำกำไรง่าย เข้าเช้าหาหุ้นตามข่าว ตามเว็บ ขายออกเย็น ก็ได้กำไร ผิดทางก็ไม่ต้องกลัวไม่ขายไม่ขาดทุนดอยสองสามวันไม่นานก็ออกได้  ยิ่งเห็นกำไร 10-20% ต่อวันมาเป็นตัวล่อ ก็ทำให้มีแต่คนอยากลอง ยิ่งตลาดขาขึ้นบวกเยอะๆ ความหวังยิ่งมาก ความนิยมชมชอบในการเสี่ยงดวงก็มากขึ้นไปทุกขณะ 

ประเด็นแบบนี้น่าสนใจ อยากเอามาเขียนให้อ่าน เพราะเท่าที่คนเห็นคนที่บอกว่ากำไรบ่อยๆ เล่นสั้นๆ เข้าตัวนั้นตัวนี้ก็กำไร แต่ทำไมจึงกลับไม่รวย พอร์ตไม่โต ประเด็นหลักๆที่ผมพบคือ นักเก็งกำไรแบบแมงเม่าสไตล์ เหล่านี้เน้นเล่นเอาสนุก เล่นเอามันส์ มากกว่าการมองผลกำไรระยะยาวในเกมส์สั้นๆ

ถามว่าสนุกตรงไหน สนุกตรงกำไรนั้นเอง มันส์ตอนไหน มันส์ตอนได้คุย ได้โชว์ แต่แน่นอนว่าถ้าขาดทุนก็ทุกข์ถนัดเช่นกัน คำถามที่ตามมาคือได้กำไรทำไมไม่รวย คำตอบที่ผมพอจะวิเคราะห์ได้เป็นเพราะสาเหตุหลักดังนี้ 

กำไรวันนี้พรุ่งนี้ขาดทุน 
พบบ่อยมาถ้ามองฐานะเทรดเดอร์มันก็เหมือนปรากฏการณ์ความไม่สเถียรของระบบ คือโอกาสทำกำไร นั้นเท่ากับโอกาสขาดทุน การไป betting ในเกมส์ 50-50 แบบนี้แน่นอนว่า ระยะยาวไม่มีทางสะสมกำไรได้ เพราะ โอกาสแพ้ชนะเท่ากัน วันนี้ได้ พรุ่งนี้เสียขาดทุน แต่เนื่องจากความไม่แน่นอนนี้ มันจึงไม่ทำให้เหล่าแมงเม่าถอดใจ เพราะคิดว่าแม้จะเสียเดียวก็ได้คือ พอขาดทุนก็มันจะหาเงินมาเติมพอร์ตและก็เล่นวิธีเดิมๆ รูปแบบเดิมๆต่อไป โดยหวังผลว่า สักวันมันจะดีขึ้นเราจะรวยขึ้น

ไม่มีระบบบริหารจัดการเงิน 
ส่วนใหญ่ขาดเป้าหมายการทำกำไร การตัดขาดทุน อยากได้กำไรแต่ขาดเป้าหมายขาดกลยุทธ ในเกมส์เล่นสั้นทุกอย่างเร็วหมด การตัดสินใจต้องมีแผน มีเป้าหมายล่วงหน้า แต่ที่พบ คือแมงเม่าเล่นเอามันส์ พอกำไรก็ดีใจอยากได้เยอะๆ ได้กำไรระดับหนึ่งก็ไม่พอใจ ลุ้นอีก คราวนี้พอโดนเทกระหน่ำ ทุบกระจาย จากกำไรสวยๆก็กลายเป็นขาดทุน ให้เจ็บใจและเสียเงิน คราวนี้ก็กลายเป็นติดหุ้น ติดดอยกันไป จิตใจไม่นิ่งพอจะตัดขาดทุน ขาดทุนก็รุกรามไปใหญ่

ความกลัว
นักเก็งกำไรแบบแมงเม่าสไตล์ขาดทุนบ่อยๆ พอเกิดความกลัว ความวิตกจริตมากๆ ก็จะทำให้จิตใจไม่นิ่ง ปัญหาที่ตามมาคือ กลัวจะเสียเงินเยอะ ติดดอยขาดทุนเยอะ ทำให้เจียดเงินมาเทรดเพียง ไม่มาก ถึงแม้จะได้กำไรหลายสิบเปอร์เซ็นต์ แต่พอคิดเป็นกระแสเงินสดที่ได้ กลับน้อยต่ำไม่ทำให้พอร์ตเติบโต 

ขายหมูตลอดปี
ปัญหาของแมงเม่าคือ ไม่มั่นใจ ปัญหาหลักคือจิตใจ หลายคนแก้ทางนี้โดยพยายามหา ศาสดา หากูรู มาช่วยส่อง ช่วยให้มั่นใจ แต่ด้วยความไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ว่ามันจะขึ้นหรือลง เพราะราคามันถูกควบคุมโดยผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด กูรูก็ได้แต่เดา ไม่รู้อนาคตที่แน่นอนเช่นกัน สุดท้าย ก็ทำให้ขายหมู เหมือนเดิม แม้จะเล่นสั้น รายวัน ก็ยังขายหมูพอใจกับกำไรไม่กี่เปอร์เซนต์ วันรุ่งขึ้นมันวิ่งต่อก็ไม่กล้าเข้าแล้ว เพราะกลัวซื้อหมูไปขายความ บวกกับ ไม่มั่นใจว่ามันจะไปต่อได้ไกลหรือไม่ ทำให้ต้องโดดไปหาหุ้นตัวใหม่ แทน

สาเหตุสี่ประการที่กล่าวมา ทำให้การเล่นหุ้นรายวัน แม้ดูจะได้กำไร ได้เงินมาบ้างแต่มันกลับไม่ทำให้พอร์ตโต หรือมีความมั่นคงทางการเงิน แต่นั้นไม่หมายความว่าการเล่นหุ้นรายวันไม่ดี ไม่ได้เรื่อง เพราะจริงๆการถือสั้น หรือเล่นแบบ day trade ก็มีกองทุน มีนักเก็งกำไรมากมายที่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่แตกต่างจากแมงเม่า คือ"กลยุทธ" 

นักเก็งกำไรรายวันหรือที่เรียกว่า Day Trader ที่ประสบความสำเร็จ เทรดแล้วมีกำไรสะสม พอร์ตเติบโตได้นั้นต้องควบคุมความเสี่ยงและบริหารจัดการเงินเป็น เรียกว่า มองผลกำไรระยะยาวในเกมส์สั้นๆ หมายถึงระยะเวลาในการเข้าทำซื้อขายถือครองไม่นาน แต่เน้นที่จะค่อยๆเก็บสะสมกำไรก้อนเล็กๆแบบต่อเนื่องและแน่นอน ไม่ใช่เสี่ยงโชคโฉ่งฉ่างมั่วไปตามอารมณ์ตลาด แน่นอนว่ากำไรที่ได้อาจจะเป็นคำเล็ก ต่างจากสไตล์ Trend Following แต่ด้วยความที่ระยะเวลาถือครองสั้นมันทำให้คล่องตัวในการมองหาช่องทางทำกำไร ตรงนี้ต้องฝึกต้องหัดกันอย่างหนัก ไม่ใช่ว่าเป็นเดยเทรดเดอร์แล้วจะนั่งๆนอนๆ แล้วก็กำไรแบบนั้นไม่มีจริงในโลกครับ

นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ เขาจะไม่ติดกับกำไร แต่เน้นการสะสมกำไรก้อนเล็กๆแต่ต่อเนื่อง ลดการเสี่ยงในเกมส์ที่ไม่แน่นอน หรือเสี่ยงสูง ที่สำคัญคือ เมื่อได้กำไรถึงเป้า เขาพอใจเท่านั้น(พวกนี้จะ fix profit เอาไว้และมีการทำ Trilling Stop เวลากำไรลดลง) จะไม่มีมารีรอประวิงเวลา การตัดสินใจต้องเฉียบพลัน มีวินัยตามแผน ถ้าจะเข้าออร์เดอร์ต่อไปก็รอสัญญาณรอบใหม่ ที่สำคัญสุดๆคือการเทรดแบบรายวัน ต้องมีเวลาติดตามราคาหน้าจอ แน่นอนว่าร่างกายจะต้องพร้อม ไม่ใช่นอนไม่พอ อารมณ์หงุดหงิด เทรดได้ไม่นานก็ล้าก็จิตหลุดแล้ว สุดท้ายต้องชำนาญการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เน้นการใช้กราฟระดับนาที เพื่อช่วงชิงโอกาสทำกำไร จากการเปลี่ยนแปลงของราคา 

นำตัวอย่างของ Kotegawa Takashi นักเก็งกำไรชาวญี่ปุ่นวัย 30 ปีเจ้าของฉายา  BNF ที่ประสบความสำเร็จจากการเก็งกำไรรายวัน ในตลาดหุ้นและตลาดฟิวเจอร์ของญี่ปุ่นเพียงช่วงเวลา 8 ปี พอร์ตของเขาโตได้มากถึง 19,000,000,000 เยน หรือประมาณ 5,700,000,000 บาท จากเงินเริ่มต้นเพียง 1 ล้าน 6 แสนเยน เขาเริ่มเข้ามาเทรดหุ้นตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยตอนปี 3 เรียนรู้จากความผิดพลาด ล้มลุกคุกคลาน จนมาถึงวันนี้ได้ 


เขามีวีรกรรมที่วงการกล่าวขาน คือเมื่อ 8 ธันวาคม 2005 เมื่อผู้รับชอบการซื้อขายหุ้นของ Mizuho Securities ส่งคำสั่งขายหุ้นของบริษัท เจ คอม(J-COM) ผิดพลาด จาก 6แสน 1 หมื่น เยนต่อหุ้น เป็น 1 เยน ต่อ 6 แสน1หมื่นหุ้น และเมื่อ  Kotegawa  เห็นความผิดปกตินี้ เขาได้ทำการเข้าซื้อไว้จำนวนมาก และเมื่อ Mizuho Securities รู้ถึงความผิดพลาดไล่ราคาซื้อกลับ จนราคาดีดขึ้นมาสูงถึงระดับเดิม เขาได้ขายทำกำไรออกไป  ทำให้เขาสามารถทำกำไรจากเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทันทีกว่า 600 ล้านบาทภายในเวลา สิบกว่านาทีเท่านั้น 

Kotegawa ได้พูดถึงการเป็นนักเก็งกำไรรายวันว่า มันไม่ได้ง่าย จำเป็นต้องใช้สมาธิ และความพร้อมของร่างกาย ประสาทสัมผัสต่างๆตลอดเวลา เขาต้องฝึกฝนและมีวินัยในตัวเองมากกว่าจะมาถึงจุดนี้ แน่นอนว่ากำไรที่ได้มา ย่อมต้องถูกจัดสรรกระจายความเสี่ยงไปลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำกว่า ไม่ใช่นำเงินทั้งหมดมาเก็งกำไรบนความเสี่ยงสูงตลอดเวลา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสผิดพลาดหมดตัวก็ย่อมมีได้เสมอ

ดังนั้นการเทรดเก็งกำไร สั้น รายวัน รายครึ่งวันนั้นไม่ผิด ไม่แปลว่าไม่ดี แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ กลยุทธ มีแผน มองภาพใหญ่ให้ออก มีการฝึกฝน จิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เราต้องควบคุมอารมณ์ของเราให้คงที่นิ่งและสงบ นักเก็งกำไรที่เล่นสั้นไม่ได้หมายความว่าเขาใจร้อน ถือยาวไม่เป็น แต่ส่วนมากจะเป็นเพราะกลยุทธที่ต้องการหลีกเลี่ยง ความไม่แน่นอนในอนาคตที่มาไม่ถึง เหนือสิ่งอื่นใด ถ้าเทียบกันระหว่างการเก็งกำไรรายวัน กับการเทรดเป็นรอบ หรือการลงทุนระยะยาว ว่าแบบใดดีกว่ากัน สำหรับมุมมองผมแล้ว นั้นก็เหมือนเราพยายามจะเอา อาวุธ ปืนสั้น ปืนลูกซอง ปืนไรเฟิ้ล มาเทียบกัน ปืนเหมือนกันยิงได้เหมือนกัน แต่การใช้งานในภาวะต่างๆ ย่อมได้ผลต่างกัน สุดท้ายแล้วไม่ได้ขึ้นกับปืน ว่าชนิดไหนดีกว่ากัน แต่ขึ้นกับผู้ใช้จะเลือกใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์และทำให้บรรลุเป้าหมายต่างหาก