ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Balance & Equity Curve

ที่ผมพบ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นเทรดเดอร์มือใหม่ หรือมือสมัครเล่น สิ่งที่ท่าน วิเคราะห์กันเอาเป็นเอาตาม คือ "กราฟแท่งเทียนราคา" ด้วยเทคนิคอล

พยายามเป็นเลิศ จากการเดาอนาคตผ่านการนับเวฟ หรือนั่งเพ่งดูเส้นอินดิเคเตอร์ตัดกัน แต่เทรดเดอร์อาชีพ สิ่งที่เขาทำ ไม่ใช่แค่การไปนั่งดูกราฟแท่งเทียน แต่กราฟ ที่ต้องติดตาม และวิเคราะห์อย่างยิ่งยวด คือ กราฟ Balance Curve และ Equity Curve สิ่งสำคัญ ที่ทำให้พอร์ตเขาอยู่รอดระยะยาว ไม่ใช่เน้นกำไรดอกสองดอกเยอะๆ [แบบที่นิยมอวดโชว์กัน]

การทำระบบเวลาเรารัน BackTest หรือทำ Fwd Test เราจะได้กราฟ Balance Curve และ Equity Curve ออกมา


เราสามารถใช้ตัวนั้นเป็นตัว ประเมินผลการทำงานของระบบเทรดได้ ผมหยิบเอาเฉพาะ balance curve pattern หลักมาแชร์วิธีการตีความให้ดู เพราะมี หลายท่านถามมาเยอะ ถือว่าผม lecture และตอบคำถามในบทความนี้ไปเลยทีเดียวแล้วกัน ครับ โดยรูปแบบ ที่เราต้องรู้จักมีดังนี้


1. Smooth : กำไรต่อเนื่องราบเรียบ แบบนี้ very good

2. Stairway: ขั้นบันได กำไรรวม เกิดจากอิทธิพลของกำไรพิเศษก้อนใหญ่กว่าค่า stdv เกิดในลักษณะไม่เป็นระบบ ทำให้กำไรรวมที่ดูมากอาจจะมีความผันแปรได้เสมอ

3. Fail: รันระบบแล้ว เงินทุนหมดไป เสียไปเรื่อยๆจากการขาดทุน

4. WTF: พวกนี้กำไร เกิดเรื่อยๆ มีกระแสเงินสดมากลบขาดทุน ทำให้เลี้ยงการขาดทุนสะสมได้เรื่อยๆ จนท้ายสุดถ้าอัตรากำไร ไม่ทันกับผลการขาดทุนที่เดิน ระบบจะล้ม



ด้าน mental แบบที่อันตรายคือ stairway เพราะตอนทดสอบเราจะคิดว่า มันทำกำไรได้มาก แท้จริงมันเป็นกำไรพิเศษ เมื่อเราเพิ่มเงิน เพิมทุน ด้วยความเสี่ยงที่แฝง อาจจะทำให้ ผลออกมาเป้น ลบได้เสมอ Stairway กำไรที่มัน shift 90% มันจะเยอะ เพราะเกิดจากการ เดิมพันที่สูง เช่นการเพิ่ม lot เพิ่มหน้าตัก มันจึงตามมา ด้วย Risk ที่สูง

อีกอันที่อันตรายสุดคือ WTF พวกนี้อม ขาดทุน ไม่ขายไม่ขาดทุน กำไรออกมาถั่วขาดทุนได้ก็ดี แต่ถ้า กำไรมันไม่เดินทันขาดทุน ก็จบ เกมส์


ถ้าทำระบบเทรด ควรจะพัฒนาให้สมบูรณ์ สร้างกำไรออกมาตอ่เนื่อง เติบโตยั่งยืน การทดสอบระบบในช่วงแรก อย่าใจร้อนครับ ต้องละเอียด ใช้เวลาทำให้มากเพียงพอ ทั้ง BackTest และทำ Fwd Test จากนั้นวิเคราะห์ผล ก่อนจะเริ่มขยายขนาด position size เพื่อเข้าสู่ภาวะการเทรดแบบเต็มรูปแบบต่อไป



Mr chaipat