ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

Update Global Macro Economic Q3/2018

Global Economic Data สำคัญที่ต้องติดตามดู นำเสนอโดย Shane Oliver แห่ง AMP Capital 1. Global business conditions PMI Global PMI ของกลุ่มอุตสาหกรรมหลักและบริการในประเทศหลักของโลก นั้นชะลอและ slow down จากจุด Peak สะท้อนถึง global growth ในอนาคตที่อาจจะไม่สดใสนักในปีนี้ 2.Global inflation ติดตามการเพิ่มของ inflation ในประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก ในภาพจะพบ สหรัฐและจีน Inflation ยังอยู่ระดับ 2% ส่วนยุโรป ค่า inflation เริ่มยกกลับขึ้นมาระดับ 1% หลังนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันยังต่ำกว่าช่วงวิกฤติการเงินปี 2007-2008 อยู่ เช่นเดียวกับ ญุี่ปุ่นที่ inflation อยู่ระดับต่ำห่างจากเป้า 2% ก่อนหน้ามาก แม้จะปรับตัวขึ้นได้ในช่วงปี 2017 2018 จากนโยบายของ BOJ 3.US yield curve ติดตามความไม่ปกติ ระดับ short rates วิ่งยกตัวขึ้นใกล้เคียงระดับใกล้เหนือ long rates สะท้อนพฤติกรรมตลาด ความเชื่อมั่นในอนาคตเศรษฐกิจระยะยาว ที่อาจจะดูไม่ดีนัก ส่วน GAP ของ 10Y bond yields และ the Fed Funds rate นั้น flat ระดับ 1.2% , ด้านGAP ของ 2Y bond yields และ the Fed Funds rate นั้นเ

Mania to Mania 2018

บทความนี้ของคุณ Michael Batnick เขาเขียนถึงความ mania ในปีนี้ ที่นักลงทุน นักเก็งกำไรได้เผชิญ เปิดเรื่องเขาพูดถึง cryptocurrency ที่ปลายปี 2017 ด้วยผลตอบแทนมหาศาลกลายเป็นความหวังใหม่ให้กับ นักลงทุนนักเก็งกำไรผู้ต้องการแสวงโชคตามกระแส แต่หลายสิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน เพราะแค่ปี 2018 ตลาด crytocurrency ก็เกิดภาวะถดถอยของราคาเหรียญคริปโตสกุลหลัก เช่น Ethereum ที่ Peak สุดขีดช่วงเดือนมค. 2018 ราคาบวกไปถึง 16,915% ด้วยเม็ดเง ินจำนวนมหาศาลที่ไหลเข้าไปในตลาดคริปโตช่วงปี 2017 แต่แล้วราคาก็กลับร่วงลงหนัก ถึงปัจจุบันเดือน กย. ราคาปรับลงถึง -90% จากจุด Peak ช่วงเดือน กพ. (แต่ยังสูงจากจุดเริ่มต้นถึง 2,000% )ทรงการถดถอยเกิดในเหรียบคริปโตตัวอื่นๆเช่นกันโดยเฉพาะกลุ่ม alter coin ทำเอานักเก็งกำไรนักลงทุนรายย่อยที่เพิ่งเข้าไปในตลาดขาดทุนหนักตามๆกัน แต่บางกลุ่มโดยเฉพาะนักลงทุนมือเก่าที่อยู่ในตลาดคริปโตมานาน มีต้นทุนต่ำยังเชื่อว่านี้มันคือการปรับฐานหรือทำกำไร ส่วนฝ่ายตรงข้ามคริปโต มีความคิดเห็นที่น่าสนใจหลายท่าน อย่าง warren buffett ให้ความเห็นช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาว่า มันจะจบไม่สวย (“bad ending”)

Lehman Brothers' Last Weekend

วันนี้ผมได้ดูคลิปย้อนอดีต 10 ปีวิกฤติการเงิน 2008 ของ WSJ ตอนหนึ่งเกี่ยวกับ Lehman Brother บริษัทวานิชธนกิจ เก่าแก่อายุ 150 ปีเริ่มต้นธุรกิจปี 1850 จาก Henry ,Emanuel และ Mayer พี่น้องตระกูล Lehman จนปี 2008 มีมูลค่ากิจการหลายพันล้าน ต้องมาล้มละลายพร้อมการพังของ subprime mortgage market คลิปสัมภาษณ์พนักงานระดับ senior และผู้จัดการฝ่ายชั้นกลางถึงเหตุการณ์ที่เกิดหลายคน ให้เล่าเหตุการณ์ในช่วง สุดท้ายก่อนจะถึงจุดจบ ที่น่ าสนใจคือพนักงานเหล่านี้มีความรักองค์กร และทำงานมานานบางคน 10-25 ปี โดยพวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีวันที่องค์กรใหญ่อย่าง Lehman Brother จะล้มละลาย แม้จะเข้าช่วงยากลำบากหลังแจ้งการขาดทุนกว่า $3.9 billion ช่วงวันที่ 10 กย. พนักงานยังเชื่อว่าจะมีการ bailout หรือควบรวมกิจการ ช่วงเจรจาต้นเดือนกย. ราคาหุ้น Lehman ที่ระดับ $15 ปรับตัวลงรุนแรงต่อเนื่อง นักลงทุนและพนักงานจำนวนไม่น้อยเข้าไปซื้อหุ้น ไปถั่วเฉลี่ยหุ้นเพราะไม่คิดว่าจะเกิดล้มละลาย สุดท้าย 15 กย. ราคาหุ้นลดลงต่ำกว่า $1 เมื่อตลาดรับข่าวผลการเจรจาจากซื้อกิจการ เสริมสภาพคล่องของสองธนาคารใหญ่อย่าง BOA (ฺBOA ไปได้ Merrill Lynch แ

Digital nomad & Travel Trader

เดินทางท่องเที่ยวและผจญภัยรอบโลก นี้มันเหมือนเป็นความฝันของหลายๆคน เมื่อวานมีน้องคนหนึ่งชวนคุยประเด็นนี้ และถามว่าเราจะวางแผนแบบเทรดไปเดินทางท่องเที่ยวและไปใช้ชีวิตในประเทศต่างๆอย่างไร "Digital Nomad" เป็นสไตล์การทำงานยุคใหม่ที่เพิ่งเกิดและดูเหมือนจะบูมในช่วง 2-3 ปีนี้ เทคโนโลยีและธุรกิจ startup ไม่ว่าจะเป็น airbnb , coworking space และอื่นๆอำนวยเหล่า digital nomad มากประมาณกันว่าปัจจุบันมีจำนวน "Digital Nomad" มากกว่า 62,637 แล ะประเทศไทยก็หนึ่งเป็น Hub ของเอเซีย แนวคิดไม่ซับซ้อนมันคือการทำงานแบบไม่มี office ขอแค่มี wifi หรืออินเตอร์เน็ตดีๆ ก็เรียกว่าเริ่มต้นได้แล้ว สำคัญคือคุณมีอิสระในการออกแบบเวลาในการทำงานและใช้ชีวิต(แน่นอนว่าก็ต้องมีวินัยและความรับผิดชอบในงานด้วย) Digital Nomad มีหลายอาชีพมากโดยเฉพาะสายโปรแกรมเมอร์หรือนักพัฒนาและอื่นๆ ที่เดินทางไปทำงานในประเทศต่างๆ(3-4 วันต่อสัปดาห์) จากนั้นใช้เวลาว่างที่เหลือ Backpacking ท่องเที่ยวเรียนรู้วัฒนธรรมไปในตัว นอกจากประสบการณ์ชีวิต ยังได้เปรียบด้านค่าครองชีพที่ถูก ในหลายเมือง ย้อนกลับมาที่ Trader นิด

เตรียมแผนรับมือกับความเสี่ยง1: Gary Shilling

วันนี้ชื่อของ Gary Shilling กลับมาบนหน้าสื่อหลักอีกครั้ง เชื่อว่าคนส่วนใหญ่อาจจะไม่รู้จักไม่คุ้นหูกับชื่อนี้ แต่ถ้าเทรดเดอร์หรือนักลงทุนที่อยู่ในตลาดมาก่อนซับไพร์ม น่าจะพอจำแกได้ Gary Shilling เป็นนักเศรษฐศาสตร์(phd)และเป็นนักวิเคราะห์ ชายที่ออกมาเตือนเรื่องวิกฤติฟองสบู่ในซับไพร์มคนแรกๆ เขียนรายงานเตือนปัญหาและความไม่ปกติที่เกิดตั้งแต่ช่วงปี 2004 จนทำให้ Greg Lippmann เทรดเดอร์(ตัวละครเด่นเล่นโดย Ryan Gosling ใ น Big Short) หลังอ่านรายงานและได้คุยกับ Gary Shilling ออกมา short โปรดักซ์อนุพันธ์ subprime mortgages ทำกำไรจากฟองสบู่ที่เกิดมหาศาล $1.5 billion ให้กับ Deutsche Bank ช่วยให้ธนาคารไม่ต้องรับการขาดทุนหนักจากวิกฤติครั้งนั้น เช่นเดียวกันคุณ Shilling ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับคุณ John Paulson ผู้จัดการกองทุนเฮ็ดฟันด์ทำการเทรด credit default swaps ในปี 2006-2007 เมื่อ debt default ฟันด์ทำกำไรไป $4 billion ในปี 2007 คุณ Paulson กล่าวว่านี้คือการเทรดที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ตอนนั้นในปี 2006 ตอนที่ Gary Shilling พยายามนำเสนอแนวคิดและผลการวิเคราะห์ข้อมูลของแกเกี่ยวกับ ซับไพร์มว่าจ

10 Things I've Learned from Meb Faber - "Just Survive"

ใช้เวลาว่างยามเช้านั่งฟัง podcast ในร้านกาแฟ Flirting with Models รายการโปรดสัมภาษณ์แขกรับเชิญผบห.กองทุนสาย Quant คนดังคุณ Meb Faber แห่ง Cambria Investments ผู้ตีพิมพ์บทความวิจัยQuantitative Approach to Tactical Asset Allocation ที่มียอดดาวน์โหลดมากกว่า 200000 ครั้ง คุณ Corey Hoffstein สัมภาษณ์ถึงเรื่องราวต่างๆหลายเรื่องที่น่าสนใจ ผมสรุปโน๊ตประเด็นหลักไว้ ประมาณนี้ 1. Trend following ยังไม่ตาย อันนี้คุยกันถึง paper ที่ Faber เขียนเน้นการทดสอบตัวกลยุทธ์แบบ TSMOM ผสมกับการจัดการความเสี่ยงและทำ TAA บน 5 asset calss หลัก ทำการทดสอบและตีพิมพ์ จากนั้นตอนปี 2012 กลับมา revise เอาข้อมูลใหม่(OSS) มาทดสอบกับระบบเทรดเดิม ผลก็ยังออกมาว่าการเทรดสไตล์ TSMOM ระยะยาวบน Global asset ยังเอาชนะตัวอ้างอิงได้ 2. ไม่มีใครซื้อจุดต่ำสุดหรือขายจุดสูงสุดได้ นั้นคือประเด็นสำคัญที่ Faber ย้ำเรื่อง Trend Following มันเป็นการจับโอกาสจากการเคลื่อนตัวส่วนใหญ่ของ asset การเปลี่ยนแปลงตาม Fundflow ไม่ใช่การพยายาม outperform ตลาดจากโมเดลการพยากรณ์หรือหาจุดเปลี่ยนแปลงเฉพาะเช่น สัญญาณซื้อขายจากจุดกลับตัวสูงสุดต

The next financial crisis ,Ray Dalio

บทความนี้อ้างสัมภาษณ์ความคิดเห็นของ Ray dalio เกี่ยวกับวิกฤติการเงินรอบใหม่ โดยสรุปอาจจะเกิดในอนาคตอันไกล(ไม่น่าจะเกิน 2 ปี) ซึ่งจะเกิดแตกต่างจากวิกฤติการเงินอดีต ปัญหาจะซับซ้อนและยากที่จะแก้หรือกระตุ้นให้ กลับมาเหมือนเดิม อาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจพักตัวยาว(slow growth) มีผลกระทบรุนแรงมากต่อสังคม เกิดปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ray dalio มอ งว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในอนาคต และให้ความเห็นว่า Fed ไม่ควรรีบเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วเกินตลาดคาดหวัง ตบท้ายด้วยประโยคสั้นๆ “I’d be more defensive rather than more aggressive,” สถานการณ์ตอนนี้คำว่า crisis กลายเป็นประเด็นที่สื่อต่างๆนำมาถกเถียงและพูดถึงถี่ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันออกไปทางคล้ายๆกันคือ ทุกคนรับว่า asset มันราคาสูง(บางตัว over value) บวกกับอนาคตไปข้างหน้ามันมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐโดยโดนัล ทรัมป์จะมาเปิด trade war ทั้งกับจีน ญี่ปุ่น ยุโรป กดดันเศรษฐกิจโลกเข้าไปอีก สุดท้ายเมื่อของกินของใช้แพง มันย้อนไปกระทบเศรษฐกิจของอเมริกา ซึ่งมีทั้งฝ่ายเชื่อว่ามีโอกาสจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดวิกฤติในเวลาอันใกล้ และบางฝ่