ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ จิตวิทยาการลงทุน

ทฤษฎีกบต้ม (The Boiled Frog Theory)

เคยได้ยินคำกล่าวของนักลงทุนรุ่นแรกที่ว่า "ถ้าจะเอาตัวรอดจากตลาดหุ้นได้นั้น จำเป็นต้องใช้สัญชาติญาณ" เพราะสัญชาติญาณ เป็นตัวที่บอกเราว่าเมื่อไหร่ไม่น่าวางใจ เมื่อไหร่ที่อันตรายหรือ เมื่อไหร่ที่โอกาสดี แต่ทว่าสัญชาติญาณนั้นไม่ได้เกิดจากการเสียเงินไปอบรม หรือสามารถซื้อหนังสือมาอ่าน แล้วก็จะมี แต่สัญชาติญาณเกิดจากการการสั่งสมชั่วโมงบิน หรือสะสมประสบการณ์ในตลาดหุ้น  การจะวัดว่าใครเก่งหรือไม่เก่ง นั้นไม่ได้ดูที่การพูด ดูที่การนำเสนอตัวเอง ของคนนั้น จริงๆแล้วต้องดูที่ประสบการณ์ ชั่วโมงบิน ซึ่งความรู้และประสบการณ์มันจะตกผลึก ออกมาเป็นวิธีคิดและทัศนคติ มันจะฉายแสงความโดดเด่นหรือความสามารถของตัวตนออกมา เป็นไปไม่ได้เลยที่คนเพิ่งหัดเล่นหุ้นได้ 1 ปีจะเก่งกว่าคนที่เล่นหุ้นทุกวัน 10 ปี ต่อให้ไอคิว 180 จะเป็นอัจริยะ จบดร. จบเมืองนอกหรืออะไรก็ตาม การเอาตัวรอดของมือใหม่ที่เพิ่งเขามาในสนามนี้ยังไงเสียก็ยังไม่ครบถ้วน ที่สำคัญยังถูกหลอก ถูกชักจูงด้วยกลวิธีต่างๆในตลาดหุ้น  ทฤษฏีหนึ่งที่ทำให้แมงเม่า โดยเฉพาะมือใหม่ขาดทุนมากๆนั้นคือ ทฤษฏีกบต้ม รูปแบบการทำให้ดูเหมือนจะช่วยเหลือ แต่เอาเปรียบ ดูเหมือนก

เทรดหุ้นอย่างไรให้หลับสบายไร้กังวล

เมื่อเช้าผมได้คุยกับเพื่อนนักลงทุนคนหนึ่ง บอกว่าช่วงนี้นอนไม่ค่อยหลับ เพราะกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของยุโรป ยิ่งเมื่อคืนรอลุ้นผลเลือกตั้งกรีซยังตีสาม จบลงด้วยดี แต่พอล้มตัวลงนอนก็นอนไม่หลับพลิกซ้าย พลิกขวา กังวลว่าตลาดหุ้นจะบวกหรือลบ หุ้นในพอร์ตจะกำไรหรือขาดทุน จิตใจไม่สงบกระทบกับการดำเนินชีวิต ดูเหมือนอาการแบบนี้มือใหม่จะเคยสัมผัสมาไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะยิ่งถ้ากำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนจนจิตตก หรือความไม่แน่นอนในการทำกำไร คนที่เล่นหุ้นเก็งกำไร ไม่มีหรอกครับที่วันไหนจะไม่คิดถึงหุ้น ทั้งหุ้นในพอร์ตที่ตัวเองถือ หุ้นตัวต่างๆที่คิดว่าจะมา คิดว่าจะต้องซื้อ หรือแม้แต่หุ้นที่ขายหมู หรือขายขาดทุนไปแล้ว เมื่อเราเล่นหุ้น จิตของเราได้ผูกติดกับหุ้นไปแล้ว จะดีหรือร้ายเราก็ต้องอยู่กับมัน แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำให้ได้คือ เราต้องควบคุมจิตให้อยู่ อย่าปล่อยให้ความกังวล ความโลภ ความกลัว หรืออารมณ์ที่เกิดจากการเล่นหุ้น เข้ามามีบทบาทกับชีวิตเรา หรือเข้ามามีบทบาทกับการตัดสินใจของเรา ถ้าเกิดคิดถึงหุ้นตลอดเวลาทั้งเวลา กิน เวลานอน เวลาเดิน เวลาขับรถ เวลาอาบน้ำ แบบนี้มีปัญหาแล้ว เพราะจิตเราจะไม่ว่าง ไม่สงบ ปัญญาที่แ

"สมาธิ" วิธีการฝึกจิตสำหรับนักลงทุน

เคยมีนักลงทุนคนหนึ่ง เจอผมในงานสัมนา ด้วยความที่จำชื่อได้ เลยเข้ามาทักทาย ระหว่างการสนทนามีคำถามหนึ่งที่เขาได้ถามขึ้นมาว่า "คุณคิดว่าคุณเล่นหุ้นเก่งหรือเปล่า" ผมตอบได้ไม่ยากเลยว่ายังไม่เก่งครับ เพราะคำว่า “เก่ง” นั้นแต่ละคนจะตีความต่างกันออกไปขึ้นกับการเปรียบเทียบ หรือจุดอ้างอิงในทรรศนคติของแต่ละบุคคล ผมเองไม่ใช่คนเก่งแต่ผมเป็นคนขยันมาก ผมชอบอ่านหนังสือและทำให้เมื่อมาสนใจเรื่องหุ้น เลยได้มีโอกาสอ่านหนังสือและตำราต่างประเทศทั้งแบบเล่มและแบบ pdf ที่หาอ่านได้ฟรีเยอะพอสมควร ทำให้พอจะรู้อะไรเยอะเกี่ยวกับระบบเทรดและการวิเคราะห์หุ้นเชิงเทคนิค จึงนำมาแบ่งปันกัน  แต่เรื่องหนึ่งที่ผมยังคิดว่าตัวเองยังต้องพัฒนาอีกมากคือเรื่องของการฝึกจิตใจ และการบริหารอารมณ์ไม่ให้มันเข้ามามีผลต่อการเล่นหุ้น เพราะบ่อยครั้งผมเองก็ยังไม่สามารถควบคุมตัวเองให้นิ่งได้ 100% ยังมีกิเลสที่มากวนใจทำให้เราออกนอกทางไปบ้าง แต่แน่นอนว่าขอบเขตยังชัดเจนคือยังไม่ทำให้ขาดทุนหรือเสี่ยงเกินตัว ดังนั้นถ้าจะเก่งได้จริงในมุมมองผม เราต้องฝึกหัดเรื่องของ “จิตใจ” มากๆ เรื่องนี้เราหลอกลวงหรือสร้างภาพไม่ได้ เพราะตัวเราย่อมรู้ตัวเร

"วินัย" คำที่นักเก็งกำไรต้องรู้จัก

สำหรับเทรดเดอร์ ถ้า" แนวโน้ม " เป็นดั่งเพื่อนของเรา(Trend is your friend) คำว่า" วินัย " ก็เปรียบประดั่งผัวหรือเมียของเรา( Discipline  is your wife) เพราะการที่จะอยู่รอดในตลาดหุ้น ไม่ว่าจะลงทุนในแนวใดต้องมีวินัย ถ้าขาดวินัยในการลงทุนแล้วต่อให้คุณจะเก่ง หรือฉลาดแค่ไหนก็ไม่ประโยชน์ จะไม่สามารถเอาชนะจิตใจของตัวเองได้ ขาดวินัยในการลงทุนก็เปรียบประดุจ เรือที่ขาดหางเสือ แล่นไปได้แต่ก็ไร้ทิศทาง โอกาสที่จะแล่นไปให้ถึงจุดหมายก็ยากเต็มแก่ ยิ่งเป็นนักเก็งกำไรในตลาดหุ้น การต้องต่อสู้กับความผันผวนของตลาดจะเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่ทุกวัน เมื่อตลาดผันผวน มีความไม่แน่นอน ยิ่งจะทำให้เกิดการชักจูงจิตใจทำให้เกิดอารมณ์ที่อ่อนไหว ไปตามสิ่งที่ปรากฏ เมื่อเรานำอารมณ์มาใช้ในการตัดสินใจ นั้นหมายถึงการนำมาซึ่งหายนะ ดังนั้นเทรดเดอร์หรือนักเก็งกำไร จะต้องมีจิตใจที่หนักแน่น มีวินัยยึดมั่นในระบบเทรด เชื่อมั่นกลยุทธในแผนที่วางไว้ หลายคนล้มเหลวกับการเทรดหุ้นเพียงเพราะขาดวินัย เมื่อระบบเทรดให้สัญญาณขาย แต่จิตใจอ่อนแอรับไม่ได้กับการขาดทุน ก็ทำให้ละเลย จนส่งผลเสียให้ต้องติดดอยขาดทุนรุกรามจากไม่กี่เป

มือที่มองไม่เห็น

ข้อแตกต่างระหว่างมือเก่ากับมือใหม่ในตลาดหุ้นคือ เรื่องของ "จิตใจ" คนส่วนใหญ่เมื่อย่างก้าวเข้ามาในตลาดหุ้น ก็เปรียบได้กับเด็กน้อยที่เข้าโรงเรียนในวันแรก อะไรมันก็ดูใหม่ อะไรก็ดูน่าตื่นเต้นมีเรื่องให้บีบหัวใจทุกวัน มือใหม่มักเน้นที่การศึกษาเรื่องของเครื่องมือ ในขณะที่มือเก่ามือเก๋าเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาเรื่องของจิตใจ เพราะจิตใจเป็นสิ่งสำคัญแต่ในมุมมองของมือใหม่แล้ว มักถูกอัตตาบดบังจนคิดว่าตัวเองเอาอยู่ รับมือกับมันได้ไม่มีปัญหา ทั้งที่แท้จริงแล้วกับตรงกันข้ามกับที่คิดไว้โดยสิ้นเชิง จิตใจ เปรียบได้ประหนึ่งกับมือที่มองไม่เห็น สามารถดันเราให้ไปถึงจุดหมายปลายทางได้ ในขณะเดียวกันมันก็สามารถฉุดรั้ง กดเราให้ตกต่ำไปได้เช่นกัน การตัดสินใจใดๆที่เกี่ยวข้องกับเงิน ยิ่งจำนวนเงินมากเท่าไหร่ จิตใจ เราก็จะยิ่งมีผลมากเท่านั้น จิตใจที่ไม่นิ่ง ปราศจากการควบคุมหรือฝึกฝน มันก็จะถูกสิ่งเล้ากระตุ้นให้ไหลไปตามอารมณ์ในขณะนั้นได้เสมอ สุดท้ายแล้วเราก็จะกลายเป็นเหยื่อของคนที่ใช้จิตวิทยาในการชักจูงจิตใจเรา เป็นผู้พ่ายแพ้ต่ออารมณ์ โดยไม่รู้ตัวเพราะเมื่อจิตถูกชี้นำ สมองก็จะสร้างตรรกะ สร้างวิธีคิดที่ดูเหมื

ต้องรอดเท่านั้น

ชอบคำอุปมาอุปมัยของพี่คนหนึ่งมาก ที่เปรียบ "ตลาดหุ้นเหมือนสนามรบในสวนสนุก" เพราะภาพจากภายนอกของคนที่สนใจ มักจะมองตลาดหุ้นสวยงามเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะภาพของตลาดทุนที่มีเม็ดเงินสะพัดวันเป็นหมื่นล้าน มันจะยากแค่ไหนที่จะหลุดมาเป็นของเราสัก 1000 -10000 บาทต่อวัน(ได้ทุุกวันก็ไม่ต้องทำงานประจำแล้ว) แมงเม่าหน้าใหม่วัยกระเตาะต่างเคลิบเคลิมกับภาพลักษณ์ กับคำเชิญชวนให้ก้าวย่างเข้ามาในตลาดหุ้น เปรียบดั่งการเดินเข้าสวนสนุกของเด็กๆ ที่แค่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาก็จินตนาการไปถึงความสุข ความสนุกและความสมหวังอย่างเปลี่ยมล้นไปแล้ว ยิ่งก้าวแรกเจอการบิ้วอารมณ์ให้โลภ ให้อยากเทรด อยากทำกำไร บวกกับการได้กำไร เล็กๆน้อยสลับขาดทุน บวกกับผู้หวังดีที่มีหุ้นเด็ดๆมาฝากทุกวัน เห็นคนโน้นคนนี้กำไรกัน จิตใจแมงเม่าหน้าใหม่ก็เริ่มผันผวน สนุกไปกับหุ้น สนุกกับการได้ๆเสียๆ ยิ่งเมามันกับการซื้อๆขายๆเพราะความโลภ ความกลัว จนหุ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แม้แต่เวลากิน เวลานอน คุณก็ต้องนึกถึง และยิ่งบวกกับการขาดทุนหนักๆมันยิ่ง กัดกินจิตใจของเราไปเรื่อยๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีอาจจะผ่านไปปีสองปี จะพบว่าของจริงนั้นหนั

ตลาดหุ้นไม่ใช่ตู้ ATM

หัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่แสดงงานวิจัยของ มายด์แชร์เอเชียแปซิฟิคสาขาสิงคโปร์ โดยสำรวจจากกลุ่ม Gen Y ทั่วโลกและในประเทศไทย พบว่า Gen Y ไทยเด่นนักสร้างสรรค์ จำนวนมากมีทัศนคติของการไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง พบอีกว่า GenY หลายคนสนใจเล่นหุ้นจำนวนมาก และหลายคนมีเงินฝากเกิน 10 ล้านบาทในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี อ่านแล้วก็ยังงงครับว่า GenY 10 ล้านก่อนอายุ 30 ปีในเมืองไทยมีมากขนาดไหน และที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจ การเล่นหุ้น หรือมาจากมรดกของที่บ้าน แต่ที่แน่แท้และที่ผมเองประสบกับตัวคือ GenY กลุ่มอายุ 16-29 ปี สนใจเล่นหุ้นมากจริงๆ วัดได้จากคำถามจากทาง email และจากหน้าเพจที่น้องๆกลุ่มนี้ถามมาเยอะมาก แน่นอนว่าอาจจะด้วยความหอมหวานของเม็ดเงิน หรือได้เห็นภาพโฆษณาขายฝันว่าเป็นการทำเงินที่ง่ายๆไม่เหนื่อย ทำให้คนกลุ่มนี้เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่อยากทำงานประจำไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ไม่ได้มุ่งหน้าหางานทำ หรือประกอบธุรกิจแต่กับมุ่งหน้าเข้าหาเงินในตลาดหุ้นแทน โลกความเป็นจริงมันไม่มีอะไรง่ายแบบนั้น ส่วนมากคนที่ชักชวนเราให้คนเข้ามามักฉายภาพการลงทุนแบบมีหลักการ ฉายภาพความหวัง ความฝัน ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่าง

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 2

ตอนที่สองนี้ผมขอนำเอากลยุทธการเล่นโป๊กเกอร์มายกตัวอย่างเพื่อให้ได้เห็นภาพของการเล่นจริง ปกติอย่างที่ผมกล่าวอยู่เสมอการเล่นหุ้นและการเล่นโป๊กเกอร์ถ้ามีระบบ เข้าใจความเสี่ยงไม่เล่นไปตามอารมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นการพนันแต่อย่างไร โป๊กเกอร์และหุ้นเก็งกำไร จะชนะได้แบบยั่งยืนผู้เล่นต้องเข้าใจเรื่องความน่าจะเป็นและมีความอดทน เพื่อรอทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ได้เปรียบ กล่าวคือถ้าเป็นหุ้นก็คือการเล่นเสี่ยงบนแนวโน้มขาขึ้น ปล่อยให้กำไรเกิดตามแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของราคา ถ้าเป็นโป๊กเกอร์ก็คือการที่เรากล้าเสี่ยงการเพิ่มเดิมพันเมื่อไพ่ในมือและไพ่บนโต๊ะจับคู่ออกมาดี มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง และรู้จักหมอบเมื่อเห็นโอกาสที่จะแพ้ กลยุทธพื้นฐาน หลักการดังที่ผมอธิบายไปแล้ว ต้องอดทนรอไพ่ที่ดี ผมขอสรุปกลยุทธพื้นฐานที่ดังนี้  1. ประเมินไพ่สองใบที่ได้รับ ถ้าหน้าไพ่สูงมีโอกาสดี เช่นอาจจะเกิดตอง อาจจะเกิดฟลัช(Flush) อาจจะเกิดคู่สูง หรือสเตรท เป็นต้น เราก็สามารถ Call หรือวางเดิมพันเพื่อดูไพ่และเล่นต่อไป ถ้าไพ่ต่ำความน่าจะเป็นน้อยก็ควรหมอบ 2. เมื่อไพ่สามใบ กลางโต๊ะออก ให้ประเมินความน่าจะเป็นของไพ่ที่เหนือกว่า

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 1

เอ่ยถึงโป๊กเกอร์หลายคนอาจจะเบือนหน้าหนี เพราะคิดว่าผมกำลังจะมาสอนเรื่องการพนัน แต่แท้จริงแล้วผมอยากแนะนำการฝึกหัดทักษะการเล่นหุ้น ด้วยไพ่โป๊กเกอร์ให้เพื่อนๆได้รู้จักมากกว่า เพราะโป๊กเกอร์นั้นเป็นเกมส์การพนันที่ต่างจากการพนันทั่วไปที่อาศัยดวงในการชนะ เช่น หวย ไฮโล รูเล็ต สล็อต เป็นต้น ด้วยโป๊กเกอร์นั้นต้องอาศัยทั้งทักษะการคำนวณความน่าจะเป็น, จิตวิทยา และการบริหารจัดการเงิน ดังนั้นถ้าอยากเล่นหุ้นเก็งกำไรให้ดีและเก่ง โป๊กเกอร์ก็เป็นอีกตัวเลือกที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะทั้ง 3 ของเราได้เป็นอย่างดี โป๊กเกอร์ เป็นเกมส์ไพ่ที่ไม่ซับซ้อน แจกไพ่ให้ผู้เล่น 2 ใบและไพ่กองกลางอีก 5 ใบ จากนั้นจับคู่ 5 ใบของใครใหญ่กว่าก็ชนะไป เกมส์ที่ต้องต้องอาศัยไหวพริบ การวางแผน การหลอกล่อ และการอ่านจิตใจของคู่แข่ง ผ่านสีหน้า ท่าทาง และคำนวณความน่าจะเป็นโอกาสที่ชนะ รวมถึงกลยุทธการจัดการเงิน การวางเดิมพันที่จะสร้างผลประโยชน์ให้เราได้มากที่สุด เข้าสโลแกนคือถ้าไพ่ดีชนะต้องได้กำไรที่สมน้ำสมเนื้อ ในขณะเดียวกันถ้าไพ่ไม่ดีต้องแพ้ก็ต้อง เสียเงินให้น้อยที่สุด  รูปตัวอย่างการเล่นจาก Wiki ปัจจุบันโป๊กเกอร์เป็นเกมส์ไพ่ที่มีความนิยม

ชนะอย่างไม่เสี่ยงเกินตัว

คำเปรียบเปรยเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ได้พบได้บ่อยที่สุดคือ "ตลาดหุ้น" เปรียบเหมือนกับ "สนามรบ" เพราะความน่ากลัว ความร้ายกาจของคนที่คอยจ้องจะทำกำไรจากเงินลงทุนของผู้อื่น อยู่ทุกเวลา ตลาดหุ้น มีการแข่งขันทำกำไรด้วยเม็ดเงินมหาศาล มีกลยุทธเทคนิคและรูปแบบการเอาชนะที่หลายหลาย มีคู่แข่งขันทั้งรายใหญ่ สถาบัน กองทุน กองทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อย ที่ล้วนแต่จ้องจะทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นในสนามแห่งนี้ แต่จริงๆแล้วคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นตัวของเราเอง เริ่มเข้ามาในตลาดส่วนใหญ่ทุกคนล้วน เข้ามาเพื่อการแสวงหากำไร ด้วยความคิดที่ว่าจะต้องเข้ามาทำกำไรจากส่วนต่างราคาของหุ้น ดังนั้นภาพของแมงเม่าในตลาดหุ้น จะเหมือนกันคือ พยายามวิ่งหาหุ้นเด่น สแกนหา หรือไม่ก็รอกูรู ผู้รู้มาชี้ทาง ให้จากนั้นก็แห่กันเข้าไปไล่ซื้อ หวังทำกำไร แต่ผลลัพธ์มันไม่สุขสมอารมณ์หมาย แบบในนิยายสามเล่มร้อย มิเช่นนั้นคนร้อยละ 80 ในตลาดหุ้นคงกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านกันไปหมดแล้ว แต่ส่วนใหญ่ในโลกของการเก็งกำไร แมงเม่ากับขาดทุน ล้มหายตายจาก โทษดินโทษฟ้า โทษเจ้ามือ โทษคนอื่นที่ทำให้ต้องขาดทุน หรือไม่ก็จัดหาก

แพ้ให้ได้ ผิดให้เป็น

ธรรมชาติของมนุษย์เราทุกคนย่อมต้องการเป็นที่ยอมรับ แน่นอนว่าการจะเป็นที่ยอมรับ และมีความน่าเชื่อถือได้นั้น ความคิดและการตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญ เรามักพึงพอใจกับผลการตัดสินใจที่ "ถูก" มากกว่า "ผิด" เพราะเมื่อเราเป็นคนถูกนั้นหมายถึงสภาวะทางจิตใจได้ถูกตอบสนองทางบวก สภาวะทางอารมณ์ก็อิ่มเอมเปรมปีร์ ตามมาด้วย ความสุขความสมหวัง แต่ตะกอนตกค้างจากทางจิตที่เราได้รับก็คือ "อัตตา" หรือการเกิดของตัวตนจากการยึดติดในความคิด ยึดติดในการตัดสินใจที่ต้องถูกต้องเสมอ  ไม่ใช้เรื่องแปลกเพราะถ้าย้อนกลับไปดูที่ระบบการศึกษา และการเลี้ยงดูส่วนใหญ่เราถูกเลี้ยงดูและปลูกฝั่งให้เป็นคนที่มีความฉลาด เป็นคนเก่ง โดยถูกสอนให้รอบคอบให้ตัดสินใจให้ดีและถูกต้อง ประกอบกับการให้รางวัลหรือคำชมเมื่อเรา "ถูก" และทำให้ได้เป็นที่ยอมรับในคนรอบข้าง มันจึงทำให้พื้นฐานความคิดและจิตใจของเรา ชอบเป็นคนที่ "ถูกต้องเสมอ" เกือบในทุกเรื่อง แย่ที่สุดถึงแม้จะผิดเราก็มักจะหาเรื่องกลบเกลื่อนหรือประเด็นที่มาบิดบังความผิด แก้ตัวหรือโบ้ยให้เป็นแพะรับบาปกันไป ซึ่งนั่นคือกลไกการปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ

อารมณ์ตลาด

อารมณ์ตลาดแท้จริงแล้วก็คืออารมณ์ของนักลงทุนนี่แหละครับ แต่หลายๆคนรวมกันเข้ามันก็เกิดเป็นอารมณ์ของตลาดโดยรวม ตลาดหุ้นบ้านเราถ้าจะวิเคราะห์อารมณ์ตลาด เราจำเป็นต้องดูที่กลุ่มนักลงทุนที่มีจำนวนมาก แน่นอนว่าคือนักลงทุนรายย่อยในตลาด ผู้มีจำนวนมากแต่น้อยด้วยอำนาจเงินและการเข้าถึงข้อมูล แต่ด้วยปริมาณที่มากเลยทำให้อารมณ์ของนักลงทุนกลุ่มนี้ไปมีผลโดยตรงกับอารมณ์ของตลาด อารมณ์ เป็นสิ่งที่ค่อนข้างมีผลมากต่อการเล่นหุ้นเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อย ซึ่งส่วนใหญ่มีความนิยมเข้าเก็งกำไรหุ้นในระยะสั้นถึงกลาง โดยปกติของมนุษย์เราตกเป็นทาสของอารมณ์ในการตัดสินใจโดยตลอด ยิ่งเมื่อมีสถานการณ์และมีสิ่งเล้าเข้ามากระตุ้น คุณ เวอร์นอน สมิธ นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2002 ศึกษาเชิงพฤติกรรมของนักลงทุนกล่าวไว้ว่า "นักลงทุนล้วนมีกล่องดำสำหรับประมวลผลการตัดสินใจฝั่งอยู่ในสมองโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า จริงๆแล้วกล่องดำอันนี้มีวิธีในการตัดสินใจอย่างไร แต่การตัดสินใจนี้มันไม่มีเหตุผล และเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของจิตใจเป็นหลัก" หลายคนอาจจะปฏิเสธว่าไม่ ฉันสามารถควบคุมจิตใจได้ ฉันเป็นคนมีเหตุและผล ฉันเป็นผู้บริหาร ฉันมีวุฒิภาว

หลุมพรางของแมงเม่า

ปัญหาอย่างหนึ่งที่เหมือนๆกันเวลามีคนเข้ามาปรึกษาผมเกี่ยวกับการเล่นหุ้นเก็งกำไร คือ ตัวเค้าเองรู้สึกว่าเล่นหุ้นแล้วไม่มีความสุข เครียด บางคนก่อนเล่นเคยวาดฝันไว้ว่าจะสามารถหาเงินจากตลาดหุ้นได้แบบตู้ ATM ได้เงินทุกเดือน เดือนละเท่านั้นเท่านี้ แต่เมื่อลงมาสัมผัสของจริง มีแต่เสียเยอะสลับกับได้น้อย เล่นเอาเครียดไม่มีความสุข จนทุกวันนี้เหมือนทำงานหาเงินมาเติมพอร์ตหุ้น กลายเป็นว่าทำงานหาเงินมาให้คนอื่นเอาไปใช้อีก ได้ลิ้มรสชีวิตแมงเม่าที่มืดหม่นเข้าไปอีก ถ้าเราลองสังเกตดีๆ ยังมีคนแบบนี้อยู่มากเกินกว่าครึ่งในตลาดหุ้นครับ เพราะคนเหล่านี้คือคนที่ทำให้ระบบเก็งกำไร เดินอยู่ได้เป็นคนทำเงินให้ผู้ชนะ เป็นคนที่ไล่ซื้อหุ้นเวลาราคาแพง เรียกว่าเป็นผู้รับไม้ต่อให้ผู้ชนะทำกำไร แถมยอมทนติดดอย ลูกแล้วลูกเล่าด้วยความหวังว่าสักวันจะได้ลง พร้อมกับปลอบใจตัวเองดังๆ ว่าไม่ขายไม่ขาดทุน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เมื่อเราเริ่มลงทุนเราจะติดอยู่กับวัฏจักรของแมงเม่า ภายใต้ทฤษฎีสมคบคิดในตลาดหุ้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ใครจะเป็นยังไง แต่ปัญหาจริงๆอยู่ที่ว่าเราเลือกจะเป็นอย่างไรมากกว่า  คนส่วนใหญ่มักเล่นหุ้นเพราะหวังรวย หวังได้เงิน เม