ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

ก้าวแรกสู่สังเวียน

มีน้องคนหนึ่ง เพิ่งจบ ม.6 เข้ามาปรึกษา อยากมาเป็นเทรดเดอร์เต็มเวลา จะไม่เรียนมหาลัยแล้ว จะลุยเลย ... ก่อนเริ่มผมอยากหยุดคิดทำความเข้าใจก่อนคือ มันไม่ได้หมายความว่าการเทรดคือ วันๆนั่งส่องกราฟอยู่บ้าน อ่านกราฟเป็น ดูเส้นตัดกัน เฝ้าจอได้ไม่ต้องศึกษาอะไรแล้วก็จบ การเทรด โดยเฉพาะถ้าพัฒนาระบบขั้นสูงเพื่อประสิทธิภาพ ความรู้ ความเข้าใจ สำคัญมาก ความรู้จะเกิดได้ทางหลัก เช่น จากการอ่านการศึกษา อันนี้บอกเลยว่า ถ้าขาดทักษะทางวิชาการก็ยากจะต่อยอด จะมาอ่านบทความภาษาไทย เรียนแบบเวอร์ชั่นไทย ถ้าพื้่นฐานพอมีแต่ขั้นสูงบอกเลยว่า แทบไม่มีครับ ถ้าอยากพัฒนาเร็วก็ต้องอ่านบทความต่างประเทศ ดังนั้นทักษะภาษาอังกฤษก็ต้องมี บทความส่วนใหญ่เป็นวิชาการ โดยเฉพาะพวก การบริหารเงิน บริหารความเสี่ยง ตรงนี้ทักษะคณิตศาสตร์ สถิติก็ต้องได้พอประมาณ อีกทางของความรู้ด้านการเทรด มันมาจากการทดลองการวิจัย ตรงนี้อาศัยทักษะของการทำงาน การคิดเป็นระบบ อาศัยความรู้ด้านคอมพิวเตอร์(ระดับหนึ่ง) มันจึงไม่ใช่ ว่าไม่รู้อะไรเลยแล้วจะไปได้รุ่งไปได้ไกล ในยุคที่ต้องแข่งขันสูง แถมคนต้องแข่งกับพวก คอมพิวเตอร์(algorithmic trading) น้

Shkreli Shkreli

ถ้าพูดถึงผู้ชายที่คนเกลียดขี้หน้ามากที่สุด คนไม่พ้น hedge fund manager คนนี้ Martin Shkreli วัย 32 ปีประสบความสำเร็จมากจากการบริหารกองทุน และลงทุนในบริษัทยาและ Bio tech ก่อนเข้า take over บริษัทยา Turing Pharmaceuticals ขึ้นมาเป็น CEO และใช้นโยบาย ขึ้นราคายาDaraprim ไป 5,556% จาก $13.50 ไป $750 ข้ามคืน ยาที่สำหรับรักษาโรคเอดส์โดยเฉพาะกลุ่มหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื่อ ที่อยู่ในตลาดและใช้กันมานานกว่า 62 ปีที่ราคา $13.50 เนื่องจากบริษัทยาของเขา เป็นเจ้าเดียวที่ถือสิทธิบัตรการผลิตยาต้านไวรัสเอดส์ตัวนี้ ทำให้เกิดความไม่พอใจตามมา โดยทำให้ Shkreli ได้ประโยชน์จากมูลค่าของบริษัทที่พุ่งขึ้นไปมหาศาล จากรายได้การขายยาในราคาใหม่ Shkreli บอกว่านโยบายนี้เขาทำเพื่อบริษัทและหุ้นส่วนนักลงทุน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและมีผลประกอบการที่ดี ปัจจุบันถูก FBI จับกลุ่มข้อหา securities fraud ในภาพเป็นความกวนตีนที่ทำให้คนเกลียด ท่าทีการตอบคำถามต่อหน้าสภาครองเกส ที่เรียก Shkreli ไปให้ข้อมูลกรณีทุจริต ยังไม่พอหลังจบงาน Shkreli ยังออกมาทวิตเตอร์ เสียดสีคณะกรรมการของสภาครองเคส อีก เรียกว่าหมอนี้มันสุดๆจริงๆ ลอ

เมื่อไม่มีกลยุทธ์ใดดีที่สุด

มีคำถาม 2 คำถามที่ขอตอบรวมกัน เป็นโซลูชั่นเดียว คำถามแรกถามผมว่า แนวคิดการเทรด รวมถึงกลยุทธ์ในตลาดหุ้น มีเยอะจะรู้ได้ยังไงว่าอันไหน ดีไม่ดีใช้ได้หรือไม่ได้ คำถามที่สอง ถามผมประมาณว่าพี่คิดว่าใคร เป็นเซียนที่เก่งที่สุดในโลก อยากจะบอกว่าถ้าเราเป็น คนฉลาดเรียนรู้ อย่ารีบปฏิเสธแนวคิด ที่แตกต่างจากเรา ลองเรียนรู้ และปรับปรุง นำสิ่งดีๆมาใช้ ส่วนสิ่งหนึ่งที่ต้องทำให้ได้ คือต้องทดลองให้เป็น คิดวิเคราะห์ ชุดความคิด หรือกลยุทธ์ต่างๆที่นำเสนอออกมา ว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม อันไหนใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ ข้อมูลเชิงตัวเลขสถิติ มันจะบอกเราได้มาก กว่าคำโฆษณา หรือคำบอกเล่าปากต่อปาก พูดเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะต่างประเทศมีคนทำแบบนี้เยอะครับ แต่ส่วนมากคนทั่วไปเข้าไม่ถึง มีอันนี้ของ aaii ที่เปิดฟรีบางส่วน เราลองไปดูไอเดีย การทดสอบระบบและพิสูจน์กลยุทธ์ได้ มีทุกแนวทั้งการเทรด การลงทุน ไม่ว่าจะ Graham,O'Shaughnessy,O'Neil's CAN SLIM,Buffettology ,Murphy Technology หรือ Lakonishok ใครสนใจ ลองเข้าไปดูเป็นแนวทางได้ ถ้าอยากได้ผลการวิจัยละเอียดก็เสียเงิน สมัครเป็นสมาชิก ของ aaii เขาเ

2015 commodity performance table

หน้าตาเหมือนตารางธาตุเลย จริงๆแล้วมันคือ performance table ของ สินค้า commodity ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาถือว่า ปีที่ตกต่ำ แต่คนเทรดขาลงหรือ short นี่รวยนะ ลองดูในภาพกลุ่มถ่านหิน น้ำมัน ทองคำตลอด 5 ปี เรียกว่า ลบหนักและลบมากกว่าบวก กลุ่มขา short เลยค่อนข้างได้ผลตอบแทนดี แน่นอนว่าใครไปซื้อหรือเน้น long ก็เน่าไป แต่การตกต่ำต่อเนื่องนานๆ ก็ทำให้หลายคนลุ้นแสงสว่างปลายอุโมง ว่ามันจะมีโอกาส กลับคืนขึ้นมาได้หรือไม่ แต่อย่างว่าครับถ้า demand มันยังไม่กลับมา เศรษฐกิจประเทศบริโภคคอมโม อย่างจีน ยังไม่ฟื้น ก็คงไม่ง่ายจะเห็นราคาคอมโมดิดี้กลับมาเป็นขาขึ้นเหมือนอดีต (แต่จับตามมองอย่างใกล้ชิดก็ไม่เสียหาย)  ถ้าเทรดคอมโมดิดี้ จะพบ มันไม่ได้เหมือนอดีต ที่เป็นทรง cycle ชัด แต่ตลาดนี้กลายเป็น มีความผันผวน เปลี่ยนแปลงแบบปีต่อปี เช่นปี 2010 มีคนไม่น้่อยคิดว่า มันคือ วัฏจักรขาขึ้น จบขาลง เพราะ การโตของราคา แต่ไม่กี่ปีต่อมา ราคากลับชะลอและตกต่ำ ทำเอา หลายเทรดเดอร์ หลายกองทุน ปวดตับ ขาดทุนหนักกันไป ดังนั้นโมเดล อดีต ยุคก่อนปี 2000 ถ้าคิดจะเอามาใช้ในปัจจุบันกับ ภาวะตลาดคอมโม แบบนี้ คงต้องคิด วางแผนให้ดีๆ

Bonus Bonus

ได้โบนัสมาจะทำยังไง??? โบนัส นี่เป็นเครื่องมือการตลาดของโบรกเกอร์ เป็นตัวดึงดูดใจให้คนมาเปิดบัญชี และใช้เพิ่มความต้องการในการเทรด บางที่ให้ 100% ของ deposit ก็มี ส่วนใหญ่ถ้า เทรดเดอร์ใช้ไม่เป็น มันจะเป็นดาบสองคม ที่ทำให้ล้างพอร์ต เพราะไปคิดว่ามันเป็นเงินฟรี เป็นเงินที่ทำให้ over trading จริงๆถ้าจะใช้โบนัส บอกเลยว่า เริ่มต้นต้องไม่คิดว่ามันฟรี อ่านรายละเอียดข้อกำหนดดีๆ เพราะเขามีกำหนดเอาคืน แต่บางทีเราไม่ได้อ่านรายละเอียด อีกประการ บางคนเทรดเยอะ หรือเอาไปเทรดแล้วติด พอถึงเวลาโบรกเกอร์ดึงโบนัสคืน เจอ margin level ตกต่ำ ถูก stopout หรือบังคับปิดได้อีก  ดังนั้นถ้าจะเอามาใช้ แนะนำให้ใช้ทำ Buffer ในกระสุนสำหรับเทรด อย่าใช้เป็นกองหลัก หรือถ้าจะใช้ให้ใช้แบบประหยัด เช่นถ้าได้มา $1000 ก็ใช้เทรด ไม่เกิน 0.05 หรือคิด leverage ต่ำไม่เกิน 1:50 ก็พอ ถ้าใช้เป็นมันก็จะมาช่วยเสริมประโยชน์ให้เรามากขึ้นครับ และนำมาใช้สร้าง cashflow ให้เป็นเงินเริ่มต้นได้อีก ตัวอย่างผมได้ bonus มา 100% แทนจะเอามาเทรด ผมเอามันมาทำ buffer เป็นกระสุนสำรอง ไว้ยิง scalping สั้นๆ พอเก็บได้สัก 20% ก็ไม่ใช้เทรด รอคื

กรณีศึกษาโอปร้า เอฟเฟค

โอปร้า นี้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลจ ริงๆ หลังเข้ามาถือหุ้น Weight Watchers International Inc เธอสามารถสร้าง story ให้หุ้นตัวนี้ได้ต่อเนื่อง ล่าสุดแค่tweet เบาๆว่าเธอลดน้ำหนักจากการก ินขนมปังทุกวัน แต่ยังลดได้ 26 pounds จากการเข้าร่วมโปรแกรมลดน้ำ หนักของ Weight Watchers  หลังจากนั้น 1 ชม. ราคาหุ้นพุ่งพรวดรับ story กระแสการโฆษณาของเธอทันที โดย WTW ปิดบวกไป 19.5% ราคาหุ้นที่วิ่งนี่ทำให้มูล ค่าหุ้นเธอพ ุ่งไป $12 million เนาๆ โอปร้าเธอถูกดึงเข้ามากู้สถ านการณ์ของ Weight Watchers ตอนเดือน ตุลาคมปีที่แล้ว ตอนนั้นราคาหุ้นลงไป 7$ ลงมาจากจุดสูงสุดแถวๆ 80$ เธอใช้เงิน $43 million ซื้อหุ้น 6.4 ล้านหุ้นจากบริษัทตอนนั้นรา คาประมาณ $6.79 ต่อหุ้นรวมมีหุ้น 10% โดยได้ทั้งสิทธิoptionsซื้อ หุ้นในราคาถูกราว 3.5 ล้านหุ้นของบริษัท จากนั้นเธอเข้าร่วมเป็นบอร์ ดบริหาร ขณะที่บริษัท ได้แบรนด์ และอิทธิพลเชิงโฆษณาของเธอ มาเสริมการตลาด กู้การตกต่ำอย่างหนัก ดูเหมือนจะคุ้มค่า เพราะหลักจากเธอเข้ามาเป็นบ อร์ดบริหาร ราคาหุ้นวิ่งจากโซน $7 ขึ้นมาที่ $13.6 ปรับตัวมาต่อเนื่อง เรียกความมั่นใจให้ผู้ถือหุ ้นได้มาก แม้ราคายังห่างจา

Mr. Perfect

คนประเภทหนึ่งที่ยากจะประสบความสำเร็จในตลาดเก็งกำไร คือคนที่พยายามจะ ถูกทุกครั้ง สมบูรณ์แบบทุกครั้ง(Mr. Perfect) เพราะการที่จะเกิดอะไรแบบนั้นมันยาก เนื่องจากเราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ แม่นยำ100% ความผิดพลาด ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว เราควบคุมความเสียหาย(risk management) และเรียนรู้จากมัน จนสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิด ได้ดีในอนาคต เพียงเท่านี้แม้จะไม่สามารถถูกต้องได้ทุกครั้ง แต่โอกาสที่เราจะอยู่รอดในตลาดได้ก็มีสูงแล้วครับ

หัวใจของระบบเทรด

ทำระบบเทรดมันเป็นงานเป็นซั บซ้อนนะครับ อย่าไปเข้าใจว่ามันง่าย ไม่ใช่เอา indicator 4 5 ตัวรวมๆกันบอกเป็น system แล้วจบ  บางระบบคิด พัฒนา algorithm และทดสอบกันเป็นปีก็มี เพราะระบบเทรด หัวใจมันคือเครื่อง มือ สนับสนุนการตัดสินใจซื้อขาย เรา แม้มันไม่ใช่จอกศักดิ์สิทธิ ์ หรือลูกแก้ววิเศษที่เดาอนาค ตได้  แต่การที่มันทำงานได้อย่างม ีประสิทธิ์ภาพ สอดคล้องพฤติกรรมราคา และเราสามารถใช้ค่าความน่าจ ะเป็น(%loss) มาวางแผนกา รบริหารความเสี่ยงได้นั้น มันทำให้เราสามารถอยู่รอดใน ตลาดระยะยาวได้ ดังนั้นการพัฒนาระบบเทรด โดยเฉพาะกระบวนการทดสอบต้อง ทำอย่างละเอียด ได้มาตรฐานและ มีกระบวนการที่ขจัด error ต่างๆออกไป ตัวอย่างภาพ ผมทดสอบระบบ momentum trading ทดสอบได้ค่า แล้วเอามา run ตัว optimization ด้วย monte carlo simulation อีกหลายพันรอบ เพื่อหาค่าทางสถิติสุดท้าย ก่อนนำไปใช้ ทดสอบเทรดจริงต่อไป ส่วนถ้าจะทำระบบขั้นสูง  เรื่องแนว Quant ผมไม่ค่อยพูดถึงมากเพราะ เบืองหลังมันเป็น math และการ programming เยอะ บางทีมันต้องอาศัยพื้นฐานความรู้อื่นๆเยอะประกอบ แต่ถ้ามีโอกาสจะเอา เบื้องหลังการทำงาน ทำระบบจริงๆมาแนะนำต่อไ

5 key to success Van K. Tharp

ถ้าพูดถึงเรื่อง จิตวิทยาการเทรด ต้องยกให้ Dr Van K. Tharp เป็นแนวหน้าของวงการอีกคน ที่มีบทความมีงานวิจัยดีๆเร ื่องนี้ออกมาเผยแพร่ตลอด  สัปดาห์นี้ผมจับเรื่องของ Dr Van K. Tharp มานำเสนอ โดยเรื่องของ ราคา และ อารมณ์  รวมถึงนำเอาเทคนิคการสร้างค วามสำเร็จในการเทรด โดยเฉพาะการพัฒนาความแข็งแก ร่งทางจิตวิทยา เข้าไปชมได้จาก link ครับ  https://www.youtube.com/ watch?v=gg0xZ_ehSV4

Lessons From Ray Dalio

แนวคิดคุณ ray dalio ตำนาน Hedgefund คนสำคัญ เรียนรู้เรื่องของเส้นทางอา ชีพ แนวคิด และกลยุทธ์การเทรด  รวมถึงบทเรียนคำสอน ด้านการดำเนินชีวิตและการพั ฒนาตัวเองเข้าชมได้ที่  https://www.youtube.com/ watch?v=RUpHq-1RFOU

Crude WTI vs Brent

เมื่อเช้ามีคำถามว่า "Crude WTI และ Brent ราคามาบรรจบในโซนเดียวกัน" มีนัยยะอะไร  ขอตอบคราวๆ ตามนี้ ปกติ กลุ่ม WTI และ Brent เป็น Sweet crude ทั้งคู่โดยในอดีตเลย ราคาจะห่างกันไม่มาก spread จะแคบไม่กี่เหรียญ(+/-5) โดยปกติ WTI คุณภาพและความเบาจะดีกว่า เลยแพงกว่า  แต่จุดเปลี่ยน ที่ทำให้ Brent crude oil ราคามาแพงเหนือกว่าได้ มากกว่าค่าเฉลี่ย ก็เพราะในช่วงปี 2011 เกิดประเด็น ดีมานด์น้ำม ันในอเมริกาลด ทำให้เกิด surplus หรือปริมาณน้ำมันส่วนเกินใน คลังสำรองที่ Oklahoma บวกกับตอนนั้นมีประเด็นวิกฤ ติที่ลิเบีย ทำให้ supply น้ำมันยุโรป ลดลง  ตรงนี้ทำให้ Brent แพงขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นไป ลองดูภาพ spread ประกอบ (เชิงการเทรด เทรดเดอร์สาย Quant จะทำการเทรดแบบ arbitrage หรือเทรดแบบ Long WTI short ฺBrent สองตัวนี้คู่กันมาตั้งแต่ช่ วงความไม่แน่นอนตอนนั้นอาจจ ะต้องเปลี่ยนโมเดล) ที่มันมาน่าสนใจในปี 2015 นี่คือ ราคาสองตัวทั้ง WTI และ Brent ลงต่ำสถิติรอบหลายปี ทำ new low และสำคัญสหรัฐมาแก้กฏหมายให ่ส่งออกน้ำมันได้ (ตรงนี้ไม่มีข้อมูลราคาและป ริมาณการส่งออกไปยุโรป) แต่ข่าวมันก็เข้ามากดดันทำใ ห

How To Survive The Trading Game

วันนี้ lecture เรื่อง How To Survive The Trading Game หัวข้อ วิเคราะห์ผลการแข่งขันการเทรด การเอาชนะตลาดด้วยการบริหารเงินและความเสี­่ยง กลยุทธ์เอาตัวรอดในตลาดเก็งกำไร เข้าเรียนได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=T39ZWmF5uYk

มาทำ trader diary กันเถอะ

ข้อดีของการบันทึก การจด diary มันทำให้เราได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมา ประสบการณ์มันเป็นองค์ความรู้ชั้นดีที่สอนเรา ผมเห็นโพสนี้ในเฟสบุ๊คก็ กลับไปเปิดสมุดจด ตอน 4 ปีแล้วดู  ผมบันทึกทั้งพฤติกรรมราคา และอารมณ์ตลาดไว้ครบ เชื่อไหมตอน 4 ปีที่แล้ว นั้นลงจาก zone แนวจุดสูงสุดใหม่ๆแถว 1700 ก็ไม่มีใครเชื่อ หรือ เดาได้ว่าวันนี้ มันจะถดถอยต่อเนื่อง ลงมาหลุด 1080  คนส่วนใหญ่เชื่อว่าทองไม่มีทางลง หรือกลับไปถูกต่ำเหมือนอดีตได้ ทองเป็นสิ่งมีค่าหายาก ดอลลาร์เป็นแบงค์กระดาษแบงค์กงเต๊ก มีแต่คนเชียร์ให้ซื้อทอง ยกทฤษฏี ที่แต่งบนความเชื่อต่างๆนานามาสนับสนุนความคิด ใครถัวเฉลี่ย martingale หรือว่า over trade คิดว่าต่ำรีบ allin ซื้อตามแรงเชียร์ของ เซียนต่างๆ จุดจบเดียวกันหมดคือล้างพอร์ต ขาดทุน  สุดท้ายผ่านมา 4 ปี ราคาเฉลย คนจำนวนมากขาดทุนจากทอง ขาดทุนความความเชื่อ เอาเรื่องนี้มาเป็นบทเรียนเพราะอยากสอนให้เห็นว่า ไม่มีใครเดาอนาคตได้ ผมเองก็เดาไม่ได้  แก่นสำคัญคือ การบริหารความเสี่ยง การไม่รู้อนาคตนี่คือความเสี่ยง ควร เทรดไปตามที่เห็นไม่ใช่ เทรดไปตามที่คิดอยากให้มันจะเป็นอย่างเดียว

Advance Quant

การจะทำ Quant หนีไม่พ้นเรื่องของ คณิตศาสตร์และสถิติ ส่วน โปรแกรมใช้วิเคราะห์ระบบ เป็น develop toolkit ชื่อ pyfolio ตัวนี้ advance และคนทำต้องซีเรียส Quant เล่นกับโมเดลเชิงเลขจริงๆ และใช้ python  (โปรดอย่าถามว่าทำยังไง ใช้ยังไง มันยากเกินจะตอบสั้นๆจริงๆ) ถ้าเขียนโปรแกรมไม่ได้ ไม่รู้ advance stat เราสามารถทำการทดสอบระบบแบบทำมือ manual excel ง่ายๆก็ได้ ประเด็นไม่ใช่เรื่องของ ความแฟนซีหรือขั้นสูง  ถ้าเราไม่ได้ทำ quant ไม่ได้ทำอะไรยากเป็นเทรดเดอร์ ธรรมดา ก็ excel spreadsheet ง่ายๆก็ได้เช่นกัน หาให้ได้ ว่ากลยุทธ์ที่ใช้มีความน่าจะเป็น มีความเชือ่มั่นเท่าไหร่เป็นพอ  การทดสอบระบบ สำคัญอย่างที่บอกไปจะได้เอา %loss ไปวางแผน money management และ risk management ต่อ

ระบบเทรดไม่ได้ทำง่ายอย่างที่หลายคนคิด

ทำระบบเทรดมันเป็นงานเป็นซับซ้อนนะครับ อย่าไปเข้าใจว่ามันง่าย ไม่ใช่เอา indicator 4 5 ตัวรวมๆกันบอกเป็น system แล้วจบ บางระบบคิด พัฒนา algorithm และทดสอบกันเป็นปีก็มี เพราะระบบเทรดมันคือเครื่องมือ สนับสนุนการตัดสินใจซื้อขายเรา แม้มันไม่ใช่จอกศักดิ์สิทธิ์ หรือลูกแก้ววิเศษที่เดาอนาคตได้ แต่การที่มันทำงานได้อย่างมีประสิทธิ์ภาพ สอดคล้องพฤติกรรมราคา และเราสามารถใช้ค่าความน่าจะเป็น(%loss) มาวางแผนการบริหารความเสี่ยงได้นั้น มันทำให้เราสามารถอยู่รอดในตลาดระยะยาวได้ ดังนั้นการพัฒนาระบบเทรด โดยเฉพาะกระบวนการทดสอบต้องทำอย่างละเอียด ได้มาตรฐานและ มีกระบวนการที่ขจัด error ต่างๆออกไป ตัวอย่างภาพผมทดสอบระบบ momentum trading ทดสอบได้ค่า แล้วเอามา run ตัว optimizationด้วย Monte carlo simulation อีกหลายร้อยรอบ เพื่อหาค่าทางสถิติสุดท้าย ก่อนนำไปใช้ ทดสอบเทรดจริงต่อไป

ไม่จำเป็นต้องเดา

มีคนติดต่อมาขอสัมภาษณ์เรื่อง มุมมองและทิศทางตลาด ผมตอบปฏิเสธไปอย่างสุภาพ ด้วยเหตุผลง่ายๆที่ว่า ผมไม่สามารถไปทำนายทิศทางตลาดได้ จริงๆ เทรดทุกวัน เทรดมาหลายปี ก็ไม่เคยเดา ตัดสินใจจากปัจจุบันและเทรดตามระบบเท่านั้นเอง อันนี้ตอบด้วยความสัจจริง เพราะผมไม่รู้หรอกว่า พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้าตลาดจะเป็นยังไง เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ใน มือ คนคนเดียว มันมีหลายผู้เล่น(ขนาดใหญ่) หลายปัจจัยเป็นตัวกำหนด นำมาซึ่งกลยุทธ์การซื้อขาย ที่แตกต่างหลากหลายกัน จนซีนาริโอ ของผลลัพธ์มันมีมากกว่าหนึ่ง และยากจะคาดเดา หรืออนุมานให้ถูกแม่นยำ เพื่อเป็นแนวทางให้คนอื่นได้ ผมจึงไม่เดาตลาด เอาภาพนี้มาประกอบ เดียวมีโอกาสจะเขียนบทความขยายความให้ ว่า ในการเคลื่อนที่ของราคา มี player เขามาปฏิสัมพันธ์กันมากหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีทรัพยากร มีมุมมอง มีกลยุทธ์ มีเป้าหมาย มีการจัดการความเสี่ยง แตกต่างกัน มันจึงทำให้ คนคนเดียว ไม่สามารถไปคาดเดา เกมส์สุดท้ายที่จะเกิดได้ สุดท้ายเมื่อรู้ตัวเองว่าเดาไม่ได้ ก็ไม่อยากเสียเวลาไปเดา เพราะยิ่งเดา ยิ่งทำให้ยึดติดกับสิ่งที่เราอยากให้ตลาดมันเป็น ยิ่งพยายามหาเหตุผล หาทฤษฏีมาทำให้คน

Stoploss Hunting Vs Stealth Mode

วันนี้มาบันทึกประเด็นสนุกๆที่ได้สนทนากับ นักเก็งกำไรท่านหนึ่ง ทาง line สิ่งที่น่าสนใจคือ พี่ท่านนี้มีปัญหาเรื่อง stoploss คือ วางทีไร โดนกินทุกที เล่นกันเอา พารานอยด์ จิตตกกันไป และแพะก็กลายเป็น stoploss hunting ที่เป็นเหยื่อของนักเก็งกำไรเกือบทุกคน ที่เสีย stoploss ทั้งที่จริง กลยุทธ์การทำ stoploss hunter เป็นอะไรที่ ไม่ได้เกิดบ่อยๆ แถมทำมากๆทำมั่วๆโดนจับได้ ครั้งไม่ใช้ไม่มี ไม่วาง stoploss ก็โดนลาก ล้างพอร์ต ไปเช่นกัน stoploss หรือการหยุดขาดทุนมันเป็นเรื่องของการควบคุมและจัดการความเสี่ยง รูปแบบหนึ่ง ถ้ามีความรู้มีวิธีอื่นๆที่เหมาะสมกว่าก็ใช้แบบนั้นก็ได้ เพราะอย่างผมเคยบอกไป manage loss มีหลายวิธี เช่นการทำ hedging หรือการทำการจัดการความเสี่ยงจาก loss รูปแบบต่างๆ(แน่นอนต้อง require วิธีการที่ซับซ้อน และมีเงินทุนที่เพียงพอ) stoploss เป็นอะไรที่สะดวกและง่าย แต่การใช้งานให้เกิดประโยชน์ ต้องเข้าใจพฤติกรรมของราคา การวาง stoploss ให้ dynamic ยืดหยุ่นและเข้ากับสถานการณ์นี่เป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะปัจจัยเรื่อง volatility ที่มีบทบาทมาก ต่อความสำเร็จ (ขอละประเด็นนี้ไว้อนาคต จะมาสอนต่อไป) Sto

inside the box

ไปกิน KFC ได้ยินเด็กจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ 2 คนกำลังปรึกษาหาทางซื้อไอโฟน 6 กัน ดูแล้วเคร่งเครียดเพราะเงินเดือนทีไ่ด้ไม่มาก แถมถ้าออมเงินกันจริงจัง ก็คงได้ซื้อแล้วใช้ไม่นานรุ่นใหม่ออกพอดี ได้ยินไอเดียสุดท้ายที่สองคนนั้นเห็นตรงกัน ก็คือไปจบที่บัตรเครดิตและบัตรกดเงินสด เข้าสู่วงจรหนี้เพื่อสนองตันหากันต่อไป เรื่องของเด็กรุ่นน้องสองคนนี้ทำให้ผมนึกถึง ข่าวที่อ่านเจออันหนึ่ง ของ Brandon เรียนจบได้เข้าทำงาน google เขามองว่าเงินค่าเช่าบ้านที่ถูกสุดของบริษัท ราคา 65 เหรียญต่อคืน หรือเดือนละเกือบ 2,000 เหรียญ แถมการเป็น Software Engineer มนุษย์ทองคำ เวลาอยู่ในห้องแทบจะไม่มี สิ่งทำคือใช้นอนอย่างเดียว เขาเลยเริ่มปฏิบัติการประหยัดเงินด้วยการ ซื้อรถบรรทุกมือสอง Ford ปี 2006 ราคา $10,000 ที่มีตู้บรรทุก มาดัดแปลงทำเป็นห้องส่วนตัว พร้อมเตียงนอน แล้วนำมาจอดนอนที่ลานจอดรถของบริษัทซะเลย ส่วนการอาบน้ำ หรือเข้าห้องน้ำก็ใช้ของบริษัทที่เปิดบริการตลอด 24 ชม.อยู่แล้ว ไฟฟ้าใช้แบตเตอรี่ อาหารก็กินฟรี 3มื้อที่โรงอาหาร เขามีรายจ่ายเดือน $121 สำหรับค่าประกันรถ ที่น่าสนใจคือ กว่าจะเรียนจบ 4 ปีเขาเป็นหนี้ถึง 22,434 เหรียญ

ยิ่งมากยิ่งมึน

ทุกวันนี้เราอ่านข่าว อ่านรายงานมากเกินไปหรือเปล่า ??? บางครั้งการเสพ สิ่งเหล่านี้มากมายเกินไป มันมีผลโดยตรงต่อการคิดการตัดสินใจของเราเสมอ โดยเฉพาะเรื่องจิตวิทยา โดยเฉพาะถ้าข่าวนั้นมันตรงข้ามกับความคิดความเชื่อของตัวเรา หรือบางข่าวมีความไม่ชัดเจน(ก่อให้เกิดการสับสน)และเกินจริงมากไป อ่านเยอะไปก็ใช่ว่าจะดี ดังนั้นผมว่า เราไม่จำเป็นต้องอ่านข่าว อ่านบทรายงานให้ครบ ทุกฉบับ ทุกคอลัมภ์ ก็ได้ เอาพอดีๆเลือกที่เราคิดว่ามีความน่าเชื่อถือ เน้นคุณภาพในการอ่านการทำความเข้าใจ มากกว่าการไปเน้นปริมาณ แบบรู้ทุกเรื่อง สิ่งที่สำคัญคือ อย่าพยายามเชื่อ สิ่งที่รับ มาโดยปราศจากการไตรตรอง หรือคิดตามก่อนเสมอ  สุดท้ายจะตัดสินใจซื้อหรือขาย ก็ต้องมีแผนรับมือความเสี่ยง(risk management) เอาไว้ตลอด จะได้อยู่รอดปลอดภัย ลองเน้นคุณภาพ ลดประมาณ หาทางสายกลางให้เจอครับ

Recovery Factor

หัวใจของการทำระบบ ไม่ว่าจะซับซ้อนแค่ไหน เบื้องต้นต้องคุม risk ให้ได้ก่อนไปเร่ง profit ถ้าคุม risk ไม่อยู่แล้ว Drawdown(DD) มันโตเรื่อยๆ ระบบจะลำบาก เราละเลยไม่ได้ ต้อง monitor ตลอดเหมือนดู equity นั้นแหละ ลองวางแผนจัดระดับจุดวิกฤติเอาไว้ เช่นของผมจะใช้ 20% ถ้าเกินผมจะปรับ money management ใหม่ จะลด position size ผ่อนทันที และปรับ Stoploss ให้เหมาะเก็บกำไรไปเรื่อยๆ จนกว่า wining rate มันจะดีขึ้น ค่า DD มันเริ่มเปลี่ยน แล้วค่อยมาลุย เกมส์รุกใหม่ ตรงนี้จะเห็น ผมเอา Drawdown เหมือนตัวคุมหางเสือ จากนั้นดูสถิติของ win/loss ratio ประกอบ ถ้าผลงานไม่ดีแถม Drawdown โต บวกถ้าเจอ consecutive loss เยอะ แบบนี้หยุดเลย ออกมาทบทวนก่อน ถ้าเราไม่คุม DD ให้ดี ยามเจอหนักๆ โดนอัดมากๆ หรือมี consecutive loss มากไม่นานอาจจะล้างพอร์ตได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ robot เทรดมันเร็วมาก อาจจะลองนำค่า Recovery Factor มาใช้ประกอบโดย Recovery Factor = Netprofit / MaxDD ไม่ว่าจะเทรดกลยุทธ์อะไร Trend following ,Momentum trading , Swing trading หรือ Grid แก่นการอยู่รอด อยู่ตรงนี้ ถ้าระบบ คุมภาวะสมดุลของการ สร้างกำไร และการสูญเสีย