ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

จุดบรรจบของเทคนิคคอลและพื้นฐาน C-A-N-S-L-I-M # 2

ตอนที่สอง ผมจะกล่าวถึงเทคนิคการลงทุนแบบ C - A - N - S - L - I - M ของคุณ วิลเลียม โอนิล (William O’Neil) ปรมาจารย์ด้านการลงทุนของโลกอีกท่าน ผมชอบเทคนิควิธีนี้เพราะเป็นการผสมผสานทั้งเรื่องของปัจจัยพื้นฐาน การเติบโตของธุรกิจ บวกกับการพิจารณาแนวโน้มราคาหุ้นและแนวโน้มตลาด ควบคู่กันในการลงทุน ผมนำเอาเทคนิคนี้มาประยุกต์และใช้ในการลงทุนระยะยาวของตัวเอง  โดยประยุกต์เอาแนวคิดและเทคนิคบางอย่างใส่ลงไปด้วย เพื่อให้เหมาะกับสภาวะตลาดหุ้นบ้านเราและเหมาะกับจริตการลงทุนของตัวผมเอง สิ่งที่เขียนในหัวข้อนี้เป็นเพียงตัวอย่างการประยุกต์เท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว เพื่อนๆสามารถศึกษาหลักการของ C - A - N - S - L - I - M ให้เข้าใจและลองนำไปประยุกต์ใช้ดูครับ C - A - N - S - L - I - M ประกอบด้วยตัวแปรที่ต้องพิจารณา 7 ตัวได้แก่  1. C= Current quarterly earnings per share. 2. A = Annual earnings per share. 3. N = New product/management/price high. 4. S = Supply/Demand: Small Cap + Volume 5. L = Leader 6. I = Institutional Sponsorship 7. M = Market Direction โดยจำแนกปัจจัยหลัก 5 ด้านคือ งบการเงิน,สภาพคล่อง,ผลิตภัณฑ

จุดบรรจบของเทคนิคคอลและพื้นฐาน C-A-N-S-L-I-M # 1

ผมเป็นนักลงทุนแนวเก็งกำไร เป็นเทรดเดอร์ชื่นชอบการทำกำไรตามรอบกำลังของหุ้น แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องทำทุกวันก็คือการติดตามราคาหุ้นเป้าหมาย(ไม่ใช่การขวนขวายซื้อขายหุ้นทุกวัน) ใน watch list ทุกวันต้องดูกราฟวันละหลายรอบต่อตัว สิริแล้วก็เป็นร้อยต่อวัน และหลาย time frame เพื่อคำนวณความน่าจะเป็นและหาจังหวะเข้าซื้อขาย สิ่งที่ทำไม่ใช่งานที่สบาย นั่งชิวๆและได้เงินเหมือนที่หลายคนเข้าใจครับ การลงทุนระยะสั้นแบบเก็งกำไร หรือใช้คำว่าเล่นหุ้น เป็นอะไรที่ใช้เวลาและความพยายามค่อนข้างมาก สำหรับผมมันคือการเอาใจใส่อย่าใกล้ชิดกับปัจจุบัน เพื่อหาจังหวะที่ดีที่สุด ที่จะสร้างผลกำไรในรอบนั้นให้เรามากที่สุด ดังนั้นมันจึงห่างไกลกับคำว่า "อิสระภาพ" หรือการปล่อยให้เงินทำงาน สร้างรายได้เข้ามาอย่างเพียงพอและตัวเราก็สามารถไปประกอบอาชีพหรือทำอย่างอื่นที่ต้องการได้ โดยปราศจากการความกังวลเรื่องราคาหุ้น เรื่องผลตอบแทน แต่เมื่อใดก็ตามที่เรายังต้องวิเคราะห์และติดตามราคาหุ้นมันตลอดนั้นก็หมายถึงเรายังต้องทำงานกับมัน ยังติดอยู่กับกรอบอีกกรอบหนึ่งแทน คำถามที่ตามมาคือ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วจะมาเทรดหุ้นเก็งกำไรให้เหนื่อยทำไม?

ความไม่แน่นอน

ความไม่แน่นอน คือ สัจจะธรรมหนึ่งของชีวิตที่ผมเองพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง ชีวิตผมเองก็เคยผ่านความไม่แน่นอนหลายอย่าง หลายครั้งที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต บางเหตุการณ์เกิดขึ้นจากปัจจัยอื่นๆรอบตัวที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หรือไม่ก็เป็นผลจากเหตุในอดีตที่เรากระทำไว้ แต่เมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้ว คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปปฏิเสธหรือร้องโหวกเหวกโวยวายไม่ยอมรับมัน สิ่งหนึ่งที่ทำได้คงเป็นการยอมรับความจริง ยอมรับในความไม่แน่นอนและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ความไม่แน่นอน มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเราจะพยายามจัดการ จัดระเบียบแบบแผนอย่างไรมันก็ย่อมจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งจะได้ยินมาเป็นเรื่องราวของพี่คนหนึ่งซึ่งร่วมงานกันมานาน ที่ต้นเดือนยังเดินสายแจกการ์ดงานแต่งงานลูกสาวให้เพื่อนๆและคนรอบข้าง แต่แค่ผ่านไปสองสัปดาห์เรื่องราวที่ไม่คาดผันก็เกิดขึ้น เมื่อลูกสาวเธอประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จากงานแต่งงานก็กลายเป็นงานศพ จากการ์ดสีชมพูกลิ่นหอมกลายเป็นการ์ดสีขาวดำ ลวดลายโศกเศร้า ความไม่นอนก็เล่นตลกกับชีวิต ทำเอาปรับตัวเกือบไม่ทัน ชีวิตมีความไม่แน่นอน ไม่เที่ยงเป็นพื้นฐานดังนั้นการยึด

ต้องรอดเท่านั้น

ชอบคำอุปมาอุปมัยของพี่คนหนึ่งมาก ที่เปรียบ "ตลาดหุ้นเหมือนสนามรบในสวนสนุก" เพราะภาพจากภายนอกของคนที่สนใจ มักจะมองตลาดหุ้นสวยงามเกินกว่าความเป็นจริงเสมอ เพราะภาพของตลาดทุนที่มีเม็ดเงินสะพัดวันเป็นหมื่นล้าน มันจะยากแค่ไหนที่จะหลุดมาเป็นของเราสัก 1000 -10000 บาทต่อวัน(ได้ทุุกวันก็ไม่ต้องทำงานประจำแล้ว) แมงเม่าหน้าใหม่วัยกระเตาะต่างเคลิบเคลิมกับภาพลักษณ์ กับคำเชิญชวนให้ก้าวย่างเข้ามาในตลาดหุ้น เปรียบดั่งการเดินเข้าสวนสนุกของเด็กๆ ที่แค่ก้าวแรกที่ย่างเข้ามาก็จินตนาการไปถึงความสุข ความสนุกและความสมหวังอย่างเปลี่ยมล้นไปแล้ว ยิ่งก้าวแรกเจอการบิ้วอารมณ์ให้โลภ ให้อยากเทรด อยากทำกำไร บวกกับการได้กำไร เล็กๆน้อยสลับขาดทุน บวกกับผู้หวังดีที่มีหุ้นเด็ดๆมาฝากทุกวัน เห็นคนโน้นคนนี้กำไรกัน จิตใจแมงเม่าหน้าใหม่ก็เริ่มผันผวน สนุกไปกับหุ้น สนุกกับการได้ๆเสียๆ ยิ่งเมามันกับการซื้อๆขายๆเพราะความโลภ ความกลัว จนหุ้นได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่แม้แต่เวลากิน เวลานอน คุณก็ต้องนึกถึง และยิ่งบวกกับการขาดทุนหนักๆมันยิ่ง กัดกินจิตใจของเราไปเรื่อยๆ แต่พอรู้ตัวอีกทีอาจจะผ่านไปปีสองปี จะพบว่าของจริงนั้นหนั

ตลาดหุ้นไม่ใช่ตู้ ATM

หัวข้อข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งที่แสดงงานวิจัยของ มายด์แชร์เอเชียแปซิฟิคสาขาสิงคโปร์ โดยสำรวจจากกลุ่ม Gen Y ทั่วโลกและในประเทศไทย พบว่า Gen Y ไทยเด่นนักสร้างสรรค์ จำนวนมากมีทัศนคติของการไม่ต้องการเป็นลูกจ้าง พบอีกว่า GenY หลายคนสนใจเล่นหุ้นจำนวนมาก และหลายคนมีเงินฝากเกิน 10 ล้านบาทในขณะที่อายุยังไม่ถึง 30 ปี อ่านแล้วก็ยังงงครับว่า GenY 10 ล้านก่อนอายุ 30 ปีในเมืองไทยมีมากขนาดไหน และที่ได้มาจากการประกอบธุรกิจ การเล่นหุ้น หรือมาจากมรดกของที่บ้าน แต่ที่แน่แท้และที่ผมเองประสบกับตัวคือ GenY กลุ่มอายุ 16-29 ปี สนใจเล่นหุ้นมากจริงๆ วัดได้จากคำถามจากทาง email และจากหน้าเพจที่น้องๆกลุ่มนี้ถามมาเยอะมาก แน่นอนว่าอาจจะด้วยความหอมหวานของเม็ดเงิน หรือได้เห็นภาพโฆษณาขายฝันว่าเป็นการทำเงินที่ง่ายๆไม่เหนื่อย ทำให้คนกลุ่มนี้เรียนจบมหาวิทยาลัย ไม่อยากทำงานประจำไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ไม่ได้มุ่งหน้าหางานทำ หรือประกอบธุรกิจแต่กับมุ่งหน้าเข้าหาเงินในตลาดหุ้นแทน โลกความเป็นจริงมันไม่มีอะไรง่ายแบบนั้น ส่วนมากคนที่ชักชวนเราให้คนเข้ามามักฉายภาพการลงทุนแบบมีหลักการ ฉายภาพความหวัง ความฝัน ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่าง

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 2

ตอนที่สองนี้ผมขอนำเอากลยุทธการเล่นโป๊กเกอร์มายกตัวอย่างเพื่อให้ได้เห็นภาพของการเล่นจริง ปกติอย่างที่ผมกล่าวอยู่เสมอการเล่นหุ้นและการเล่นโป๊กเกอร์ถ้ามีระบบ เข้าใจความเสี่ยงไม่เล่นไปตามอารมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นการพนันแต่อย่างไร โป๊กเกอร์และหุ้นเก็งกำไร จะชนะได้แบบยั่งยืนผู้เล่นต้องเข้าใจเรื่องความน่าจะเป็นและมีความอดทน เพื่อรอทำกำไรหรือสร้างผลตอบแทนในช่วงเวลาที่ได้เปรียบ กล่าวคือถ้าเป็นหุ้นก็คือการเล่นเสี่ยงบนแนวโน้มขาขึ้น ปล่อยให้กำไรเกิดตามแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของราคา ถ้าเป็นโป๊กเกอร์ก็คือการที่เรากล้าเสี่ยงการเพิ่มเดิมพันเมื่อไพ่ในมือและไพ่บนโต๊ะจับคู่ออกมาดี มีความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง และรู้จักหมอบเมื่อเห็นโอกาสที่จะแพ้ กลยุทธพื้นฐาน หลักการดังที่ผมอธิบายไปแล้ว ต้องอดทนรอไพ่ที่ดี ผมขอสรุปกลยุทธพื้นฐานที่ดังนี้  1. ประเมินไพ่สองใบที่ได้รับ ถ้าหน้าไพ่สูงมีโอกาสดี เช่นอาจจะเกิดตอง อาจจะเกิดฟลัช(Flush) อาจจะเกิดคู่สูง หรือสเตรท เป็นต้น เราก็สามารถ Call หรือวางเดิมพันเพื่อดูไพ่และเล่นต่อไป ถ้าไพ่ต่ำความน่าจะเป็นน้อยก็ควรหมอบ 2. เมื่อไพ่สามใบ กลางโต๊ะออก ให้ประเมินความน่าจะเป็นของไพ่ที่เหนือกว่า

โป๊กเกอร์กับการเล่นหุ้นเก็งกำไร 1

เอ่ยถึงโป๊กเกอร์หลายคนอาจจะเบือนหน้าหนี เพราะคิดว่าผมกำลังจะมาสอนเรื่องการพนัน แต่แท้จริงแล้วผมอยากแนะนำการฝึกหัดทักษะการเล่นหุ้น ด้วยไพ่โป๊กเกอร์ให้เพื่อนๆได้รู้จักมากกว่า เพราะโป๊กเกอร์นั้นเป็นเกมส์การพนันที่ต่างจากการพนันทั่วไปที่อาศัยดวงในการชนะ เช่น หวย ไฮโล รูเล็ต สล็อต เป็นต้น ด้วยโป๊กเกอร์นั้นต้องอาศัยทั้งทักษะการคำนวณความน่าจะเป็น, จิตวิทยา และการบริหารจัดการเงิน ดังนั้นถ้าอยากเล่นหุ้นเก็งกำไรให้ดีและเก่ง โป๊กเกอร์ก็เป็นอีกตัวเลือกที่สามารถช่วยพัฒนาทักษะทั้ง 3 ของเราได้เป็นอย่างดี โป๊กเกอร์ เป็นเกมส์ไพ่ที่ไม่ซับซ้อน แจกไพ่ให้ผู้เล่น 2 ใบและไพ่กองกลางอีก 5 ใบ จากนั้นจับคู่ 5 ใบของใครใหญ่กว่าก็ชนะไป เกมส์ที่ต้องต้องอาศัยไหวพริบ การวางแผน การหลอกล่อ และการอ่านจิตใจของคู่แข่ง ผ่านสีหน้า ท่าทาง และคำนวณความน่าจะเป็นโอกาสที่ชนะ รวมถึงกลยุทธการจัดการเงิน การวางเดิมพันที่จะสร้างผลประโยชน์ให้เราได้มากที่สุด เข้าสโลแกนคือถ้าไพ่ดีชนะต้องได้กำไรที่สมน้ำสมเนื้อ ในขณะเดียวกันถ้าไพ่ไม่ดีต้องแพ้ก็ต้อง เสียเงินให้น้อยที่สุด  รูปตัวอย่างการเล่นจาก Wiki ปัจจุบันโป๊กเกอร์เป็นเกมส์ไพ่ที่มีความนิยม

ความมุ่งมั่นและลงมือ คุณก็รวยได้

ผมว่าคนส่วนใหญ่เชื่อถือในโชคชะตา เชื่อในเรื่องของดวง ว่าเป็นตัวกำหนดอนาคตของเรา ยิ่งเชื่อมากยิ่งยึดติดมากเรายิ่งไขว่คว้าหาทางลัด หาที่พึ่ง หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเสริมดวงเสริมบารมีเพื่อหวังจะร่ำรวย หวังจะประสบความสำเร็จ จนบางครั้งเราลืมที่จะหยุดและมองมาที่ตัวเราเอง เพื่อสำรวจหาข้อบกพร่อง หรืออุปสรรค์ที่ทำให้เราไม่สามารถไปถึงฝั่งฝัน แย่กว่านั้นบางคนไม่กล้าแม้จะลงมือทำ เพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมาย แต่กับเลือกที่จะรอคอยโชคชะตาให้เข้ามาหาเพียงฝ่ายเดียว เมื่อสองวันก่อนผมได้อ่านเจอเรื่องราวของ คนไทยที่สามารถทำรายได้จากการขาย THEME ของ WordPress ได้ในระดับ Power Elite และทำรายได้จากการขาย THEME ประมาณ $93,798 พัฒนา THEME มาแล้ว 44 ทีมมียอดขาย 32000 ครั้ง ชายคนนี้คือ คุณ Peerapong ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ไทย อายุ 28 ปี ที่พัฒนา THEME ขายไปทั่วโลกผ่าน ThemeForest ทำอาชีพนี้มา 2 ปี โดยคุณพีระพงษ์ จบบัญชี IT จากจุฬา เป็นโปรแกรมเมอร์มาก่อน 4 ปี เคยตกงานจากนั้นก็เริ่มมาพัฒนา THEME ของ Wordpress ขาย ซึ่งก็เป็นธรรมเนียมคือต้องเริ่มจากความผิดหวัง เคยถูกปฏิเสธผลงานที่ทำหลายรอบจากผู้รีวิว ด้วยความพยายามที่ไม่ยอมแพ้

ขาดทุนเพราะอะไร???

คำว่าขาดทุนดูจะเป็นคำแสลงของนักลงทุนเก็งกำไรแทบทุกคน เพราะแน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดการขาดทุนเป็นแน่แท้ แต่การลงทุนไม่ว่าจะสั้นหรือยาว อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน เราไม่สามารถล่วงรู้ทุกสิ่งที่จะเกิดในวันข้างหน้าได้ ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องยอมรับกับคำว่าขาดทุน เหนือสิ่งอื่นใดเราจำเป็นต้องรู้จักความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการขาดทุน และเรียนรู้ที่จะหาวิธีควบคุมการขาดทุนไม่ให้เกิดบานปลาย เสียหายใหญ่โตต่อเงินลงทุนของเราเอง ถ้าถามว่าทำยังไงให้ไม่ขาดทุน อาจจะพบว่าคำตอบคือเป็นไปได้ยาก ไม่มีการลงทุนไหนที่จะเชื่อมั่นได้ 100% ทุกอย่างในโลกการลงทุนผมว่ามันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น การลงทุนเก็งกำไรในจังหวะที่ความน่าจะเป็นที่จะชนะสูง ย่อมหมายถึงโอกาสที่ดี แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความเสี่ยงที่จะไม่เป็นดังเราหวังได้เช่นกัน พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมนึกถึงหนังเรื่อง limitless ที่พระเอกเป็นนักเขียนธรรมดาที่ยังไม่สามารถประสบความสำเร็จ สมองตีบตันขาดไอเดียและขาดความคิดสร้างสรรค์ในการทำงาน พอได้ไปกิน NZT ยาที่ทำให้คุณกลายเป็นอัจริยะข้ามคืน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองได้ 100% ทำให้ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายดาย เช่

Thaitrade2014 Contest C2

ทำเล่นให้เป็นจริง

ผมว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในยุคที่มีทีวีสีใช้งาน ย่อมโตมาพร้อมกับการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ทั้งรูปแบบเครื่อง แฟมมิค่อม เครื่องซุปเปอร์ เกมส์บอย เกมส์เพลย์สเตชั่น เอ็กบ๊อค  เป็นต้น เกมส์เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้ชาย ผูกผันสนุกไปกับมัน ระหว่างกลุ่มเพื่อน รวมไปถึงการมีวันที่ดีกับกิจกรรมการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่ออายุอานามมากขึ้น ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบมากขึ้น เด็กผู้ชาย กลายเป็นผู้ใหญ่เราก็เริ่มจะออกห่างจากมัน ไปสู่โลกของการดำรงชีวิตจริง การมีครอบครัว ทำงานหาเงิน และอื่นๆ  จะมีใครสักกี่คนที่จะคิดว่าเราสามารถทำงานหาเงิน สร้างฐานะรวยเป็นเศรษฐีจากเกมส์คอมพิวเตอร์ได้บ้าง ผมว่าในโลกนี้คงมีไม่มากนัก ผมมีเรื่องราวการประกอบธุรกิจที่น่าสนใจ ของชายหนุ่มผู้รักในการเล่นเกมส์ และเดินตามฝันจนมาถึงความสำเร็จมาฝากกัน วันนี้ถ้าเอ่ยชื่อเกมส์ "Draw Something" เกมส์ยอดฮิตบนโซเซียลมีเดียแบบเฟสบุ๊คและบนโทรศัพท์มือถือบนระบบแอนดรอยด์ และไอโฟน(ระบบ IOS) หลายคนคงรู้จัก เกมส์ที่ให้ผู้เล่นวาดรูปแบบสเก็ต ตามคำศัพท์และแชร์ให้เพื่อนๆเข้ามาเดาว่าเป็นรูปอะไร โดยมีตัวอักษรแบบสุ่มมาเป็นคำใบ้ให้ ความสนุกมันอยู่ที่ไ

ชนะอย่างไม่เสี่ยงเกินตัว

คำเปรียบเปรยเกี่ยวกับตลาดหุ้นที่ได้พบได้บ่อยที่สุดคือ "ตลาดหุ้น" เปรียบเหมือนกับ "สนามรบ" เพราะความน่ากลัว ความร้ายกาจของคนที่คอยจ้องจะทำกำไรจากเงินลงทุนของผู้อื่น อยู่ทุกเวลา ตลาดหุ้น มีการแข่งขันทำกำไรด้วยเม็ดเงินมหาศาล มีกลยุทธเทคนิคและรูปแบบการเอาชนะที่หลายหลาย มีคู่แข่งขันทั้งรายใหญ่ สถาบัน กองทุน กองทุนต่างชาติ และนักลงทุนรายย่อย ที่ล้วนแต่จ้องจะทำกำไรจากการซื้อขายหุ้นในสนามแห่งนี้ แต่จริงๆแล้วคู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดนั้นไม่ใช่อื่นใด แต่เป็นตัวของเราเอง เริ่มเข้ามาในตลาดส่วนใหญ่ทุกคนล้วน เข้ามาเพื่อการแสวงหากำไร ด้วยความคิดที่ว่าจะต้องเข้ามาทำกำไรจากส่วนต่างราคาของหุ้น ดังนั้นภาพของแมงเม่าในตลาดหุ้น จะเหมือนกันคือ พยายามวิ่งหาหุ้นเด่น สแกนหา หรือไม่ก็รอกูรู ผู้รู้มาชี้ทาง ให้จากนั้นก็แห่กันเข้าไปไล่ซื้อ หวังทำกำไร แต่ผลลัพธ์มันไม่สุขสมอารมณ์หมาย แบบในนิยายสามเล่มร้อย มิเช่นนั้นคนร้อยละ 80 ในตลาดหุ้นคงกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านกันไปหมดแล้ว แต่ส่วนใหญ่ในโลกของการเก็งกำไร แมงเม่ากับขาดทุน ล้มหายตายจาก โทษดินโทษฟ้า โทษเจ้ามือ โทษคนอื่นที่ทำให้ต้องขาดทุน หรือไม่ก็จัดหาก

แพ้ให้ได้ ผิดให้เป็น

ธรรมชาติของมนุษย์เราทุกคนย่อมต้องการเป็นที่ยอมรับ แน่นอนว่าการจะเป็นที่ยอมรับ และมีความน่าเชื่อถือได้นั้น ความคิดและการตัดสินใจเป็นเรื่องสำคัญ เรามักพึงพอใจกับผลการตัดสินใจที่ "ถูก" มากกว่า "ผิด" เพราะเมื่อเราเป็นคนถูกนั้นหมายถึงสภาวะทางจิตใจได้ถูกตอบสนองทางบวก สภาวะทางอารมณ์ก็อิ่มเอมเปรมปีร์ ตามมาด้วย ความสุขความสมหวัง แต่ตะกอนตกค้างจากทางจิตที่เราได้รับก็คือ "อัตตา" หรือการเกิดของตัวตนจากการยึดติดในความคิด ยึดติดในการตัดสินใจที่ต้องถูกต้องเสมอ  ไม่ใช้เรื่องแปลกเพราะถ้าย้อนกลับไปดูที่ระบบการศึกษา และการเลี้ยงดูส่วนใหญ่เราถูกเลี้ยงดูและปลูกฝั่งให้เป็นคนที่มีความฉลาด เป็นคนเก่ง โดยถูกสอนให้รอบคอบให้ตัดสินใจให้ดีและถูกต้อง ประกอบกับการให้รางวัลหรือคำชมเมื่อเรา "ถูก" และทำให้ได้เป็นที่ยอมรับในคนรอบข้าง มันจึงทำให้พื้นฐานความคิดและจิตใจของเรา ชอบเป็นคนที่ "ถูกต้องเสมอ" เกือบในทุกเรื่อง แย่ที่สุดถึงแม้จะผิดเราก็มักจะหาเรื่องกลบเกลื่อนหรือประเด็นที่มาบิดบังความผิด แก้ตัวหรือโบ้ยให้เป็นแพะรับบาปกันไป ซึ่งนั่นคือกลไกการปกป้องตัวเองโดยอัตโนมัติ

10 Golden Trading Rules

ถ้าจัดกลุ่มคำถามจากอีเมลที่เพื่อนๆส่งเข้ามาถาม คำถามกลุ่มใหญ่ที่พบมากที่สุด คือการขอ"เคล็ดลับการเล่นหุ้น" จับอารมณ์ได้ว่าหลายคนที่พยายามเข้ามาในตลาดหุ้นเก็งกำไร ด้วยความคิดผิดๆที่โดนเป่าหูว่ามันคือตู้ ATM ที่สามารถเข้ามากดเงินออกไปได้ แต่พอได้ลิ้มรสความจริงได้ ลองขาดทุนจริง เจ็บจริงก็ได้รู้ซึ่งว่ามันไม่ง่ายแบบที่เขาโฆษณา ผมค่อนข้างเป็นห่วง นักเก็งกำไรหน้าใหม่ที่อาจจะหลงกับความหอมหวานของกลิ่นเงิน จนทำให้หน้ามืดตามั่วลงทุนไปด้วยความโลภ สุดท้ายแล้วเมื่อหมดตัวก็ต้องล้มหายตายจากไป นึกถึงคำลุงฉโลกที่เปรียบคนที่ประมาทคิดแต่จะหากำไร เหมือนดั่งกับการเข้าไปเดินเล่นในกรงเสือ เมื่อถามถึงเคล็ดลับ ผมก็มีเคล็ดลับมาฝากกัน เป็นเคล็ดลับการลงทุน เรียกว่ากฏทองคำ 10 ข้อของเทรดเดอร์ โดยคุณ Adam Hewison ซึ่งเป็นเซียน forex trader ,ผู้จัดการ hedge fund และเป็นที่ปรึกษาการเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นผู้บริหาร INO.com เว็บไซต์ลงทุน futures และ Option แบบออนไลน์ในหลายประเทศทั่วโลก กฏทองคำ 10 ข้อที่ว่านี้ค่อนข้างน่าสนใจ ผมเลยขอสรุปจาก คลิปวีดีโอที่คุณ  Adam Hewiso n บรรย