ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก มีนาคม, 2018

Commodity Market ตลาดปราบเซียน

ปี 2018 ผ่านมาสองเดือนมีพี่น้องเทรดเดอร์หลายท่านเลยมาปรึกษาเรื่องเข้าเทรดในตลาด commodity ซึ่งส่วนใหญ่เหตุผลแนวคิดคล้ายกันคือเชื่อว่าเงินเฟ้อจะมา ราคาคอมโมดิตี้น่าจะฟื้น เลยคิดจะเข้ามาเทรด ส่วนตัวผมไม่ได้แย้งไม่ได้ขัดอะไรเพราะไม่ถนัดในการทำนายอนาคตอยู่แล้ว แต่อยากเอาข้อมูลอีกด้านมาให้พิจารณากัน คุณ Eric Onstad เขียนบทความเรื่องราวเกี่ยวกับการปิดกองทุนของ Hedgefund ในตลาด commodityในช่วงปี 2017 ไว้ได้น่าสนใจโดยมีความคิดเห็นของหลายท่านว่าตลาดมันไม่ได้ง่าย ไม่ได้ปกติแบบอดีต เขารวบรวมความคิดเห็นของเหล่าผู้บริหารกองทุนต่างๆไว้ดังนี้ - Anthony Ward ปี 2017 ปิด CC+ Hedge fund ซึ่งอดีตชำนาญด้านการเทรด (cocoa&coffee)โดยเขากล่าวโทษว่า HFT และ Algorithmic trading ทำให้พฤติกรรมตลาดเปลี่ยน ราคามีความผันผวนสูง เทรดเดอร์ทั่วไปเสียเปรียบซื้อขายไม่ทัน HFT ทำให้ได้ราคาไม่ดีต้นทุนสูง นอกจากนี้ Ward ยังบอกว่า HFT ทำให้ราคาตลาดวิ่งรุนแรง รับข่าวและการประกาศตัวเลข ราคามากกว่าผลเชิงปัจจัยพื้นฐานไป 10-15% - Stephen Jamison ปิดฟันด์ Jamison Capital ต้นปี 2018 เขากล่าวโทษ AI และ HFT เช่นกันโดยระบุว่า

Decision Making by Annie Duke

วันนี้ระหว่างนั่งกินกาแฟมีโอกาสได้ฟัง podcast เกี่ยวกับ Decision Making จากคุณ Annie Duke โปรโป๊กเกอร์ระดับโลก เธอมาแนะนำแนวคิดการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพบนภาวะที่มีเวลาจำกัดไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลและความจริงทั้งหมด ประวัติของ Annie Duke เธอเป็นนักโป๊กเกอร์อาชีพระดับโลกเจ้าของ WSOP Bracelets ปี 2004 เธอเริ่มเล่นโป๊กเกอร์ตอนปี 1992 ระหว่างพักช่วงการเรียนปริญญาเอก ก่อนจะลาออกมาเล่นโป๊กเกอร์เต็มตัว เธอเป็นนักโป๊กเกอร์ที่เรียกว่ามีฝืมือและวิธีคิดไม่ธรรมดา บวกกับพื้นฐานความรู้จา กการศึกษาด้านจิตวิทยา(เน้นวิจัยเกี่ยวกับ cognitive linguistics) ในรายการ Annie Duke พูดถึงวิธีคิดที่เธอมองว่าการเล่น Poker ช่วยการตัดสินใจที่ดีได้นั้นคือ การมองโลกอย่างเป็นจริง โดยเธอแนะนำว่าต้องเข้าใจเรื่องความน่าจะเป็น โอกาสที่ Outcome จะเกิดได้ทั้งบวกและลบ แทนที่พยายามจะคิดเข้าข้าง หรือติดกับ ego ว่าตัวเราต้องถูกตลอดเวลา การมี open mind ช่วยให้เรามองเห็นทั้งสองด้านโอกาสถูกและผิด จากนั้นเราจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบไม่มี Bias หรือไม่พยายามคิดเข้าข้างหาเหตุผลมาสนับสนุนว่าตัวเรานั้นถูก นอกจากนี้ เรายังสาม

Risk Tolerance

ตลาดหุ้น ตลาดอนุพันธ์ ตลาดค่าเงินช่วงนี้มีความผันผวนเยอะพอควร ซึ่งทำให้เราควรจะระมัดระวังตัวให้มากๆ ไม่ประมาท แทนที่จะไปโฟกัสกับเรื่อง"กำไร" อาจจะต้องหันมาทบทวนแผนรับมือความเสี่ยงให้มากขึ้น ชวนมาทำความรู้จักกับคำว่า Risk Tolerance ซึ่งเป็นค่าที่เทรดเดอร์/นักลงทุนควรจะมีการนิยามเอาไว้ก่อนสำหรับทุกครั้งที่มีการเทรด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ risk management จากบทความของ Chad Butler เขาแนะนำเรื่อง Risk Tolerance เอาไว้ดี ผมนำเอาประเด็นหลักมาแชร์ให้พวกเราลองศึกษากัน 1. Risk Tolerance by Time horizontal การมองว่า เรามีความสามารถในการถือ position ได้ยาวนานแค่ไหน ทนรอรับความเสี่ยงที่เกิดเชิงเวลามาเพียงใด ปัจจัยนี้พิจารณาไปถึงต้นทุนเชิงเวลา ค่า swap , อัตราดอกเบี้ยต้องจ่าย และค่าเสียโอกาสของเงินทุน ด้วย ไม่ใช่ถือทนไม่ขายไม่ขาดทุนอย่างเดียว เพราะพวกนี้จำเป็นต้องมีการคำนวณไว้ล่วงหน้า กรณีลงทุนระยะยาวควรติดถึงอายุและความจำเป็นต้องใช้เงินประกอบด้วย นอกจากนี้กรณีพวกอนุพันธ์ หรือสินค้าที่มีวันหมดอายุ เรื่องกรอบเวลาหรือปัจจัย time decay ยิ่งจำเป็นต้องมีการพิจารณาล่วงหน้าเสมอ 2. R

Halite: 2sigma Open source AI programming Project

twosigma เป็นบริษัท Quant Fund อันดับต้นของโลก เขามีวิธีการคัดเลือกนักพัฒนา โปรแกรมเมอร์เข้าร่วมทำงานในบริษัทจากการจัดพัฒนา Bot เพื่อแข่งขันในวีดีโอเกมส์ชื่อ Halite ตัวของ Halite เป็น open source artificial intelligence programming ประเภท turn-based strategy (TBS) ที่สร้างมาให้คนพัฒนา Bots มาสู้กันในเกมส์โดยบอทผู้เล่นแต่ทีมจะมียานอวกาศ 3 ลำที่ช่วงชิงยึด/ขุดพื้นที่ดวงดาวบน two-dimensional virtual board ผู้อยู่เบื้องหลังโปรเจคเกมส์นี้คือ Alfred Spector ตำแหน่งเป็น CTO ของ Two  Sigma บริษัท hedgefund อายุ 15 ปีที่มี AUM ระดับ $50 billion โดยในคลิปคุณ Spector ให้สัมภาษณ์ว่าบริษัทต้องการค้นหาคนเก่งด้านการสร้าง algorithm ประเภทกลยุทธ์เข้ามาร่วมงาน ผ่านการจัดลีกการแข่งขัน Halite ปัจจุบันเป็นปีที่ 2 แล้วมีทีม 6000 ทีมจากทั่วโลกเข้าแข่งขัน และมีทั้งระดับนักเรียนมัธยมจนถึงผู้ใหญ่ เข้าร่วม ปัจจุบัน Bots ทีมที่ทำผลงานได้ดี ใช้เทคนิคของ Machine learning ในการพัฒนา AI เพื่อหา solution ในการแข่งขันเอาชนะผู้ต่อสู้ ซึ่งบริษัทเตรียม Google credits สำหรับ GPU บน Google Cloud เอาไว้ให้ด้วยเพื่

Airbnb & Internal hedge fund

Airbnb เป็นอีกบริษัท startup ตัวกลางแบ่งปันที่พักออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและกลายเป็นธุรกิจผลิตเงินสดที่น่าจับตามองมากในปัจจุบัน เมื่อได้อ่านบทความนี้ทำให้ผมทราบว่า Airbnb มีรายได้รูปเงินสดไหลเวียนต่อเดือนสูง จนมีการตั้ง hedgefund หรือบริษัทบริหารเงินของตัวเองขึ้นมา อ้างอิงข้อมูลจากแหล่งข่าวระบุ Laurence Tosi ผู้บริหารของบริษัท Airbnb อดีต CFO ของ Blackstone Group (alternative investment firm ใหญ่อันดับต้นของโลก) ได้นำ cashflow 30% ของบริษัทไปจัดตั้งกองทุน hedge fund เพื่อบริหารเงิน โดยนำ cashflow จากธุรกิจไปลงทุนใน stocks, currencies และ fixed-income แหล่งข่าวอ้างว่าปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้สูงถึง $5 million ต่อเดือนให้กับ Airbnb ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นการเติบโต และศักยภาพของบริษัท .ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ Airbnb ยังมีปัญหาความขัดแย้งภายในอ้างอิงจาก Bloomberg ที่ระบุว่ากลุ่มของ  Laurence Tosi ต้องการนำ Airbnb เข้าทำ IPO ในปี 2018 แม้จะได้เสียงสนับสนุนจาก  VC investors ส่วนใหญ่ แต่ผู้ร่วมก่อตั้ง  Brian Chesky และ CEO ของบริษัท ยังไม่ต้องการเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น ล่าสุดทางบริษัท Ai

The Death of Clothing

วันนี้นั่งหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทเสื้อผ้าหนึ่งในตลาดหุ้นสหรัฐ เลยได้ไปเจอบทความ The Death of Clothing นี้เข้า มีหลายข้อมูลที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้เลยนำมาสรุปเอาไว้ให้อ่านกัน - รายงานระบุคนชั้นกลางของอเมริกาใช้เงินในการซื้อเสื้อผ้าน้อยลงอ้างอิงจากการสำรวจของกระทรวงแรงงานสหรัฐ ในปี 2016 เฉลี่ยเพียง 3.1% ของรายได้ตลอดปีลดลงจากอดีตต่อเนื่อง บวกกับปัจจุบันภาวะค่าใช้จ่ายส่วนต่างๆสูงขึ้น คนใช้เงินในส่วนอื่นเพิ่มขึ้น -ค่าเสื้อผ้าทดแทนด้ว ยรายจ่ายสำหรับการท่องเที่ยว กิน กิจกรรมสันทนาการต่างๆสอดคล้องกับความนิยมของคนในการแชร์ประสบการณ์บนโลกออนไลน์ สัดส่วนราวๆ 18% ของรายได้ บวกกับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยี ที่เพิ่มสูงขึ้นมาที่ระดับ 3.4%  - ความจำเป็นการซื้อเสื้อผ้า ลดลงโดยเฉพาะชุดทำงานบริษัทต่างๆในสหรัฐราว 40% อนุญาตให้พนักงานแต่ชุดตามสบายมาทำงานได้มากขึ้นปี 2017 - อุตสาหกรรมแฟชั่นเครื่องแต่งกายกำลังลำบาก brand loyalty หดหาย ความต้องการซื้อลดลง กระทบกับยอดขาย แบรนด์ต่างๆ - ร้านเสื้อผ้า แบรนด์ต่างๆทยอยปิดสาขาลง - คนหันไปซื้อออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ผ่าน Amazon แล

Peter Brandt

พอดีเมื่อวานผมมีโอกาสได้ฟังคลิปสัมภาษณ์ Peter Brandt เทรดเดอร์ระดับตำนาน ผู้เขียนหนังสือ Diary of a Professional Commodity Trader จากรายการ chatwithtraders คิดว่ามีประโยชน์นำ note สรุปมาแชร์ >> แนะนำตัว - Peter Brandt เป็นเทรดเดอร์ที่อยู่ในตลาดยาวนานกว่า 40 ปี เขาเริ่มต้นเทรดปี 1975 กับสินค้าประเภท future ในตลาด commodity และค่าเงิน - เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยด้านวารสารทำงานในบริษัทโฆษณาก่อนได้รู้จักเพื่อนที่เป็น floor trader ของบริษัทสมาชิกใน CBOT ทำให้เริ่มสนใจและอยากเข้ามาทำง านด้านเทรดเดอร์ - ลาออกจากงานตอน 25 ปีเริ่มต้นเรียนรู้เรื่องการเทรดสินค้าคอมโมดิตี้ จนได้เข้าทำงานเป็นโบรกเกอร์และเทรดเดอร์ในบริษัท Continental grin company - ทำงานได้สักระยะลาออกมาเป็น freedom trader เขาต้องการใช้เวลาในการเทรดอย่างเต็มที่ และทดลองเทรดในรูปแบบที่เหมาะกับตัวเอง  >> แนวทางการเทรด - Peter Brandt เริ่มต้นทดลองมาหลายรูปแบบ ขาดทุนผิดหวังอยู่หลายครั้งก็ยังหาแนวทางที่เหมาะตัวเองไม่เจอ - จนได้รับคำแนะนำให้อ่านหนังสือการเทรดของ Richard Schabacker ทำให้เขาเริ่มศึกษาและพัฒนา method ในการเทรดแบ

Jeff Bezos & Regret Minimization Framework

เรื่อง "การตัดสินใจ" ตัวอย่างจากจุดเริ่มต้นการทำธุรกิจของคุณ Jeff Bezos ที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน เพราะเลือกที่จะทิ้งงานเงินเดือนดี มั่นคงและอยู่ในช่วงกำลังรุ่งโรจน์ ตอนปี 1994 คุณ Jeff Bezos เป็น nerd on wallstreet ดาวรุ่งอีกคน ซึ่งตอนนั้นวัย 35 ปีหลังจากทำงานได้ 4 ปีเขาดำรงตำแหน่งเป็น vice president(VP) อายุน้อยที่สุดของบริษัทเฮ็ดฟันด์พันล้านชื่อดังอย่าง D. E. Shaw & Co โดยทำห น้าที่ดูแลกลยุทธ์พอร์ตลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับ Internet & Technology ซึ่งตอนนั้นกำลังบูมมาแรงสุดขีด เงินเดือนและโบนัส ในช่วงตลาดขาขึ้นตอนนั้น ตัวเลขก็คงไม่ต้องพูดถึง เขาเชื่อใน Internet Technology และ e-commerce จึงเลือกที่จะลาออกมาเดินตามความฝันสร้างธุรกิจของตัวเอง โดยเขาสนใจในการนำเทคโนโลยีมาพัฒนาธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ ซึ่งเขาทำการศึกษาเลือกตัดสินใจ สร้าง amazon dot com ขึ้นมาเพื่อขายหนังสือ เขาและภรรยาใช้เงินเก็บ และมีผู้ร่วมลงทุนคนแรกในบริษัทคือคุณแม่ของเขา ที่นำเงิน $3000 มาช่วยสนับสนุน จากนั้นเขาและภรรยาก็ลาออกจากงาน ขับรถมุ่งหน้าย้ายจาก New York ไปยัง Seattle เมืองที่เขาคิดว่าจะหาจ้างทีมพัฒ

Jeff Bezos เส้นทางแห่งความสำเร็จ 01

ภาพนี้มาจากรายการ 60 minutes เป็นห้องทำงานของ Jeff Bezos ในสำนักงานใหญ่ของ  amazon.com  ในตอนนั้น ความไม่ธรรมดาคือ ตอนปี 1999 บริษัท amazon เปิดบริการขายหนังสือและ CD(หนัง,เพลง) บนอินเตอร์เน็ตด้วยกระแสความบูมของ Dot com ดันราคาหุ้น amazon มูลค่ากว่า 30 billion นับจากเข้าตลาดในปี 1997 และทำให้ Jeff Bezos กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน แต่เขายังเลือกใช้ โต๊ะไม้สี่ขาธรรมดา ห้องทำงานเล็กๆ ขับรถเก่าๆคันเดิม เพราะเขามีความเชื่อว่า บริษั ทควรใช้เงินของนักลงทุนเท่าที่จำเป็น  ซึ่งย้ายเพียงสำนักงานจากโรงรถในบ้านพักมายังอาคารปัจจุบัน เพื่อรองรับพนักงานที่เพิ่มขึ้น ใช้เงินลงทุนในการสร้าง คลังสินค้าทั่วประเทศสหรัฐและยุโรป , ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ใช้กุญแจสำคัญการบริหารคลังสินค้า รวมไปถึงการสร้างระบบการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้เพื่อแนะนำสินค้า(Data mining +Recommendation system) ระบบการให้คะแนนรีวิว บน web application ที่ตอนนั้นคือสิ่งใหม่ที่ amazon พยายามใช้เป็นจุดขายสู้กับร้านหนังสือปกติธรรมดาทั่วไป ตอนทัายในรายการพิธีกรถาม Jeff Bezos กลัวไหมว่าราคาหุ้นจะตกลง มูลค่าบริษัทจะสูญหายไป(ตอนนั้นหุ้น

Dirty Money

Netflix ปล่อยสารคดีชุดใหม่ ชื่อ Dirty Money ออกฉาย เบื้องต้นเรตติ้งความนิยมค่อนข้างดี ผมมีโอกาสได้ดูแล้ว มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เลยอยากมาแนะนำ สารคดีเรื่อง Dirty Money สร้างโดย Netflix Original Series ผู้กำกับคือ Ciara Boniface เนื้อหาค่อนข้างเข้มข้นและหนักดี เล่าถึงเรื่องของ "เงิน" ที่เกิดจาก ความโลภ การทุจริต อาชญากรรม ซึ่งเวียนว่ายอยู่บนระบบเศรษฐกิจของโลก เนื้อหาจับประเด็นหลากหลาย มาถ่ายทอดความเป็น Dirty Money ได้อย่างลงตัว แน่นอนว่าหนึ่งในเรื่องราวก ็คือ นักธุรกิจ ผู้บริหารกองทุนสาย Activist ใน wall street ที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนของความโลภ ที่หาเงินล่าเงิน จนเกิดผลกระทบต่อประชาชนธรรมดา ซึ่งในสารคดียกกรณีของ Martin Shkreli ที่ใช้อำนาจบริหารขึ้นราคา 5,000% ในยาสำหรับผู้ป่วย AIDS ด้วย และยังมีอีกหลายกรณีที่ Dirty Money นำเสนอวิธีการหาเงินบนความเดือดร้อนของผู้อื่นได้อย่างน่าติดตาม มีโอกาสลองไปหามาชมกันครับ ทาง Netflix ชมได้จาก https://www.netflix.com/title/80118100