ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ มือใหม่

มุมมองเศรษฐกิจ 2023 จาก Stan Druckenmiller

 ไปอ่านเจอบทความข่าวนี้ทางบลูมเบริก รู้สึกน่าสนใจดี เป็นมุมมองและคำทำนายตลาดปี 2023 ล่าสุดนี้จาก คุณ Stan Druckenmiller , ผู้จัดการกองทุน Duquesne Family Office มหาเศรษฐีพันล้าน วัย 69 ปี คนดังที่เรารู้จักกันดี สรุปใจความสำคัญคือ 1. ตอนนี้สถานการณ์กำลังอยู่ปากเหว ของการเกิด Recession ในเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งน่าจะมาแน่และอาจจะเกิดแบบ Hard landing ที่สำคัญคุณ Druckenmiller คาดว่าจะเกิดในไตรมาสนี้ด้วย Q2/2023 ปัจจัยแวดล้อมเป็นสัญญาณสำคัญ ที่เขายกมา เช่นการถดถอยของยอดขายและการตกต่ำของกำไรในธุรกิจต่างๆเช่น ค้าปลีก และอื่นๆ ,ยอดอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น, การเกิดปัญหาสภาพคล่องและความเสี่ยงจะล้มละลายในธนาคาร regional banks หลายแห่ง,   ส่วนด้านความรุนแรง คุณ Druckenmiller ไม่ได้ฟังธงว่าจะหนักแบบตอน subprime 2008 แต่เขาก็มองว่าไม่ควรประมาท คำแนะนำของเขาคือ ควรปกป้องพอร์ต เพราะสภาวะเศรษฐกิจไม่ปกติ ไม่มีแนวทางใดที่จะการันตรีความปลอดภัยสูงสุด พอร์ตของเขาเองเน้นการผสม (ไม่ได้เน้นสินทรัพย์เดียว, หรือเน้นเดิมพันกับทิศทางราคาหุ้น(Long/short) ด้านใดด้านหนึ่งเป็นหลัก ) 2. แนวทางจัดพอร์ตแบบผสมของเขาก็มีทั้ง

แนะนำเทรดเดอร์มือใหม่

  ขยายความ ที่ผมได้ไปคอมเมนต์แลกเปลี่ยนไว้ในกลุ่มเทรดหนึ่งเกี่ยวกับคำแนะนำสำหรับมือใหม่หัดเทรด(Rookie Trader) โดยช่วงที่เริ่มเทรดให้ลองใช้สูตรนี้ คาบ 5 ปี สมการดังนี้ Capital = (Total Capital)/(5-ปีที่อยู่ในตลาด) ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเงินทุนตั้งต้น อยากเข้ามาเทรดหุ้น สัก 200,000 บาท เพิ่งเข้ามาตลาดปีแรก ประสบการณ์เป็น 0 พอคำนวณตามสูตรเงินที่จะใช้เทรดได้จะมีเท่ากับ 200000/(5-0) คือ 40,000 บาท หรือแค่ 20% ของเงินที่มีพอ (กรณีถ้าทำงานประจำไปด้วย เงินที่ออมได้ก็สะสมไว้ในรูป cash หาที่พักเงินปลอดภัยสูง สภาพคล่องดีกิน yield รอสำรองไว้ใช้เทรดภายหลังก็ได้) ส่วนถ้าอยู่รอดในตลาดมาเกิน 5 ปีแล้วก็จัดเต็มได้ พูดเรื่องนี้ คนก็แย้งว่า มันน้อยจัง จะรวยได้ไหม?? จะมีกำไรไปอวดเพื่อนในกลุ่มได้หรือเปล่า เกมส์เก็งกำไร คนที่มีประสบการณ์น้อย จะเป็นเหยื่อหรือจะเสียเงินให้กับตลาดเสมอ ดังนั้นถ้าชั่วโมงบินไม่มาก ต้องยอมรับ อย่าไปคิดว่าคนอื่นๆทำได้ เราก็ทำได้เพราะบางทีภาพที่เราเห็น มันก็ไม่เป็นจริงเสมอไป ถ้าเพิ่งเริ่มยิ่งต้องจำกัดความเสี่ยงและค่อยๆเป็นค่อยๆไป เมื่อตลาดหุ้น/ตลาดค่าเงินมันเทรดยาก ก็เรียนรู้ด้ว

Five minutes to learn, a lifetime to master

ทุกวันนี้ tiktok กลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ผสมความบันเทิงที่ได้รับความนิยมมาก โดยกลุ่ม gen z , แต่พอเป็นเรื่องการเทรด, การลงทุน มันเป็นเหมือนดาบสองคม เช่นกัน โดยเฉพาะ ถ้าเป็นมือใหม่ เรามักจะชอบอะไรง่ายๆ เร็วๆ , solution แบบนี้ตอบโจทย์ คนหัดเริ่ม แต่ปัญหาคือ บางทีเราอาจจะแยกไม่ออกว่า ระหว่าง "การอธิบายเรื่องที่ยากให้เข้าใจง่าย" กับ "การเลือกจะพูดแค่เปลือก ที่ฉาบฉวย" ดังนั้นสุดท้ายคลิปส่วนใหญ่จะได้แต่เปลือกในเวลา 1-2 นาที (พูดสั้นๆย้ำรั่วๆ ผสานเพลงพื้นหลัง เร้าใจเร้าอารมณ์) , บวกกับคำพูดย้ำๆให้ท่องจำ แล้วปิดท้ายด้วยภาพกำไรเยอะๆ มาล่อตา (ซึ่ง กำไร มันก็มาจากการใช้ leverage หลายเท่า) จนยิ่งทำให้ ระบบรับรู้มี bias พอเอาไปทำตามใช้จริง ก็พัง ไม่รอด เพราะตลาดหุ้นจริงๆ มันไม่ได้ง่าย และเป็นเส้นตรงแบบที่ กูรู tiktok หล่อๆสวยๆ สอนกัน สุดท้ายไม่ใช่ว่า บทเรียนสั้นๆ 1-2 นาที จะไม่ดี แต่บางทีเราก็ต้องพิจารณาในสิ่งที่มันเหมาะสม และควรหาข้อมูลเพิ่มเติมให้มากๆด้วย การฝึก skill ที่เลี้ยงชีพ ไม่ว่าจะทำอะไร มันไม่ทางลัด ไม่มีอะไร ที่ได้มาโดยง่าย ไม่ต้องฝึกฝน ไม่ต้องใช้เวลา เรื่อง

เกษียณสไตล์ลุงเจ๋ง ปราจีน

วันแรงงาน มี content สไตล์เก็บเงินเพื่อเกษียณ หรือเกษียณก่อน 60 เยอะพอควร ทำให้อยากแชร์เรื่องนี้ ที่ผมไปเจอมาจากการดูรายการ ยินดีที่ได้รู้จัก เป็นตอนที่พี่เปอร์ไป ปราจีนบุรี แล้วได้สัมภาษณ์กับลุงขับรถตุ๊กๆ สมบัติเต็มคันรถ แถมยังติดแอร์ให้ผู้โดยสารอีกด้วย , คุยไปคุยมากับลุงเจ๋งคนขับที่นั่งดืมกาแฟ ก็น่าสนใจ เพราะลุงเจ๋งไม่ธรรมดา แม้จะแต่งตัวธรรมดาๆ แต่ลุงเป็นอดีตข้าราชการเกษียณ หลังทำงานมาเกือบ 40 กว่าปีที่รับบำนาญเดือนละ 2 หมื่นกว่า แต่การใช้ชีวิตลังเกษียณต้องบอกว่าโครตคูลเลย เพราะเมื่อเลิกทำงานลุงก็ออกรถสามล้อตุ๊กๆ มาขับ ไม่ได้หารายได้ แต่ขับเพื่อส่งคนแก่ คนเจ็บ คนยากจนฟรี ,บางรายแกแถมเงินให้อีกด้วย ,บางครั้งก็ขับรถตุ๊กๆไปเที่ยวที่ต่างจังหวัด ไหว้พระทำบุญ ชมธรรมชาติ ค่ำไหนนอนนั้นตามใจที่อยากไป(สไตล์ TT Rider แบบ พี่เรย์ แม๊คโดนัล) กุญแจสำคัญที่ ลุงให้คำแนะนำไว้คือ "ไม่เป็นหนี้"(อย่าสร้างหนี้มากเกินไป) ,วางแผนใช้เงินพอเพียงไม่กินหรูใช้จ่ายเกินรายได้ พอเกษียณได้บำนาญใช้วันละ 500 บาทก็อยู่ได้สบายๆ และสิ่งสำคัญคือ "สุขภาพดี" ร่างกายต้องรักษาดูแลดีๆ   ฟังเหมือนจะง่ายๆ เอ

Luxury product stock

หุ้นสินค้าแบรนด์เนม ราคาสูงอย่าง Ferrari และ Louis Vuitton (LVMH) ตอนนี้กำลังทำ all-time highs, ราคาหุ้นวิ่ง recover กลับจากจุดพักตัวตอนปี 2022 อีกรอบ และผ่านระดับราคา High เดิมในปี 2022 ไปได้ ความน่าสนใจคือ นวค. มองว่า หุ้น luxury product stock กลายเป็นที่พักเงิน ในตลาดหุ้น ที่มีความผันผวนต่ำ โมเดลธุรกิจที่แข็งแกร่ง กระแสเงินสดดี ทนสภาวะเศรษฐกิจ และให้ผลตอบแทนทั้งด้าน Growth และ Yield ปัจจุบันตัว Top ของกลุ่ม luxury product stock ในตลาดหุ้นอเมริกาและยุโรป เช่น Tiffany-and-Co (TIF) , LVMH Moet Hennessy Louis Vuitton (MC) ,Hermes International SCA (RMS), Kering (KER) ,Estee Lauder Companies (EL), Harley-Davidson (HOG) ,Inter Parfums (IPAR) ,Ferrari(RACE) เป็นต้น แต่หุ้นเหล่านี้แม้จะดูดี story โดดเด่น แต่การเทรดหรือลงทุนก็ไม่ง่าย เพราะราคาต่อหุ้นค่อนข้างสูง และระดับราคามักจะไม่ค่อยลงต่ำ(แต่ถ้าลงจากเงินไหลออกก็ลงได้แรงพอควร อันนี้เทรดเดอร์ฝรั่งจึงชอบใช้ Buy on Dip มากกว่าการเทรดไล่ตาม trend ในหุ้นกลุ่มนี้) ทำให้ ถ้าเข้าพลาด หรือซื้อที่ราคาสูง ก็อาจจะเกิด อ้างอิง https://companiesmarketc

ทางลัด สูตรสำเร็จ เก่งข้ามคืนไม่มีอยู่จริง

  email ยอดนิยมมากๆที่ได้รับบ่อยสุด คือ ถามเรื่องระบบเทรด,การ Setup กราฟ, indicator ที่ใช้เทรด ที่ทำให้ได้กำไร ได้เงินจากการเทรดดีๆ ซึ่งคำถามประเภทนี้ ส่วนใหญ่ ไม่เป็นคำถามของมือใหม่เพิ่งเริ่ม ก็เป็นเทรดเดอร์ที่เริ่มมาสักระยะแล้ว ขาดทุนต่อเนื่องไปต่อไม่ถูก , บางคนลองมาหลายวิธี , เทรดตามหลายกูรู พายเรือวนในอ่าง ได้ๆเสียๆ ได้กำไรไม่นาน ตลาดแกว่ง พอร์ตแดงขาดทุนหนัก พอตัดขาดทุน ราคาดีดใส่หน้าให้ช้ำใจอีก เรื่องหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการเทรดมาหลายสิบปีคือ คนที่เอาตัวรอดในตลาดได้ ไม่ใช่คนฉลาด หรือเก่ง เหนือคนอื่น ส่วนใหญ่เป็นคนธรรมดาที่มีความตั้งใจ ความขยัน ความพยายาม มากกว่าคนทั่วไป นอกนี้สิ่งสำคัญคือไม่ประมาท บริหารความเสี่ยงเป็น และมีวิธีคิดที่พร้อมจะเรียนรู้ จากข้อผิดพลาด แล้วพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด ดังที่เคยเล่าให้ฟังบ่อยๆ ตลาดมีบทเรียน ให้เทรดเดอร์เรียนรู้ได้ตลอดเวลา ทุกปีตลาดก็ไม่เหมือนกัน, มีปัจจัยต่างๆเข้ามาได้ตลอด , ซึ่งนี้เป็นที่มาว่าทำไม ผมถึงจดบันทึก เขียนบทความ ทุกวัน มาตลอดหลายสิบปี เพราะสำหรับผมทุกวัน มันก็คือการเรียนรู้ , เจออะไรต่างๆนานามากมาย พอเข้าใจก็จะเตรียมพร้อมรับมือ มันได้ถ

ทำความรู้จัก Gold ETF/ETC

อีกหนึ่งทางเลือกในการสะสมทองคำเพื่อบริหารพอร์ต ในกรณีต้องการเทรดทองคำในรูปแบบ ETFs ที่เป็นสกุล usd และมีสภาพคล่องสูง ตลาดหุ้นสหรัฐมี Gold ETF ไม่น้อยเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับ เทรดเดอร์ที่เปิดบัญชีเทรดในตลาดอเมริกา(Global Trading account) เพราะ ในตลาดหุ้นสหรัฐ Gold ETF ที่เปิดให้เทรด มีหลายเจ้าและส่วนใหญ่จะมีสภาพคล่องที่สูง สามารถเทรดได้ในเวลากลางคืนช่วงเดียวกันกับตลาดสหรัฐเปิดทำการ ซึ่งเป็นเวลา active ของราคาทองคำโลก และ Gold ETFs เทรดแบบ spot product ไม่มีการใช้ leverage ถือครองยาวได้ ไม่มีเรื่องค่าธรรมเนียมข้ามคืน แต่มีค่า Expense Ratio รายปีเฉลี่ยราวๆ 0.1 - 0.60%(ค่าดูแลการถือครองทองคำ physical และบริหารกองทุน) นอกจากนี้ด้วยความที่เป็น Gold ETF ระดับโลก กองทุนมีขนาดใหญ่และมีความน่าเชื่อถือมาก, ที่สำคัญปัจจุบันหลายกองทุน กำหนดราคาต่อหน่วยไม่สูง และมีค่า Fee ต่ำกว่าอดีต โดยบางกองทุนที่ออกมาช่วงหลัง จะมีทั้งแบบ ถือทองคำอย่างเดียว และแบบ Smart beta gold ETFs ผสมทองคำและสินทรัพย์อื่น เช่น currency เพื่อบาลานซ์ระดับความผันผวนตามสภาพตลาดด้วย ด้วยความที่ Gold ETFs มักเป็นนักลงทุนรายใหญ

ระวังตรรกะวิบัติที่จะทำให้หมดตัว

ทุกวันนี้เห็นมีคนสอนเรื่องการเทรดและ การลงทุนแบบสั้นๆ 1-2 นาที ใน tiktok เยอะมาก ทั้งที่หลายเรื่อง มันไม่ควรแนะนำอะไรสั้นๆ หรือพูดเน้นสรุปให้ท่องจำ ด้วยการโน้มน้าวว่ามันคือ เคล็ดลับ สั้นๆไม่กี่ข้ออะไรแบบนี้เลย เพราะ จริงๆแล้วมันไม่มี solution อะไรเป็นสูตรสำเร็จตายตัว ดังที่พบทุกวันนี้ ราคาสินทรัพย์ต่างๆมันผันผวน ไปตามปัจจัยเสี่ยงภายนอกมากมาย เช่น นโยบายการเงิน, การเคลื่อนของ Fundflow ,ตัวเลขเศรษฐกิจ ดังนั้นมันไม่มีอะไร ที่แน่นอน 100% หรือ sure thing สิ่งสำคัญกว่าการหาสูตรลับมันคือ "ความเข้าใจพฤติกรรมราคา" และปรับตัวให้รอด(พ้นจากความเสี่ยง) กับสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิด อีกอันหนึ่งที่เมื่อเช้าเพิ่งเห็นเลย tiktok กูรูเทรดต่างประเทศ , สอนคนดูให้เทรดอนุพันธ์ โดยใช้ leverage แบบสุดโต่ง ประมาณว่า , ถ้ามีเงิน $1000 ใช้ leverage 2x , ได้กำไร 10% จะได้เงิน $200 แต่ถ้า $1000 ใช้ levererage 100x ,เทรดได้กำไรแค่ 10% ได้เงิน $10,000 ต่างกัน 10000-200 = $9800 ทำไมจะทิ้งโอกาสทอง ทำเงินก้อนใหญ่ไว้เฉยๆ ในเมื่อใช้เงินเท่ากัน พูดด้วยน้ำเสียงแบบว่าผิดมาก ที่ไม่ใช้โอกาสนี้(และตามด้วยประโยคชักจูงคนใ

ทำความรู้จักกับ Currency ETF

Currency ETFs เป็นอีกหนึ่งสินค้าที่เราสามารถใช้ในการบริหารจัดการพอร์ตได้, โดยเป็นการเทรดค่าเงินแบบ passsive trading เพื่อเทรดตามรอบการเปลี่ยนแปลงของ ค่าเงิน ตามปัจจัย Global Macro Economic และใช้เพื่อการกระจายความเสี่ยง หรือทำ Asset allocation กระจายเงินทุนและจัดน้ำหนักตาม กลยุทธ์ไปยัง asset class ต่างๆ เช่น stock , bond , currency เป็นต้น หรือจะรอดักซื้อสะสมแบบง่ายๆ เมื่อเกิด market discount ก็ทำได้เช่นกัน โดย Currency ETF นั้นกองทุนที่ถือครองสินค้า currency จริง( underlying asset เป็น currency สำรองเต็มจำนวน) และเปิดให้ นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ สามารถเข้าไปซื้อ/ขาย หน่วยลงทุนที่อิงกับมูลค่าสินค้าค่าเงินได้ ,ทำการซื้อขายแบบ spot market ไม่ใช้ leverage ไม่มีค่า Fee ถือครองข้ามคืน ข้ามสัปดาห์ที่สูง ต่างจาก CFDs ทำให้เหมาะกับ การเทรดรอบใหญ่ เช่นตาม Momentum หรือ Trend ระยะยาว, โดยทั่วไปกองทุนเหล่านี้จะมีค่า Expense Ratio และค่าธรรมเนียมที่ไม่สูง แม้จะเป็น spot แต่ในขณะเดียวกันก็มีสภาพคล่องสูง ในการเทรด ในช่วงเวลาทำการของตลาดหุ้นสหรัฐ เพราะมี market maker และมีสภาพคล่องมากบริการ กองทุนและน

ก้าวแรกแห่งความรวย

  ไปเจอคำแนะนำใน twitter น่าสนใจดี,สำหรับคนยุคปัจจุบันที่อยากลดรายจ่าย แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไรดี ,กูรูการเงินเขาแนะนำให้มองหา รายจ่าย ก้อนใหญ่หรือก้อนที่เงินไหลออกต่อเนื่อง หมดไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิต ที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้เงินของเรา ดังภาพนี้ ถ้าหาเจอ แล้วทยอยตัด หรือลดลง ได้ก็จะ มีเงินเหลือ ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ เช่น การออม, การลงทุน ต่อไปได้ สุดท้ายถ้าตัดไม่ได้จริงๆ หรือคิดว่าตัดแล้วชีวิตมันจะไม่สวยงาม(อันนี้ก็ปกตินะเพราะใครๆก็ยังมีกิเลส อยากหาความสุขอยู่) ก็เอาเท่าที่พอเหมาะ ควบคุมการใช้เงินในหมวดนี้แล้ว ให้วางแผนโดยให้ความสำคัญกับ รายจ่ายฟุ่มเฟือยพวกนี้ที่หลังสุด ใช้สมการ รายจ่ายฟุ่มเฟือย = รายได้ - เงินออม(เป้าหมาย) - รายจ่ายจำเป็น เช่น เงินเดือน 30000 บาท, ออมเงิน 15% , รายจ่ายจำเป็น(ค่ากิน+ค่าที่พัก+ค่าหนี้+ค่าเดินทาง) 22000 บาท ดังนั้น รายจ่ายฟุ่งเฟือยที่เหมาะสม = 30000-(30000*0.15)-22000 = 3500 บาท ต่อเดือน สุดท้าย เงินเดือน, รายได้ หรือผลตอบแทนจากการลงทุน มันเป็นสิ่งที่ตัวเราอาจจะไม่สามารถ "ควบคุม" หรือ กำหนดมันให้แน่นอนได้ 100% แต่รายจ่าย กับสิ่งที่ไม่จำ

Leveraged Equity ETF

ในตลาดหุ้นอเมริการจะมี ETFs ชนิด Leveraged Equity ETF ที่สามารถเทรดซื้อขายในตลาดได้แบบหุ้น แต่มี gearing หรือการใส่กำลังทด leverage เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทน(แน่นอนว่า ผิดทางก็เพิ่มการขาดทุนด้วยเช่นกัน) โดย Leveraged Equity ETF ,ประเภทนี้จะอิงกับดัชนีหุ้น เช่น S&P500 ,NASDAQ100,Russell 1000 รวมถึงกลุ่มดัชนีอุตสาหกรรมบางประเภทเป็นต้น โดยมีหลายบริษัทการเงิน ออก ETFs ประเภทนี้มาให้นักลงทุนได้ซื้อขาย ซึ่งแต่ละ กอง Leveraged Equity ETF ก็จะมีขนาด Leverage แตกต่างกัน ตั้งแต่ 1.5X - 3X (ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 3 เท่า) โดยกองทุนพวกนี้ข้างในถือครอง derivatives เช่น options เพื่อใช้ในการขยายผลตอบแทน(กองที่บริหารดีๆ เทรด options ได้เก่ง,เก็บได้ราคา premiums ไม่สูง,ผล NAV จะไม่แกว่งมาก ไม่ร่วงแรง) ข้อดีคือเราใช้ Leveraged Equity ETF ในการบริหารพอร์ตได้, เช่นช่วยกระจายความเสี่ยง(ด้วยเงินทุนที่น้อยกว่า) ในสินทรัพย์ฺตัวที่ผันผวนไม่สูง รวมไปถึง หลายบริษัทออกกอง ETFs ประเภท Short Leveraged ETF ซึ่งทำให้เป็นทางเลือกในการ heding หรือทำ Downside protection ในพอร์ตได้เช่นกัน Leveraged Equity ETF ในตลาดหุ้นอเ

บาดแผลใหญ่ในระบบธนาคารสหรัฐ

สัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่ตลาดหุ้น จะ panic กลุ่มธนาคาร เพราะ แค่ห่างกันไม่ถึง 3 วัน เกิดการล้ม/ปิดกิจการของ ธนาคาร 2แห่งติดกัน แถมเป็นสถิติอันดับต้น 2 และ 3 มูลค่าการสูญเสีย ในประวัติศาสตร์ของ US Bank system อีกด้วย   ส่วนการ panic นักวิเคราะห์มองว่า อาจจะไปต่อและแพร่ขยาย เพราะจาก action ของรัฐบาลสหรัฐ และ Fed ออกมาชัดเจนว่าเรียกความเชื่อมั่น ประกันเงินฝากจากผู้ฝากเงิน แต่ไม่ได้รับประกันหรือปกป้อง "ผู้ลงทุน" ดังนั้น ผู้ลงทุนก็ต้องรับความเสี่ยงจากธนาคารเต็มๆ ทำให้เห็นการขายหุ้นและดึงเงินลงทุนกลับจากรายใหญ่ ในธนาคารกลุ่มเสี่ยง ขาดทุนมากขึ้น   แต่ธนาคารขนาดกลางถึงเล็ก โดยเฉพาะกลุ่ม Regions Bank ยังไม่เคลียร์มีหลายเจ้าออกอาการหนัก จากปัญหาสภาพคล่อง เช่น First Republic Bank ($FRC) -74%,Metropolitan Bank($MCB) -53% ,Pacwest Bancorp($PACW) -51% ปล. นวค. ค่ายต่างๆ เช่น GS คิดว่างานนี้ ค่อนข้างกดดันทั้ง รัฐบาลสหรัฐและ Fed พอควร ทำให้ มีความน่าจะเป็นมาก ที่ Fed อาจจะเห็นการชะลอ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในการประชุม FOMC รอบเดือน มีค. นี้ไปก่อน ปล. จากประสบการณ์ท

จาก $1.5 ล้าน เหลือ 0 | บทเรียนสำคัญของเทรดเดอร์มือใหม่

ตลาดหุ้นอเมริกานับจากต้นปี 2023 เริ่มกลับมาวิ่งแรง,ราคาหุ้นหลายตัวโดยเฉพาะกลุ่ม Tech รีบาวน์บวก มากกว่า 20% ทำให้ เกิดกระแส FOMO และคาดหวังจะทำเงินเยอะๆเร็วๆ จากตลาดหุ้นอีกรอบ ทั้งที่ปัจจัยเสี่ยงต่างๆก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ไปเจอบทความนี้ทาง email อยากเอามาแชร์เป็นเรื่องของ Omar Ghias เทรดเดอร์มือใหม่(Amateur trader) เข้ามาเทรดหุ้นช่วง covid-19 ระบาด ราวๆปลายปี 2020 (lock down 2020 -2021)ที่หุ้นสหรัฐและ optons มาแรงเป็นที่นิยมของเทรดเดอร์รายย่อย โดยเฉพาะกลุ่ม Tech หลายตัวบูมมาก Omar ก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่เข้ามาหาโอกาสจาก หุ้นร้อน หุ้นเทคโนโลยีกระแสแรง ช่วงปี 2021 และก็ทำผลตอบแทนจำนวนราวๆ กว่า 1.5 ล้านเหรียญ ในไม่กี่เดือน จากการเทรดหุ้นและการใช้ leverage เทรดอนุพันธ์ เมื่อได้กำไรเขาก็ใช้เงินไปกับการเที่ยว การดื่มปาร์ตี้ ซื้อของ ซื้อรถหรูหรา เพราะคิดว่า เจอวิธีการทำเงิน ที่จะทำให้เขากลายเป็นเศรษฐีแล้ว จากนั้นเมื่อปี 2022 ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ตลาดหุ้นร่วงแรง รับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบ agreessive ของ Fed , ดัชนี NASDAQ ร่วงลงอย่างหนัก เช่นเดียวกับ หุ้น Tech หุ้นร้อนหลายตัวที่ ราคาร่วมลง

ข้อควรระวังในการสอบชิงทุนสำหรับเทรดเดอร์

  อยากแชร์ข้อมูล พอดีไปเจอ Prop Trading (Fund) ต่างประเทศบางเจ้า(ไม่ระบุชื่อนะ) อ่านเงื่อนไขแล้วรู้สึก เทรดเดอร์เสียเปรียบ เพราะไม่ได้ต่างอะไรกับโบรกเกอร์เลย เช่น 1. ต้องเปิดบัญชี เทรดบน Platform ของเขา นั้นคือ บริษัทเป็น market maker ดูแลกระดานเทรด, ราคาสินค้าเทรดเอง(ลาก/กระชากราคาเพิ่ม volatility ให้สูงกว่าปกติ ,หรือทำ stoploss hunter เองได้ด้วย), กำหนดค่า Fee ,ค่า Com ,ค่า swap เองทั้งหมด 2. เสียค่าสมัครทดสอบ paper trading 15 วัน $200 เงินกินเปล่าแรกเข้า(เงื่อนไขสอบไม่ยาก เพราะเขาอยากให้คนร่วมเยอะๆ) 3. ต้องฝากเงินในบัญชีอย่างน้อย 1 ใน 10 เช่น $10,000 เพื่อรับทุนเทรดบัญชี $100,000 (คล้ายกับ leverage 10x) 4. ต้องทำยอด เทรดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 Order, จำนวนเทรดสะสมต่อเดือนต้องเกิน 1-5 lot ขึ้นกับเงินทุน (ไม่ถึงตกต้อง สมัครใหม่จ่าย $200) 5. ห้ามขาดทุน Drawdown เกิน 5%-10% ของ capital ไม่งั้นตกไม่ผ่าน 6. กำไรที่ได้คิดจากเงินทุนทั้งหมด แบ่ง 20-30% ให้บริษัท เทรดเดอร์ได้ 70% เช่นเทรดได้กำไร $1000 โดนหัก $300 (อันนี้ดูได้เยอะ คล้ายเราเป็นเจ้าของเงินทั้งหมดเลย) 7. ถ้าเทรดผ่าน 1 ปีได้เงินเพ

Top20 ผู้จัดการกองทุน Hedgefund

 Top20 ผู้จัดการกองทุน Hedgefund ที่ทำผลงานดีเยี่ยมในปี 2022 โดยอันดับหนึ่ง คือ Citadel ของคุณ Ken Griffin (และผลงานบริหารของ Joanna Welsh ) เป็น multi-strategy hedge funds ,สร้างผลตอบแทนปี 2022 net $16 billion , Hedge Fund ในกลุ่ม multi-strategy เช่น DE Shaw และ Millennium. ก็ทำผลตอบแทุนได้ดีเยี่ยมเช่นกัน ส่วนอันดับ 2 ในตารางเป็น Bridgewater ของ Ray dalio และทีมบริหาร ทำผลงานดีเช่นกัน Net ไป $6.2 billion ความพิเศษของข้อมูล Performace ในตารางของเหล่า Top20 ในปี 2022 นี้ที่เราควรจะเรียนรู้ คือ 1. กองทุน hedgefund ผลงานดี ส่วนใหญ่ Top 10 เป็นกองทุนเก่า, ผจก.ประสบการณ์สูง หลายกองทุนเปิดมาตั้งแต่ก่อนปี 1995 ทั้งนั้น 2. ผลงานกำไร Performance ในปี 2022 นี้ ไม่ได้มาจากภาวะตลาด Bull market เพราะปี 2022 เป็นปีที่สินทรัพย์ต่างๆ หุ้น,ค่าเงิน,สินค้าโภคภัณฑฺ์ ล้วนผันผวนมาก จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed แบบรุนแรง และภาวะเงินเฟ้อที่สูง นอกจากนี้ยังเป็นปีพิเศษมาก เพราะทั้ง Stock และ Bond ต่างมี performance ติดลบทั้งคู่, กองทุนที่ รอด และทำผลตอบแทนชนะตลาดได้ ถือว่า strategies และการบริหารความเสี

Tech Companies layoff

ตัวเลขตลาดแรงงานของสหรัฐประกาศออกมาล่าสุดดูดีและเป็นหนึ่งปัจจัยสนับสนุนการตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed ด้วย แต่สิ่งที่เกิดในช่วงเดือนที่ผ่านมาปี 2023 คือการประกาศ layoff ในกลุ่มบริษัท Tech และ Sartup หลายแห่งต่อเนื่อง , ล่าสุด Yahoo! เพิ่งประกาศแผนปลดพนักงานรวม 1600 คน (20% ของพนักงานทั้งหมด) ,ส่วน Disney (DIS) เพิ่มประกาศ lay off พนักงานอีก 7000 คน , Dell ปลดคนงาน 6650 คน, Zoom ลดอีก 1300 คน(15%ของพนักงานทั้งหมด), PayPal ปลดคนงาน 2000 คน, IBM ปลดคนงาน 3900 คน, Coinbase ลดอีก 950 คน, Intel ปลดพนักงาน 544 คน เป็นต้น เช่นเดียวกับบริษัท Tech ยักษ์ใหญ่หลายเจ้าในปี 2022 ก่อนหน้า อย่าง Alphabet/Google, Microsoft, Amazon, Facebook ก็ประกาศปลดพนักงานลงเช่นกัน นักวิเคราะห์บางกลุ่มมองว่า สาเหตุมาจากผลประกอบการที่ไม่ค่อยสู้ดี ,รายได้ลดลง บางบริษัทขนาดเล็กเผชิญกับการขาดทุน และคาดการณ์ว่าผลประกอบการจะไม่ดี ทำให้การปลดพนักงาน(layoff) กลายเป็นทางเลือก ที่ลดต้นทุนของธุรกิจลง หลังจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีการจ้างงานเพื่อขยายธุรกิจ , หลายบริษัทมี user จำนวนมาก, ผลิตภัณฑ์ได้รับความนิยม แต่ไม่สร้าง

ดูข้อมูลงบการเงิน ด้วย TradingView Financials Report

เมื่อวันก่อนมีคนถามว่า ถ้าเป็นหุ้นไทย มีเว็บไหนดูรายงานงบการเงิน(Financial) แบบสวยๆ dashbord report เข้าใจง่ายบ้าง เท่าที่ผมใช้งานมา ผมว่า TradingView นี้แหละ รายงานและการออกแบบ Graphic ทำออกมาได้ดี อ่านง่าย, และเข้าใจรายละเอียดได้สะดวกดี ล่าสุดเวอร์ชั่นล่าสุด ปรับปรุง UI และหน้าตา Report สรุปเพิ่มใหม่ รวมถึงมีกราฟเปรียบเทียบเชิงเวลา โดยรวมเรียกว่าใช้ง่ายกว่าเดิมอีก เทียบกับ เจ้าอื่นๆมีแต่ตาราง ตัวเลขเยอะๆ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเลย นอกจากนี้เพิ่มฟีเจอร์ เงินปันผล(การจ่ายปันผลปัจจุบัน,ข้อมูลปันผลในอดีต), การค้นหา ,การแยกข้อมูลแบบรายไตรมาส, สรุปรายปี รวมไปถึงยังมีข้อมูลคาดการณ์งบการเงินอนาคตให้อีกด้วย   ลองเข้าไปใช้งานได้ที่ TradingView มีทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ข้อมูลครบมาก, นอกจากนั้นยังเอา Financial data มา scan ค้นหา คัดกรองหุ้นตามเงื่อนไขได้ด้วย

ทดลองใช้งาน OpenBB Terminal V2.1.0 (ปี 2023)

 ปีนี้เน้นเทรดหุ้นอเมริกา เป็นหลัก เลยลองหาเครื่องมือใหม่ มาใช้วิเคราะห์และทำระบบเทรด ทำให้มีโอกาสได้เป็นทดลองเล่น OpenBB Terminal จริงๆรู้จัก OpenBB Terminal ,มาตั้งแต่ปี 2022 แล้วแต่ยังไม่ได้เล่นจริงจังเท่าไหร่ ปีนี้มานั่ง setup และลองใช้จริงจังกับ OpenBB V2.1.0 (ล่าสุดปี 2023) พบว่ามันน่าสนใจมาก   ลองมา 2 สัปดาห์ตอนนี้ผมยังเล่นไม่หมด แต่ของข้างในเยอะมาก ที่สำคัญเป็น opensource ด้วย นั่งแกะตัวอย่างต่างๆ สนุกมากเลย ทีมพัฒนาทุมเทจริงๆ เอาหลายๆอันมารวมลงใน OpenBB , มีทุกเรื่อง ทุกด้าน ทั้งแต่ข้อมูล(Stock,Options,Forex,Crypto, Economic data) ,การทดสอบระบบ, การวิเคราะห์พื้นฐาน งบการเงิน, การวิเคราะห์ Quant analysis ,ยัน Portfolio analysis และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ยังผสานรวมกับ financial API เช่น Qauntdl, Alpha Vantage, Financial Modeling Prep, Finnhub, Twitter, Coinbase, SEC, Polygon และอื่นๆ อันหนึ่งที่ผมนั่งเล่นมาสักระยะ คือ stock sceener เขารวมตัวอย่างเงื่อนไขการคัดกรองหุ้นไว้เยอะมาก ทั้ง FA และ TA ในภาพผมทดลองใช้ buffett_like ตัวอย่างจาก Finviz ความชอบคือ พอค้นหารายชื่อหุ้นได้ เอ

แนะนำไอเดียการเขียน Trading Goal 2023

วันนี้เปิดทำงานวันแรกของปี 2023 อยากนำตัวอย่างการเขียน เป้าหมาย/ความตั้งใจประจำปี (New Year's resolution) มาแบ่งปัน, โดยขอยกเอาอันหนึ่งที่ผมชอบมากเป็นของเทรดเดอร์อเมริกัน ชื่อคุณ Duncan เป็นเทรดเดอร์สายอยู่รอด เช่นเดียวกันผม เขาแชร์ Trading Goal ประจำปี 2023 ไว้น่าสนใจมาก ความแตกต่างจากคนอื่นๆคือ แทนที่จะไปตั้ง Goal จะชนะตลาดทำ Return 50% 100% หรือจะทำเงินหลายล้าน ไปออกรถสปอร์ตหรู คุณ Duncan ตั้งเป้าง่ายๆ 3 ข้อเพื่อพัฒนาการเทรดของเขาโดยสรุปว่า 1. ไม่เสี่ยงเกินตัว, จำกัด Risk per Trade ที่ 1% ของ equity balance - เรียบง่ายแต่ทำจริงไม่ง่าย ถ้าไม่มีวินัย แต่ถ้าทำได้จะพัฒนา trading process ของตัวเองไปอีกขั้น 2. ไม่ปล่อย Max Drawdown มากกว่า 7.5% (แกวัดแบบ relative จาก High ของ Balance ) - ข้อนี้ก็สำคัญ แต่หลายคนไม่ค่อยสนใจคือการ บริหารจัดการ Drawdown หรือการคุม Downside Risk ถ้าวางแผนก่อน การเผชิญกับการขาดทุนหนักหรือการขาดทุนสะสมจน เงินทุนหมดพอร์ตก็จะไม่เกิด 3. การมี Money Management แบบก้าวหน้า - เทคนิคนี้ปัจจุบันเทรดเดอร์หลายคนนิยมใช้ เพราะใช้ edge หรือผลการเทรดมาเป็น factor กำหนดขนา

Andy Bechtolsheim วิศวกรไฟฟ้าที่รวยอันดับต้นของโลก

พอดีกำลังศึกษาเรื่อง Cloud และ Data center ETFs ทำให้ไปเจอกับบทความสัมภาษณ์หนึ่งของคุณ Andy Bechtolsheim เป็นคนสำคัญอีกคนในวงการทำให้พบว่าชายคนนี้เป็นอีกคนที่มีวิธีคิด และมุมมองธุรกิจที่ น่าสนใจมาก Andy Bechtolsheim วัย 67 ปี เป็นอีกบุคคลที่อาจจะไม่เป็นกระแสมากบนหน้าสื่อ แต่เขาเป็น วิศวกรไฟฟ้า ผู้ประกอบการ และนักลงทุน ที่รวยอันดับต้นของโลก ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ $9.2 billion , Bechtolsheim เป็น co-founded Sun Microsystems ในปี 1982 เป็นอีกคนที่บุกเบิกธุรกิจและการพัฒนาด้าน Computer & IT ของโลกอีกคน สิ่งที่ทำให้เขาร่ำรวยได้ น่าเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ และการกล้าคิดกล้าทำสิ่งใหม่ๆ(เขาไม่ได้เป็นสายวิชาการแบบหัวสูงติดกรอบ เขาไม่ได้จบ phd แต่เป็นคนที่เน้นเรื่องการปฏิบัติ ,การมองหา solution ใหม่ๆที่พัฒนาให้ดีขึ้น) ซึ่งการลงทุนที่เป็นชัยชนะ อันหนึ่งของ Bechtolsheim คือ เขาเป็นคนแรกๆที่่รับฟังและมองเห็นโอกาสจาก Larry และ Sergey ในแผนการก่อตั้ง Google ตอนปี 1998 เริ่มต้นโดย Andy Bechtolsheim ได้เขียนเช็ค 100,000 เหรียญให้ทันทีเพื่อเริ่มดำเนินการและเข้าเป็นหุ้นส่วนของ Google ตั้งแต่เริ่มต้นบริษ